นักพรตเต๋าตาบอดไม่ตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธ เขาพลันเงยหน้าขึ้น ยกนิ้วทำมุทรา สีหน้าไม่ตกตะลึงกลับยินดี “ฟ้าเปลี่ยนแล้ว กลิ่นอายปีศาจเข้มข้นยิ่งนัก ถึงขนาดทำให้บรรยากาศของพื้นที่แถบหนึ่งเปลี่ยนแปลงได้! ดีๆๆ ในที่สุดก็ล่องูออกจากรูได้แล้ว จิ่วเอ๋อร์น้อย เตรียมไปกำจัดมารผดุงคุณธรรมพร้อมอาจารย์!”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับอย่างแรก เผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจที่ชาวบ้านล่างภูเขาได้ยินชื่อแล้วต้องหน้าเปลี่ยนสี นางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
แม่นางน้อยควักมีดเล่มเล็กสีเงินยาวไปเกินชุ่นกว่าเล่มหนึ่งออกมา ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะใช้มีดกรีดลงบนแขนของตัวเอง เอ่ยถามว่า “อาจารย์ จะใช้ยันต์น้ำพุตอนนี้เลยหรือไม่?”
นักพรตเต๋าชราพยักหน้ารับ “ถึงแม้ว่าอาจารย์ยังมีเหลืออยู่อีกเล็กน้อย แต่กันไว้ดีกว่าแก้ เอามาก่อนสักเล็กน้อย อาจารย์จะได้เตรียมไว้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกปีศาจเล่นงานจนทำอะไรไม่ถูก ถึงเวลานั้นกลับจะเป็นการทำร้ายพวกเจ้าสองพี่น้อง”
แม่นางน้อยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใช้มีดเล่มเล็กกรีดลงบนแขนตัวเองจนเกิดบาดแผลหนึ่งเส้น เลือดสดไหลทะลักออกมาทันควัน จึงรีบชูมือขึ้นสูง “อาจารย์ เรียบร้อยแล้ว”
นักพรตเต๋าตาบอดยื่นนิ้วมือขวานิ้วหนึ่งออกมา แบฝ่ามือข้างซ้ายอย่างคุ้นเคย จากนั้นใช้นิ้วมือวาดอักขระตัวหนึ่งกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว แล้วจึงเปลี่ยนมือ กลางฝ่ามือขวาจึงมีอักขระยันต์ตัวหนึ่งเช่นกัน
แม่นางน้อยที่สีหน้าเริ่มซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ถามอย่างจริงจัง “อาจารย์ พอหรือไม่?”
นักพรตเต๋าชราหัวเราะร่า “ตอนนี้พอแล้ว อาจารย์จะให้ปีศาจใหญ่ที่ยึดครองภูเขาแห่งนี้ได้ลิ้มลองรสชาติของการโจมตีจากห้าอสนีซะบ้าง!”
บนทางเดินภูเขาที่ห่างจากอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ไปประมาณหนึ่งลี้ เฉินผิงอันพลันหยุดเท้า ชูมีดผ่าฟืนขึ้นสูงให้สามคนด้านหลังระวัง
เห็นเพียงว่าห่างออกไปไกลมีเด็กหนุ่มในมือถือธงประหลาดคนหนึ่งกระโดดออกมาจากป่ารกทึบดุจวานรภูเขาที่ปราดเปรียว หันหลังให้กับพวกเฉินผิงอัน เมื่อเท้าของเด็กหนุ่มเหยียบลงบนเส้นทางภูเขา เขาก็โบกสะบัดธงแรงๆ อยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงคิดจะเลียบไปตามเส้นทางภูเขาที่สะดวกต่อการวิ่งไปรวมตัวกับนักพรตเฒ่า ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อเด็กหนุ่มหันหน้ามากลับเห็นว่าบนเส้นทางมีพวกเฉินผิงอันยืนขวางอยู่ เด็กหนุ่มที่เหงื่อหลั่งรินเต็มสันหลังเริ่มร้อนใจ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็กัดฟันเปลี่ยนความคิด แล้ววิ่งหนีลงไปทางด้านล่างของภูเขา เลือกจะอ้อมไปทางอื่น
ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มก็ไม่ลืมทำมือบอกพวกเฉินผิงอันว่าให้รีบหนีไป
หลี่ไหวปากอ้าตาค้าง “นั่นเขาทำอะไร?”
