หลวนจวี้จื่อเหลือบตามองผู้เฒ่าสวมกวานสูงที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฮ่องเต้ต้าหลี ฝ่ายหลังรีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเริ่มร่ายใช้เวทอภินิหารหยินหยางของตระกูลลู่ อำพรางฟ้าดิน ทำให้คนอื่นไม่อาจใช้กระแสจิตหรือเวทอาคมมาตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ได้ง่ายๆ
แล้วหลวนจวี้จื่อถึงได้เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เหมือนว่าหากไม่น่าตะลึงพอจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “มีความเป็นไปได้มากว่าหายนะครั้งนี้คือหลุมพรางที่ ‘สำนักอื่น’ ขุดเอาไว้ อย่างน้อยก็ต้องคอยช่วยผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างลับๆ ไม่แน่ว่าการที่อาเหลียงปรากฎตัวโดยบังเอิญขนาดนี้ก็อาจเป็นเพราะมีคนส่งข่าวให้เขาอย่างลับๆ พอดีกับที่ฉีจิ้งชุนจากโลกนี้ไปได้ไม่นาน อาเหลียงก็บุกมาสังหารถึงต้าหลี ในบรรดาเมธีร้อยสำนักต้องมีคนที่ไม่คาดหวังให้สำนักโม่สายที่อยู่เบื้องหลังของหลวนฉางเหย่และสำนักหยินหยางสายที่มีตระกูลลู่เป็นตัวแทนช่วยให้ต้าหลีฮุบกลืนตลอดทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปได้อย่างราบรื่นเป็นแน่!”
ฮ่องเต้ต้าหลีคลายหมัด ยกมือลูบซีกแก้ม สีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงหยัน “ช่างเป็นสงครามใหญ่ที่พันปีไม่เคยพานพบ สมกับเป็นกลียุควุ่นวายซะจริง!”
หลวนจวี้จื่อเอ่ยเตือนเสียงเบา “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็ยิ่งไม่ควรท้อถอย”
ชายสวมชุดคลุมมังกรได้ยินประโยคนี้ก็ยิ้ม ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่! สิบปีก็ดี สิบห้าปีก็ช่าง เรื่องที่ยังทำได้มีอีกไม่น้อย! หวนนึกถึงกษัตริย์แต่ละรุ่นของต้าหลีที่ต้องแบกรับความอัปยศอดสูจากคนทั้งแจกันสมบัติทวีป อาการบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อยแค่นี้ของข้า ไม่อาจนับเป็นอะไรได้”
แม้ปากจะพูดให้ฟังดูผ่อนคลาย แต่บุรุษก็จำต้องฝืนข่มกลั้นเลือดสดที่พุ่งทะลักขึ้นมาในลำคอ ก้มหน้าลงใช้นิ้วนวดคลึงลำคอ เผยสีหน้าดุร้ายและเจ็บแค้น สีหน้าดุร้ายนั้นดำรงอยู่อย่างยาวนาน แต่เพียงครู่เดียวความเจ็บแค้นก็สลายไปสิ้น ถึงท้ายที่สุดก็หลงเหลือเพียงแค่ความจนใจเท่านั้น
ที่แท้ก่อนหน้าที่ชายผู้นั้นจะบินขึ้นไปบนฟ้าได้ใช้เวทลับไร้เทียมทานแอบตัดขั้วหัวใจของฮ่องเต้ต้าหลีอย่างเงียบเชียบ ทำให้สะพานแห่งความเป็นอมตะของเขาพังทลายลง ผู้ฝึกตนชั้นสิบที่อำพรางตนมิดชิดซึ่งเดิมทีมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นคนหนึ่ง ตอนนี้กลับอ่อนแอจนน่าเวทนา
ไม่เพียงเท่านี้ หอป๋ายอวี้จิงยังคงดำรงอยู่ ทว่ากระบี่บินสิบสองเล่มไม่เพียงแต่พังทลายไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกหกเล่มก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน
พูดง่ายๆ ก็คือ หอป๋ายอวี้จิงที่มีพลังสังหารรุนแรงไร้ทัดเทียม ตอนนี้กลับเหลือเพียงเปลือกที่กลวงโบ๋ กลายเป็นหมอนปักลายดอกไม้ที่ได้แต่ข่มขู่ผู้คน ทว่าคิดจะสังหารนักพรตห้าขอบเขตบนกลับเป็นเพียงฝันกลางวันของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น
ซ่งจี๋ซินที่ก่อนหน้านี้เสียกิริยาเดินมาหยุดตรงหน้าคนทั้งสามด้วยอารมณ์ที่สงบลงแล้ว แต่กระนั้นก็ยังซักไซ้ไม่เลิก “หลวนจวี้จื่อ อาจารย์ลู่ บอกข้าได้ไหมว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมข้าถึงสัมผัสถึงกระบี่บินไม่ได้แม้แต่เล่มด้วย?”