หลินโส่วอีขมวดคิ้ว “น่าจะมีสิ่งชั่วร้ายบางอย่างไล่ล่าเด็กหนุ่มมา ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้ายขุมหนึ่ง”
แล้วก็จริงดังคาด เรือนกายพร่าเลือนร่างหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยควันดำตลบปั่นป่วนตามมาด้านหลัง พอเห็นพวกเฉินผิงอันก็หยุดชะงักอยู่ชั่วครู่ แผ่กลิ่นอายอึมครึมชวนน่าขนลุกเข้มข้น แต่สุดท้ายก็ยังเลือกจะตามเด็กหนุ่มขาเป๋ที่ถือธงผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันพูดกับหลินโส่วอี “ถามท่านผู้อาวุโสเทพหยินหน่อย เขาว่าอย่างไร?”
ครู่หนึ่งต่อมาหลินโส่วอีก็ตอบว่า “ผู้อาวุโสเทพหยินบอกให้พวกเราเดินทางต่อ ไม่ต้องรั้งรอ เขาจะคอยดูสถานการณ์ให้ แต่เขาก็พูดแล้วว่าตัวเองแค่รับผิดชอบหน้าที่คุ้มครองพวกเราไปส่งชายแดนต้าหลีเท่านั้น และเตือนพวกเราว่าเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราคือเดินทางไปขอศึกษาต่อเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนใจบุญที่ช่วยจับปีศาจปราบมาร เขาไม่หวังให้พวกเราหาเรื่องใส่ตัว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บอกกับผู้อาวุโสเทพหยินสักคำว่า ให้พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ หากช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน อีกอย่าง หลินโส่วอีเจ้าเองก็เตรียมยันต์สามแผ่นนั้นไว้ให้ดี หลังจากนี้เจ้ามาเป็นคนนำทาง ข้าจะคุมอยู่ด้านหลังขบวนเอง เป่าผิง หลี่ไหว จำไว้ว่าหากเจอกับภูตผีปีศาจตามคำเล่าลือจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัว ยิ่งไม่ต้องลนลาน อย่าได้ทำเหมือน…ช่างเถอะ พวกเรารีบเดินทางกันต่อเถอะ!”
เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะพูดว่าอย่าได้ทำเหมือนจูลู่ตอนอยู่บนภูเขาฉีตุนเด็ดขาด ทั้งๆ ที่มีตบะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองขั้นสูงสุด แต่พอเจอกับงูขาวกลับไม่กล้าแม้แต่จะลงมือ
แต่พอนึกถึงประโยคที่อาเหลียงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘ผู้ที่นินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง ย่อมไม่ใช่คนดี’ เฉินผิงอันจึงกลืนคำพูดที่มารอตรงริมฝีปากกลับลงท้อง
หลินโส่วอีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
ยันต์อันเป็นสมบัติก้นกรุที่สกุลหลี่ในเมืองเล็กเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีปึกนั้น สามแผ่นที่ระดับต่ำที่สุด ตอนนี้หลินโส่วอีพอจะนำมาใช้ได้อย่างกล้อมแกล้ม
แผ่นหนึ่งที่ชื่อว่าไข่มุกในอ่างคือยันต์น้ำ อีกแผ่นหนึ่งที่ชื่อว่าฝนไฟคือยันต์ไฟ สุดท้ายคือยันต์ทำลายอาคมอำพรางตาห้าขุนเขา ถือว่าอยู่ในขอบเขตของยันต์ภูเขา
แต่สิ่งที่หลินโส่วอีอาศัยอย่างแท้จริงกลับไม่ใช่ยันต์สามแผ่นที่มีอานุภาพมากน้อยไม่เท่ากัน แต่เป็นตัวของเขาเอง
เป็นวิชาสายฟ้าที่สืบทอดกันมาอย่างลับๆ ซึ่งบันทึกไว้ในตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ เล่มนั้น
แต่แน่นอนว่าหลินโส่วอีไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัว ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะแค่อยากทดสอบอานุภาพของพลังสายฟ้านี้แน่นอน
คนทั้งกลุ่มเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว หลี่ไหวเดินพลางชูมือขึ้นสูง กล่าวคลางแคลงใจ “อยู่ดีๆ ก็ฝนตกหรือนี่? ทำไมไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ?”
ม่านฝนมืดครึ้มโปรยปราย ไม่ได้ตกกระหน่ำ แต่กลับทำให้บรรยากาศในป่าทึบเย็นและมืดมัวขึ้นหลายส่วน
เฉินผิงอันหยิบงอบสี่อันออกมาจากในตะกร้าด้านหลัง ทั้งหมดล้วนซื้อมาจากเมืองหงจู๋ ก็เพื่อเวลาที่ต้องเร่งเด่นทางท่ามกลางอากาศที่มีทั้งลมและฝนแบบนี้
หลังจากทุกคนสวมงอบไว้บนศีรษะแล้วก็ยังไม่หยุดเดิน ส่วนเฉินผิงอันก็คอยหันกลับไปมองด้านหลังเป็นระยะ
ห่างออกไปไกล นักพรตเต๋าชราหันหน้าเข้าหาเด็กหนุ่มขาพิการที่วิ่งตะบึงเข้ามาหาตนแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “มาได้ดี! เจ้าสิ่งชั่วร้ายตัวน้อย รนหาที่ตาย! จงตายให้นักพรตผู้ต่ำต้อยเดี๋ยวนี้!”
นักพรตชราสาวเท้าเร็วรี่ ตบฝ่ามือที่วาดยันต์เข้าด้วยกัน จากนั้นจึงเอ่ยเตือนเด็กหนุ่มขาเป๋ “หมอบลง!”
เด็กหนุ่มกระโจนตัวมาด้านหน้า พลิกตัวกลิ้งตลบอยู่บนทางภูเขาที่มีแต่ดินโคลน
ฝ่ามือของผู้เฒ่าทอแสงสีทองเปล่งประกาย ทุกเส้นที่วาดขึ้นเป็นยันต์ล้วนส่องแสงสีทอง ฝ่ามือคล้ายจะมีเสียงฟ้าร้องดังแว่วรำไร
แสงสีทองนี้เมื่อมาปรากฏอยู่บนภูเขาเปลี่ยวร้างที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยลมฟ้าลมฝนจึงสะดุดตามากเป็นพิเศษ
ควันดำด้านหลังเด็กหนุ่มหยุดชะงัก เพิ่งจะคิดถอยหนีก็ถูกแสงสีทองกระแทกเข้าใส่คล้ายถูกตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วร่าง เสียงตาข่ายทองออกฤทธิ์ดังซี่ๆ เงาดำร้องโหยหวนไม่หยุด เพียงไม่นานก็สลายกลายเป็นควัน
เด็กหนุ่มค้อมตัวต่ำวิ่งไปหยุดอยู่ด้านหลังผู้เฒ่า หอบหายใจดังฮักๆ ปักธงเรียกวิญญาณลงไปบนพื้นดิน พอเห็นสีหน้าเป็นกังวลของแม่นางน้อยเขาก็ยิ้มกว้างส่ายหัว บอกให้รู้ว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
เพียงฝ่ามือเดียวก็โจมตีให้สิ่งชั่วร้ายกลุ่มนั้นแหลกสลาย นักพรตเฒ่าจึงหัวเราะก้องอย่างเบิกบานใจ “เป็นเพียงสิ่งชั่วร้ายปลายแถวที่เกิดขึ้นมาจากซากโครงกระดูกก็ยังกล้ามาเผยโฉมต่อหน้านักพรตผู้ต่ำต้อยเช่นข้า?!”
ควันสีเทาเส้นหนึ่งลอยหายเข้าไปในธงผืนนั้นคล้ายถูกคนกระชากเข้ามา
ผู้เฒ่าทะยานร่างขึ้นกลางอากาศจากตำแหน่งเดิมที่ยืนอยู่ หมุนตัวมาพร้อมโบกมือ “มาๆๆ มากันให้หมด จะได้กลายมาเป็นผลบุญอันไร้ที่สิ้นสุดของนักพรตผู้ต่ำต้อย!”
สิ่งชั่วร้ายอีกตนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มและแม่นางน้อยถูกวิชาสายฟ้าในฝ่ามือของนักพรตเฒ่าตบจนแหลกสลายไปอีกครั้ง และไม่นานก็มีควันสีเทาอีกกลุ่มหนึ่งบินเข้าไปในธง
บนทางภูเขา ร่างของนักพรตเฒ่าหมุนซ้ายหมุนขวาขยับเคลื่อนฉวัดเฉวียน เปลี่ยนพลัดมือสองข้างไปมา บ้างตบ บ้างโบก ทุกครั้งต้องมีแสงสีทองเปล่งวูบวาบพร้อมเสียงฟ้าร้องครืนครั่น พลังอำนาจน่าตื่นตะลึง
ผู้เฒ่าหัวเราะกังวานอย่างสาแก่ใจ ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัวพร้อมเม็ดฝนโปรยปราย แสงสายฟ้าสาดสะท้อนใบหน้าแก่ชราของผู้เฒ่าตาบอดให้ดูดุดันน่าเกรงขาม มองดูแล้วเหมือนคนมีความสามารถในการปราบปีศาจกำจัดมารอยู่หลายส่วนจริงๆ “วิชาสายฟ้าของนักพรตผู้ต่ำต้อยเกรียงไกร มีหรือที่สิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเจ้าจะต้านทานได้ไหว ปีศาจใหญ่ที่ทำลับๆ ล่อๆ ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังตนนั้นยังจะส่งให้พวกเจ้ามาตายเปล่าอีกหรือ? รีบยอมแพ้ มอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งมาให้เสียโดยดี ไม่แน่ว่าหากนักพรตผู้ต่ำต้อยเวทนาสงสารอาจจะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้ง!”
นับพันปีที่ผ่านมา วิชาสายฟ้าครองตำแหน่งวิชาสูงส่งอันดับต้นๆ ของหมื่นคาถาแห่งลัทธิเต๋า หากร่ายใช้เมื่อไหร่ก็ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่ามีอานุภาพมหาศาล พลังอำนาจไม่อาจสกัดขวาง
เพียงแต่ว่าวิชาห้าอสนีที่ผู้คนเรียกขานกันนั้น นอกจากสำนักลัทธิเต๋าเพียงหยิบมือในแจกันสมบัติทวีปที่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างถึงแก่นแท้แล้ว วิชาที่คนส่วนใหญ่ได้รับการสืบทอดมาล้วนไม่สมบูรณ์ หรือไม่ก็เป็นเพียงวิชาลอกเลียนแบบที่เหมือนแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ดังนั้นคนที่ร่ายใช้เวทคาถานี้จึงมักจะถูกพลังแว้งโจมตีกลับ นานวันเข้าพลังชีวิตก็จะแห้งขอด จนกระทั่งกลายมาเป็นสาเหตุที่ทำให้อายุขัยสั้น
ดังนั้นอาการตาบอดของนักพรตเฒ่าผู้นี้ต้องไม่ได้เป็นโรคที่มีมาตั้งแต่เกิดแน่นอน
ควันดำซัดตลบปั่นป่วนหลายกลุ่มที่เดิมทีพุ่งโฉบไปมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางผืนป่ารอบเส้นทางภูเขาเริ่มหายไปทีละน้อย เสียงสะอึกสะอื้น เสียงร้องโหยหวน เสียงคำรามต่ำๆ ที่รวมกันเป็นเสียงน่าสะอิดสะเอียนชวนขนหัวลุกก็จางหายไป ทุกอย่างกลับคืนมาเป็นปกติ
แม่นางน้อยเอ่ยขึ้นเบาๆ “อาจารย์ ด้านหลัง มีโคมไฟมากมายถูกจุดขึ้น”
ผู้เฒ่าตาบอดหันกลับไป ‘มอง’ สัมผัสได้ว่าเส้นทางภูเขาทางทิศเหนือมีโคมกระดาษสีขาวหลายดวงปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าและติดไฟขึ้นมาได้เอง มองดูคล้ายมังกรไฟตัวหนึ่งที่ลำตัวยาวนับร้อยนับพันจั้งค่อยๆ เลื้อยอยู่ท่ามกลางบึงใหญ่ของภูเขา
สีหน้าของผู้เฒ่าเคร่งเครียด ถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน อักขระยันต์กลางฝ่ามือที่ใช้เลือดสดของลูกศิษย์หญิงเป็นดั่งชาดแดงถูกเผาผลาญไปพอสมควรแล้ว
ผู้เฒ่ายื่นมือไปชักกระบี่ไม้ท้อออกมาจากด้านหลัง ตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวร้าย
สตรีสวมชุดแต่งงานสีแดงสดคนหนึ่งเดินเนิบนาบเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งของนางถือพัดกระดาษน้ำมัน เห็นได้ชัดว่าริมฝีปากของนางไม่ได้ขยับ แต่กลับมีเสียงวังเวงดังขึ้นข้างหูของอาจารย์และศิษย์สามคน “นักพรตท่านนี้เชิญวาดยันต์ต่อได้ตามสบาย จะวาดทั่วร่างเลยก็ได้ เชี่ยเซิน (คำเรียกอย่างถ่อมตัวของสตรีในสมัยโบราณ) รอได้ และหลังจากนี้เชี่ยเซินก็จะเชิญทั้งสามท่านไปเป็นแขกที่จวน ล้างหน้า ดึงเส้นเอ็น คว้านหัวใจให้พวกเจ้าสามคนด้วยตัวเอง”
ผีสาวชุดแดงมือถือพัดคล้ายจะสนใจแม่นางน้อยหน้ากลมมากที่สุด น้ำเสียงแหบพร่าของนางยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันนางก็ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นมาบังใบหน้าสีขาวหิมะเล็กๆ ของตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นการล้างหน้า ก็คืออย่างนี้”
นาทีถัดมาแม่นางน้อยหน้ากลมก็ตกใจจนหลับตาปี๋
ที่แท้พอผีสาวชุดแดงยกมือข้างที่ปิดหน้าออกแล้วปาดเบาๆ หนึ่งที ผิวหนังตลอดทั้งใบหน้าของนางก็เหมือนถูกกรีดแล้ว ‘ล้าง’ ให้หลุดออกมา เผยให้เห็นใบหน้าโชกไปด้วยเลือดสดน่าสยดสยอง