หอป๋ายอวี้จิงสิบสองชั้น กระบี่บินสิบสองเล่ม
ควันธูป เสาเอก สยบขุนเขา ภูเขาห้วงอรรณพ กิ่งท้อ เมฆาอัสนี สายฟ้าม่วง คัมภีร์ สันสกฤต จิตยิ่งใหญ่ นงคราญ ลายเมฆ
กระบี่บินสิบสองเล่มที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเงินทุนครึ่งหนึ่งของประเทศล้วนเป็นอาวุธสำคัญสยบแคว้นสมชื่อของราชวงศ์ต้าหลี
ควันธูปกระบี่บินหนึ่งในหกเล่มได้ถูกทำลายไปพร้อมกับกายธรรมร่างทองขององค์เทพทั้งหกของต้าหลีแล้ว
ตามหลักแล้วในเมื่อเทพภูเขาและแม่น้ำอีกหกองค์ที่หลีกทางให้ ไม่ได้เข้าร่วมกับการต่อต้านศัตรู ต่อให้เวลานี้กระบี่บินอีกหกเล่มไม่ได้ย้อนกลับเข้ามาในหอป๋ายอวี้จิงของเมืองหลวง แต่ก็ไม่มีทางหายไปอย่างไร้วี่แววเหมือนว่าวที่สายป่านขาด ทำให้การเชื่อมโยงทางจิตของซ่งจี๋ซินองค์ชายผู้เป็นเจ้าของกระบี่ทั้งสิบสองเล่มขาดออกเช่นนี้
หลวนจวี้จื่อหันกลับไปมองหอสูงป๋ายอวี้จิงที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้งแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เอ่ยด้วยถ้อยคำที่เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “กระบี่บินหกเล่มถูกคนผู้นั้นแย่งไปหมดระหว่างทางที่บินมาแล้ว แม้เขาจะไม่ได้นำขึ้นฟ้าไปด้วย แต่ก็น่าจะถูกเขาทิ้งไว้ในสถานที่บางแห่งที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้คงหาไม่เจอแน่ และต่อให้หาเจอก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเราจะใช้งานพวกมันได้อีกครั้งหรือไม่?”
จะอย่างไรซะซ่งจี๋ซินก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ภายในค่ำคืนเดียวก็เปลี่ยนจากบุตรนอกสมรสตรอกหนีผิงมาเป็นองค์ชายของราชวงศ์อันดับต้นๆ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป มาถึงเมืองหลวงอย่างมึนๆ งงๆ ก็ถูกพามาที่นี่ จากนั้นก็ต้องเผชิญกับความลำบากยากแค้นกว่าจะได้รับการยอมรับจากกระบี่บินทั้งสิบสองเล่ม กว่าจะเงยหน้าอ้าปาก สามารถหยัดเอวยืนตัวตรงอยู่ต่อหน้าชายสารเลวผู้นั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่ามาถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความว่างเปล่าเหมือนใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำน่ะหรือ?
ดังนั้นหลังจากฟังถ้อยคำที่เป็นดั่งฝันร้ายจบ เด็กหนุ่มก็น้ำตาไหลพรากทันที เขากัดปากแน่น บนใบหน้ายังมีคราบเลือดที่เช็ดไม่สะอาดหลงเหลืออยู่
หลวนจวี้จื่อเองก็ไม่รู้ว่าควรจะโน้มน้าวปลอบใจเด็กหนุ่มอย่างไร
อันที่จริงผู้เฒ่าที่ผจญกับความยากลำบากมามากผู้นี้ก็ยังเคว้งคว้างไม่อยากเชื่อ เหมือนอยู่กันคนละโลก
สำนักโม่ซึ่งรวมถึงสายของจอมยุทธ์พเนจรนี้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษผู้เป็นอริยะจวี้จื่อคนแรก หนึ่งในนั้นก็คือประคับประคองช่วยเหลือคนอ่อนแอและประเทศที่อ่อนแอไม่ให้ถูกผู้แข็งแกร่งกว่ารังแก
แต่พอมาถึงหลวนฉางเหย่ เขาเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยมาก่อน เคยเดินทางผ่านภูเขาลำธารและแว่นแคว้นมากมายนับไม่ถ้วน ได้เห็นมากับตาและได้ยินมากับหูตัวเอง สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปหนึ่งว่า หากเอาแต่ช่วยเหลือคนอ่อนแอ คอยชดเชยส่วนที่ขาดและบกพร่องอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่มีประโยชน์ กลียุคร้อยปี กลุ่มวีรบุรุษทยอยกันช่วงชิงอำนาจ ผู้ที่ประคับประคองประเทศอ่อนแอให้ต่อต้านราชวงศ์แข็งแกร่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้พิชิต สุดท้ายคนที่ตายมักจะมากกว่าจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายเวลาที่ราชวงศ์แข็งแกร่งต้องการรวบรวมประเภทให้เป็นหนึ่งเดียว
ดังนั้นหลวนฉางเหย่จึงจำเป็นต้องหาราชวงศ์หนึ่งที่เหมาะสม กษัตริย์คนหนึ่งที่เหมาะสมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของตัวเอง
สุดท้ายเขาก็พบซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลี อีกทั้งเขายังไม่เคยผิดหวัง ต่อให้เรื่องล้อมจับอาเหลียงจะทำให้ต้าหลีที่เป็นประเทศเจริญรุ่งเรืองดุจดวงตะวันกลางฟ้าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แต่หลวนฉางเหย่ไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดพลาด หากจะผิดก็ผิดที่คนคำนวณไม่สู้ “ฟ้าลิขิต” เท่านั้น ต่อให้เมื่อเปรียบเทียบกับแผนการของพวกพี่ใหญ่บางคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว หลวนฉางเหย่ต้องยอมรับว่าตัวเองสู้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากจะเดิมพัน เดิมพันหมดหน้าตัก เมื่อชนะก็ได้บุกยึดใต้หล้าอย่างที่ใครก็ไม่อาจขัดขวาง!
ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าสองคนช่วยไปดูหน่อยได้หรือไม่ว่าในหอป๋ายอวี้จิงมีช่องโหว่อะไรหรือไม่ หากไอ้หมอนั่นทิ้งลูกไม้เอาไว้ ข้าก็คงเอาหัวโหม่งตายจริงๆ แน่ พอดีกับที่ข้าและซ่งมู่จะได้คุยกันตามลำพังด้วย แต่บอกไว้ก่อนนะว่า พวกเจ้าทั้งสองห้ามแอบฟัง พวกเราสองพ่อลูกจะคุยเรื่องในครอบครัวกันสักหน่อย หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ”
ผู้เฒ่าทั้งสองรีบลุกขึ้นยืน คนหนึ่งยิ้มบอกว่าไม่ทำอย่างนั้นแน่ คนหนึ่งบอกว่ามิกล้า
ฮ่องเต้ต้าหลีเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความดื้อดึง ตบบันไดข้างกายตน จากนั้นก็แอบบีบหยกประดับที่ห้อยตรงเอวให้แตกออกอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวเสียงหนัก “นั่งลงพูดกัน นับแต่ตอนนี้ไปข้าคือซ่งเจิ้งฉุนบิดาของเจ้า เจ้าคือซ่งมู่บุตรชายของข้า…เรียกเจ้าว่าซ่งจี๋ซินเหมือนเดิมก็แล้วกัน สืบทอดท่อนฟืนเชื้อเพลิง สั่งสมรวบรวมทีละนิด เป็นลางที่ดีอย่างมาก แม้ว่าชื่อที่ซ่งอวี้จางตั้งนี้จะฟังดูบ้านๆ ไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจ”
เด็กหนุ่มยอมนั่งลงข้างกายบุรุษแต่โดยดี
ฮ่องเต้ต้าหลีทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังก่อนหนึ่งประโยค “ไม่พูดไม่ได้ว่า สกุลเกาแห่งต้าสุยโชคดียิ่งนัก อีกอย่างก็คือปากอีกาของเด็กน้อยอย่างเจ้านี้เหม็นจริงๆ”
เวลาที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว เด็กหนุ่มกลับรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุขนัก
ต่อให้ภายนอกจะแสดงออกว่าไม่กลัวชายผู้นี้มากแค่ไหน แต่ซ่งจี๋ซินดูจากท่าทีของซ่งจ่างจิ้งอาของตน จากสาวใช้จื้อกุยและจากอาจารย์เฒ่าทั้งสองท่านก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังในการควบคุมที่บุรุษผู้นี้มีต่อราชวงศ์ต้าหลี ความใจกว้างและเอื่อยเนือยเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นจากแค่ภายนอกเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วในกระดูกของเขาแทบจะเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและหยิ่งทระนงในตัวเอง ค่อนข้างเหมือนท่าทีที่มือดาบที่ชื่อว่าอาเหลียงคนนั้นมีต่อบุรพแจกันสมบัติทวีป มีต่อใต้หล้าทั้งผืน
บุรุษยิ้มบางๆ “ในเมื่อกระบี่บินที่เหลืออีกหกเล่มซึ่งบินออกไปจากหอเรือนไม่ได้กลับมาก็แสดงว่าหายไปหมดแล้ว ไม่มีแล้วก็คือไม่มีแล้ว ไม่ถึงขั้นที่ฟ้าจะถล่มลงมา”
ซ่งจี๋ซินบังเกิดโทสะขึ้นมาทันใด “ไม่มีแล้วก็คือไม่มีแล้ว?! ทำไมท่านถึงพูดง่ายขนาดนี้! หลวนจวี้จื่อและอาจารย์ลู่ต่างก็เคยอธิบายให้ข้าฟังว่า กระบี่บินทั้งสิบสองเล่มนี้เป็นตัวแทนที่ต้าหลีมีต่อทิศทางการเดินไปของสถานการณ์ทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป มีบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยได้…”
เพียงแต่ว่าไม่นานเด็กหนุ่มก็หมดความกล้าที่จะพดูดต่อ
และหลังจากนั้นซ่งจี๋ซินก็คืนสติ ผู้ที่สร้างป๋ายอวี้จิงและกระบี่บิน ไม่ใช่ตน แต่เป็นบุรุษที่ “ยอมรับชะตากรรม” ข้างๆ ผู้นี้ต่างหาก
บุรุษมองไปยังสันหลังคาของตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล ด้านบนมีรูปปั้นสัตว์เรียงรายกันตามลำดับ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “สำหรับกษัตริย์ของประเทศหนึ่งแล้ว ห้ามกลัวปัญหาใหญ่เทียมฟ้า หลังจากที่เกิดปัญหาขึ้น ขอแค่สามารถแก้ไขได้ก็หมายความว่าทั้งเจ้าและราชวงศ์ต่างก็แข็งแกร่งมากขึ้น หากไม่อาจแก้ไข ก็หมายความว่าความสามารถในการจัดการกับบ้านเมืองของเจ้ายังไม่มากพอ”
“ตอนนี้มีธรณีประตูขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาอย่างไม่ให้คนได้ทันตั้งตัว ข้าและต้าหลีต่างก็ยังไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ น่าเสียดายอย่างมาก แต่ข้าไม่เสียใจ ประโยคนี้เป็นความจริง ไม่ได้โกหกเจ้า”
ให้ตายอย่างไรซ่งจี๋ซินก็ไม่อาจเข้าใจได้ จึงเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ?”
สายตาของชายสวมชุดคลุมคมปลาบ ไม่เหลือความจนใจและทอดอาลัยอย่างก่อนหน้านี้อีกแม้แต่นิดเดียว เขายื่นนิ้วชี้ไปทางหลังคาของตำหนักใหญ่แห่งนั้น “เพราะนี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่านโยบายของต้าหลีที่ข้าตั้งขึ้นมากับมือตัวเองนั้น ถูกต้องแล้ว!”
“คนบนภูเขา บนเส้นทางของการฝึกบำเพ็ญตน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ล้วนจำเป็นต้องถูกกักขังอยู่ในกรงแห่งหนึ่ง! พวกเขาที่เป็นเทพเซียนแสวงหาในชีวิตอมตะ ต้าหลีไม่มีทางยื่นมือเข้าก้าวก่าย ถึงขั้นที่ว่ายังยินดีให้ความช่วยเหลือ อยากเห็นพวกเขาทำสำเร็จด้วยซ้ำ แต่ราชวงศ์แห่งหนึ่งจำเป็นต้องมีเส้นบรรทัดฐานเป็นของตัวเอง อย่างน้อยก็ให้คนบนภูเขาเหล่านั้นทำอะไรอยู่ในกฎเกณฑ์และมีขอบเขต ไม่อาจทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนาง่ายๆ ไม่อาจเคลื่อนย้ายภูเขาและแม่น้ำในราชวงศ์บนโลกมนุษย์ได้ตามความชื่นชอบของตน เพราะเพียงแค่การต่อสู้กันอย่างไม่ใส่ใจของเทพเซียน คนที่บาดเจ็บล้มตายมากที่สุดและน่าสังเวชที่สุดกลับเป็นชาวบ้านธรรมดาของราชวงศ์ที่ในมือไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว หากจะให้ชาวบ้านธรรมดาทุกคนในเขตการปกครองของต้าหลียินยอมเคารพกราบไหว้เทพเซียน ต้องไม่ได้มาจากแค่ความหวาดกลัวอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นชาวบ้านร้านตลาดชั้นที่ต่ำที่สุด หากต้องมาตายไปอย่างอยุติธรรมเพราะการตีกันของเทพเซียน เมื่อถึงเวลานั้นต้าหลีของเราก็มีความมั่นใจและความสามารถที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่เป็นเพียงมดตัวเล็กๆ ในสายตาของเทพเซียนให้จงได้!”
ซ่งจี๋ซินถูกทำให้ตกตะลึงจนตะลึงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เขาอ้าปากกว้าง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว