เบื้องหน้าจวนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า “น้ำสวยลมสูง”
ผู้เฒ่าตาบอดได้รับบาดเจ็บสาหัส คงเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองใกล้ตายแล้วจึงพูดจาเลหวไหลราวคนสติฟั่นเฟือน
มือสองข้างที่อยู่ในชายแขนเสื้อของหลินโส่วอีคีบยันต์ไข่มุกกลางอ่างกับฝนไฟไว้สองแผ่น หวังเพียงว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่จะสำเร็จหรือไม่คงต้องดูที่ฟ้าลิขิตเท่านั้น
เฉินผิงอันควบคุมปราณที่เป็นดั่งมังกรว่ายวนเส้นนั้นให้มุ่งหน้าไปยังช่องโพรงลมปราณสองช่อง เพื่อยืนยันว่าปราณกระบี่ยังคงอยู่ดังเดิม ไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
จะพิสูจน์ยังไง ง่ายมาก ขอแค่มังกรเพลิงที่มอบความรู้สึกอบอุ่นให้แก่ชีพจรตัวนั้นไม่กล้าหยุดอยู่เบื้องหน้าช่องโพรงลมปราณทั้งสองก็หมายความว่า ปราณกระบี่ที่ “เล็กมากๆ” สองเส้นนั้นต้องยังขดตัวอยู่ข้างในแน่นอน
คราวนี้เฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่แน่เสมอไปที่ปราณกระบี่เส้นหนึ่งจะสามารถสังหารผีสาวชุดเจ้าสาวผู้นั้นได้
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้สองเส้น!
หลังจบเรื่องต้องเสียดายตายแน่ แต่จะอย่างไรก็คุ้มค่ากว่าตายจริงๆ
ทว่ายังไม่ทันได้เรียกปราณกระบี่ออกมา เฉินผิงอันก็เสียดายแทบตายแล้ว
ดังนั้นใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เห็นแก่เงินจึงค่อนข้างแข็งกระด้าง ปราณสังหารท่วมท้น
หลี่ไหวค้นพบว่าลาขาวที่อยู่ข้างกายกระทืบเท้าแรงๆ อยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนจากช่วงแรกเริ่มสุดที่กระวนกระวายหงุดหงิดกลายมาเป็นปลาบปลื้มดีใจ
ต่อให้ผีสาวสวมชุดแต่งงานจะลอยตัวอยู่เหนือขั้นบันไดนอกประตูใหญ่ ลาตัวนี้ก็ยังแค่ชะลอความเร็วในการกระทืบเท้าให้ช้าลงเท่านั้น
ผีสาวก้มหน้าลงมองชุดเจ้าสาวสีแดงสดที่ฉีกขาดอยู่หลายจุด นางข่มกลั้นความเดือดดาลที่พุ่งมาสุมเต็มอกเอาไว้ มองไปยังเด็กหนุ่มเด็กสาวแล้วพลิ้วร่างลงบนพื้น
ผีสาวเบี่ยงกายออกด้านข้างแล้วยอบตัวคารวะ เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอต้อนรับแขกทุกท่านที่มาเยือน พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าฉู่ฮูหยิน น่าเสียดายที่สามีข้าออกเดินทางไกลยังไม่กลับมา เชี่ยเซินจึงได้แต่ออกมารับรองพวกเจ้าเพียงลำพัง”
……
บนภูเขาฉีตุน ในป่าไผ่ต้นเล็กที่มีค่ายกลอำพรางตา เว่ยป้อที่อาศัยโชควาสนากลับคืนสู่ตำแหน่งเทพภูเขามองไปยังกระบอกไม้ไผ่ที่กองกันเป็นภูเขาขนาดย่อม ทั้งหมดล้วนเป็นไผ่เขียวที่ถูกอาเหลียงใช้ดาบฟันหักในครั้งเดียว ต่อให้มรสุมครั้งนี้ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์เหนือกว่าความเสียหาย แต่พอเห็นไผ่เขียวที่ดูดซับปราณวิญญาณของเขาฉีตุนมานับร้อยนับปี ในสายตาของฉีตุนก็เหมือนเห็นสาวงามที่ถูกบั่นร่างขาดครึ่งท่อน ยังคงทำให้เขาอดทอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่ได้อยู่ดี
ตุ้มหูทองของเว่ยป้อได้ใช้เวทอำพรางตาแล้ว เวลาปกติต่อให้เปิดเผยร่างจริงในถิ่นของตัวเอง งูดำตัวนั้นก็ไม่อาจสัมผัสได้ ไม่อาจมองเห็น เวลานี้เขาดีดนิ้วข้างหูตัวเองเบาๆ กระบอกไม้ไผ่หักท่อนที่อยู่บนพื้นดินก็เริ่มทยอยกันหายไปท่ามกลางความว่างเปล่า
รอจนเก็บสัมภาระทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เว่ยป้อก็เดินออกจากป่าไผ่ มองไปก็เห็นว่าจุดที่งูดำที่ขดตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ อยู่ไม่ไกลยังมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่พาดกระบี่แนวขวางไว้ตรงเอวคนหนึ่งยืนอยู่ รวมไปถึง “คนคุ้นเคย” ที่ถือกาเหล้าแหงนหน้ากรอกสุราใส่ปาก ยอดฝีมือต้าหลีที่ถูกสายรุ้งของอาเหลียงชนกลับมาบนพื้นหินราบของเขาฉีตุน เว่ยป้อรู้แค่ว่าอีกฝ่ายแซ่หลิว สุดท้ายถูกผู้ฝึกกระบี่คนนั้นแบกขึ้นหลังไป เว่ยป้อเผยสีหน้าคลางแคลงใจ ชายที่ก่อนหน้านี้ร่อแร่ใกล้ตาย แม้ว่าสีหน้าจะยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่สามารถฟื้นตัวกลับมาเดินได้รวดเร็วขนาดนี้ ต่อให้ฝึกเวทลับขั้นสูงที่ใช้ในการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณโดยเฉพาะก็ยังไม่น่าจะมีประสิทธิภาพได้ถึงขั้นนี้
เพียงแต่ว่าบนเส้นทางของการฝึกตน สามารถเดินไปบนเส้นทางของสองขอบเขตสุดท้ายในห้าขอบเขตกลาง ใครบ้างที่ไม่มีความสามารถที่เก็บไว้ก้นกรุ เว่ยป้อย่อมไม่มีทางเปิดปากถาม หลักการที่ว่าเต๋าไม่ถามอายุขัย พุทธไม่ถามแซ่ เป็นที่กระจ่างกันมาตั้งแต่อดีตกาล
เช็ดคราบสุรามุมปากเสร็จ ชายฉกรรจ์แข็งแกร่งที่เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชากล่าวเสียงทุ้มว่า “เทพผืนดินเขาฉีตุน ข้าชื่อหลิวอวี้ แม้เห็นเจ้าแล้วจะยังขัดหูขัดตา แต่พระคุณช่วยชีวิต วันหน้าจะต้องตอบแทนแน่นอน หากมีเรื่องเร่งด่วนให้ช่วยเหลือ บีบยันต์จดหมายให้แตก ขอแค่เวลานั้นข้าหลิวอวี้ไม่มีภารกิจของราชสำนักติดพัน ต่อให้อยู่นครมังกรเฒ่าทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปก็จะรีบเดินทางมาทันที”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำโยนแผ่นหยกสีขาวที่ทำจากหยกมันแพะงดงามชิ้นหนึ่งออกมา เว่ยป้อรับไว้แล้วกล่าวยิ้มๆ “รักเกลียดแยกชัด ทำอะไรตรงไปตรงมา อีกทั้งยังมีป้ายสันติสุขที่มีเฉพาะใน ‘ศาลภูเขาสำนักการทหาร’ ชิ้นนี้ หลิวอวี้เจ้าเป็นนักพรตศาลลมหิมะหรือนักพรตของเขาเจินอู่?”
ชายร่างกำยำแค่นเสียงเย็น “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากแม่น้ำซิ่วฮวาเอ่ยยิ้มๆ “หลิวอวี้คือแบบฉบับของคนปากคมเป็นมีดแต่ใจอ่อนดั่งก้อนเต้าหู้ เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลย”
เว่ยป้อโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “มิกล้าๆ”
ผู้ฝึกกระบี่วางข้อศอกไว้บนกระบี่เล่มยาวอย่างไม่ใส่ใจ หัวเราะด้วยสีหน้าอ่อนโยน “มีธุระเร่งด่วนที่ต้องไปจัดการที่อำเภอหลงเฉวียนพอดี หากไม่รังเกียจ พวกเราออกเดินทางพร้อมกันดีไหม? แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะแจ้งไปยังอู๋ยวนนายอำเภอหลงเฉวียนแล้ว ตามหลักก็ไม่ควรมีปัญหาอะไร แต่ว่าไม่กลัวหนึ่งหมื่นกลัวเศษหนึ่งส่วนหมื่น (เปรียบเปรยว่าไม่กลัวสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่กลัวสิ่งที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่คาดคิด) เพราะอย่างไรซะแถบภูเขาลั่วพั่วในตอนนี้ไม่เพียงแต่มีท่านชิงอูจากสำนักโหราศาสตร์ ยังมีกองกำลังภายนอกอีกมากมาย ข้าไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับต้าหลีที่เพิ่งจะคลี่คลายลงได้ต้องแตกหักกันไปอีกครั้ง”
เว่ยป้อกล่าวเหมือนไม่อนาทรร้อนใจ “ดูจากความเคลื่อนไหวของศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ คงไม่ใช่ว่ามีเทพขุนเขาทั้งห้าองค์ใดของต้าหลีโชคร้ายหล่นลงจากตำแหน่งหรอกกระมัง? ทำไม หรือว่าข้าเว่ยป้อก็สามารถฉวยโอกาสนี้แบ่งน้ำแกงถ้วยเล็กๆ กับเขาได้ด้วย? ภารกิจเร่งด่วนที่ใต้เท้าพูดถึงคงไม่ได้เกี่ยวกับข้าจริงๆ กระมัง?”
หลิวอวี้ที่มองดูเหมือนคนหยาบกระด้างวู่วามพลันหรี่ตาลง
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยังคงพูดกลั้วหัวเราะอย่างผ่อนคลายดังเดิม “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางทำเรื่องข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานแน่นอน การเดินทางไปยังอำเภอหลงเฉวียนในครั้งนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรก็ยังต้องดูที่ความต้องการของเจ้าเว่ยป้อ ราชสำนักต้าหลีไม่มีใครบังคับขืนใจเจ้าแน่นอน ส่วนภารกิจนั้นคืออะไร บอกตามตรงว่าข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก รู้แค่ว่าหลังจากฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ก็ให้ความสำคัญอย่างมาก สุดท้ายยังเพิ่มสี่คำว่า ‘ปฏิบัติอย่างมีมารยาท’ มาด้วย”
เว่ยป้อถอนหายใจ “ข้ามีนิสัยแย่ๆ อย่างชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็งมาโดยตลอด ขนาดนี้แล้วข้าจะยังกล้าปฏิเสธอีหรือ? กลัวพวกเจ้าแล้วจริงๆ”
หลิวอวี้แค่นเสียงเย็น “ต้องพูดว่าไม่ชอบทั้งไม้นวมไม้แข็งถึงจะถูกกระมัง?”
เว่ยป้อยิ้มตาหยี “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มปรายตามองไปยังงูดำที่ดูสงบเสงี่ยมว่าง่าย แล้วพูดอย่างสนใจ “สายตาเจ้าไม่เลว จำไว้ว่าวันหน้าเมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด บริเวณใกล้เคียงกับที่นั่นมีเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ของเจ้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบกลางภูเขา ต่อให้พวกเจ้าตีกันขึ้นมาจริงๆ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าให้เดือดร้อนคนธรรมดา นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องระวังแล้ว ในเมื่อวันนี้มีสถานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาของต้าหลี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะถูกนักพรตที่ผ่านทางมาสังหารตามใจชอบ”
งูดำตัวนั้นผงกศีรษะแรงๆ หลังจากกินหินดีงูที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูถุงนั้นเข้าไป เรือนกายของมันไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นกลับเล็กลง ทว่ากรงเล็บสี่นิ้วที่เหมือนกับกรงเล็บของมังกรกลับยิ่งหนาใหญ่ เกล็ดสีหมึกทั่วร่างส่องประกายเป็นเงาวับ ตรงท้องยังมีลายเส้นสีทองเล็กๆ เส้นหนึ่งที่แทบจะสังเกตไม่เห็น
การเดินทางไปอำเภอหลงเฉวียนครั้งนี้ยังไม่มีใครรู้ ดังนั้นต่อให้พางูดำไปด้วยก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวตอนกลางวันออกเดินทางตอนกลางคืนอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากเข้ามาในเขตแม่น้ำเถี่ยฝู พอได้รับคำอนุญาตจากผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม งูดำก็เลื้อยลงน้ำอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะเบิกบานเป็นสุขอย่างมาก แต่ก็พยายามข่มกลั้นสัญชาตญาณของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่กล้าสะบัดร่างตีน้ำในแม่น้ำให้กระจายอย่างโอหัง คนทั้งสามยืนอยู่บนร่างของงูดำ เหมือนนั่งท่องเที่ยวโดยสารเรือ เลียบแม่น้ำเถี่ยฝูเดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนืออย่างผ่อนคลาย
เว่ยป้อขมวดคิ้ว สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ วักน้ำขึ้นมาหนึ่งฝ่ามือแล้วเขย่าคล้ายกำลังชั่งน้ำหนัก กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เปลี่ยนจากลำคลองเป็นแม่น้ำ เรื่องนี้ข้ารู้ แต่ว่า…?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจึงช่วยไขข้อข้องใจให้ “หลังจากที่เทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูผสานรวมกับแม่น้ำได้สำเร็จก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์ประหลาด ดึงดูดความสนใจจากท่านชิงอูคนหนึ่งจึงรีบส่งรายงานไปแจ้งทางราชสำนัก ฮ่องเต้ทรงปิติยินดีอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เลื่อนขั้นสองระดับติดต่อกันไปแล้ว คราวนี้ก็เลื่อนขึ้นไปอีกระดับ”
เว่ยป้อเหวี่ยงมือเบาๆ น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูกลางฝ่ามือหมุนคว้างตามไปด้วย เขาจึงจุ๊ปากพูด “เทพเลื่อนขั้นใหม่ผู้นี้ช่างโชคดีนัก นี่ไม่เท่ากับว่าเดินไปสู่จุดสูงสุดของทำเนียบภูเขาและแม่น้ำของโลกมนุษย์แล้วหรือ? น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ เวลาเพียงไม่กี่วันก็เดินไปถึงปลายทางของเส้นทางที่พวกเพื่อนร่วมงานต้องเดินนานหลายร้อยหรืออาจถึงขั้นนับพันปี พรสวรรค์และโชควาสนาเช่นนี้เรียกว่าฟ้าประทานจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือการเลื่อนขั้นของเทพแม่น้ำผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ยึดครองโชคชะตาของกระแสน้ำเส้นอื่นเลย จำต้องพูดว่าต้าหลีของพวกเจ้าดวงดีจริงๆ”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมาเป็นครั้งแรก “เว่ยป้อ เจ้าแน่ใจหรือว่าการเลื่อนขั้นของนางไม่ได้ช่วงชิงโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้ของที่แห่งนี้? แต่ทั้งหมดล้วนมีต้นกำเนิดมาจากลำคลองเถี่ยฝูสายเล็กๆ ในอดีต?”
เว่ยป้อเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยตอบ
ระดับความเฉียบคมของสายตาที่มีเฉพาะในเทพขุนเขาเหนือแห่งแคว้นเสินสุ่ยในอดีตย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านชิงอูของสำนักโหราศาสตร์ที่เป็น “คนนอกที่อยู่ในวงการ” จะทัดเทียมได้
เนื่องจากศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ แผ่นดินของราชสำนักต้าหลีไม่มั่นคง โชคชะตาของประเทศจึงคลอนแคลนตามไปด้วย เทพของห้าขุนเขามีสามองค์ที่พลังต้นกำเนิดได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้จึงได้แต่มอบให้ท่านชิงอูเป็นผู้ตรวจสอบดูแลเรื่องนี้
สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหนักอึ้ง “เว่ยป้อ เชื่อว่าลำพังเพียงแค่ความสามารถนี้ เจ้าก็สามารถรับรางวัลชิ้นใหญ่จากทางราชสำนักแล้ว”
เว่ยป้อแหงนหน้าขึ้น ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า ขับให้ “ชายหนุ่ม” ที่เดิมทีก็เหมือนเซียนอยู่แล้วยิ่งดูล่องลอยคล้ายเซียนตัวจริงเข้าไปใหญ่ เขายิ้มบางๆ สายตาอ่อนโยน “สามารถเปลี่ยนมาเป็นโชควาสนาเล็กๆ ได้หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นให้ลูกศิษย์คนใหม่ของตำหนักฉางชุนที่เดิมทีมีคุณสมบัติจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ในอนาคตสามารถเดินไปบนสะพานแห่งความอมตะอย่างราบรื่นได้ร้อยปี?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มตอบ “เรื่องนี้จะไปยากอะไร?”
เว่ยป้อพึมพำ “ข้าละอายใจต่อสกุลหลิ่วแห่งแคว้นเสินสุ่ย”
หลิวอวี้กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องเก่าแก่ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ต่อให้เป็นเทพแม่น้ำและเทพภูเขาที่มีอายุขัยเท่ากับแคว้นก็ยังไม่เคยมีใครจู้จี้จุกจิกอย่างเจ้า รัชสมัยแปรเปลี่ยน เทวรูปไม่แหลกสลายก็ถือว่าโชคดีเทียมฟ้าแล้ว หากได้เลือกนายใหม่ให้พึ่งพา เสวยสุขกับควันธูปและการกราบไหว้บูชา ก็ถือเป็นเรื่องดีที่แม้แต่ยามฝันเจ้าก็ยังปรารถนาจะได้ครอบครอง ต่อให้ตอนนั้นสกุลหลิ่วของแคว้นเสินสุ่ยมีพระคุณต่อเจ้า แต่นี่ก็ผ่านไปตั้งหลายร้อยปีแล้ว คนที่สมควรตายไม่สมควรตายก็ตายกันไปหมดแล้ว เจ้าเว่ยป้อจะยังงอแงอะไรอีก?!”
เว่ยป้อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ในหูมีแต่เสียงน้ำในแม่น้ำ
หลิวอวี้ผู้มีนิสัยใจร้อนโผงผางกล่าวอย่างขุ่นเคืองไม่หาย “ก้อนหินเหม็นในห้องส้วม! แต่ข้าผู้อาวุโสกลับดันมาติดค้างบุญคุณของเจ้า ช่างเป็นความซวยแปดชาติของข้าหลิวอวี้จริงๆ”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหัวเราะก้องกังวาน “กรรมสัมพันธ์ก็คือวาสนาอย่างหนึ่ง พวกเจ้าสองคนน่ะจงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดีเถอะ”
หลิวอวี้ถามขึ้นมาเหมือนไม่ใส่ใจ “ไม่รู้ว่าการเดินทางลงใต้ของเฒ่าโคมไฟจะเกิดปะทะกับฉู่ฮูหยินหรือไม่? หากตีกันขึ้นมา ข้าว่าเฒ่าโคมไฟน่าจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มส่ายหน้า “หวังว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ฉู่ฮูหยินมีความหมายต่อต้าหลีมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉู่ฮูหยินยังมีนิสัยรุนแรง มีปัญหาคราใดก็เลือกใช้วิธียอมพินาศกันทั้งสองฝ่าย หากไม่เป็นเพราะเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งนางยังจำเป็นต้องรีบกลับไปที่ตำหนักฉางชุนเพื่อรอรับเสด็จเหนียงเนียงท่านนั้น ข้าก็คงไม่ให้หันหลางจงรับผิดชอบคุ้มกันไปทางใต้ หันหลางจงภายนอกอ่อนโยนภายใต้กลับยึดคุณธรรมเคร่งครัด อันที่จริงเขาใจร้อยยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”
หลิวอวี้หัวเราะร่า “ไม่เป็นไรๆ คนกลุ่มนั้นไม่มีใครที่เป็นบัณฑิตรูปร่างสะโอดสะอง ฉู่ฮูหยินย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา กลับเป็นตาเฒ่าโคมไฟเสียอีกที่หากหนุ่มกว่านี้สักสามสิบสี่สิบปี ไม่แน่ว่าอาจถูกกักตัวไว้ในจวนให้ทำหน้าที่สามีของนางเลยกระมัง?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยเย้า “ประโยคนี้ของเจ้า แน่จริงก็ไปพูดต่อหน้าฉู่ฮูหยินสิ”
หลิวอวี้หัวเราะหึหึ “หากนางกล้าออกมาจากพื้นที่แถบนั้น ข้าก็กล้าพูดแบบนี้”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มทอดถอนใจ “การที่อริยะถูกเรียกว่าอริยะ ก็เพราะได้ครอบครองฟ้าดินขนาดเล็กเป็นของตัวเอง เฝ้าพิทักษ์อยู่ด้านใน สามารถยึดครองฟ้าลิขิตดินอำนวยคนสามัคคีที่อยู่ข้างในนั้นได้หมด”
หลิวอวี้กล่าวด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายใต้เท้าเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ไม่มีอะไรเช่นนี้ หากไม่ยกทัพโจมตีศัตรูก็มีพลังสังหารเป็นอันดับหนึ่ง หากยังมีฟ้าดินขนาดเล็กของอริยะเพิ่มเข้ามา มีพร้อมทั้งรุกทั้งรับ ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าเจ้าก็…”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเลิกคิ้ว กล่าวยิ้มๆ “มีกระบี่หนึ่งเล่มแล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”
มีเพียงบัดนี้เท่านั้นที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มซึ่งมีบุคลิกเรียบง่ายมอบความรู้สึกสะดุดตาให้แก่คนมอง
หลิวอวี้หัวเราะแห้งๆ
เว่ยป้อพลันหันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงว่าบนผิวน้ำตรงริมชายฝั่งที่มีกิ่งหลิวยื่นออกมามีสตรีชุดกระโปรงดำสวมหน้ากากคนหนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งหลิว
นางมีเส้นผมยาวเหยียดสีทองที่หาได้ยาก ผิวน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูใต้ฝ่าเท้านางกระเพื่อมไหวเบาๆ
ไม่รู้ว่าทำไมเว่ยป้อถึงนึกถึงกลอนบทหนึ่งที่ติดปากผู้คนขึ้นมา
เมล็ดหลิวกลางน้ำล่องลอยเป็นจอกแหน
หลังจากเห็นสตรีผู้นั้น ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็อธิบายเบาๆ ว่า “เทพแม่น้ำเถี่ยฝูก็คือนางนั่นแหละ เพิ่งจะสร้างร่างทองได้ไม่นาน ราชสำนักเองก็ยังไม่ได้สร้างศาลให้ ดังน้นั้นจึงยังมีภาวะที่จิตวิญญาณไม่มั่นคงอยู่บ้าง”
เว่ยป้อเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ “นางชื่อว่าอะไร?”
หลิวอวี้แค่นเสียงเย็น “ชื่อของสตรีผู้นี้เพราะนักล่ะ หยางฮวา หยางฮวาที่เป็นดอกไม้ธาตุน้ำ! ตลอดทางที่เดินมาพบพานแต่โชคดีเทียมฟ้า ทำให้คนอิจฉาตาร้อน ถือกำเนิดในชนบท ท่านชิงอูเล็งเห็นในฐานกระดูกที่ไม่ธรรมดา ได้รับการยอมรับจาก “กระบี่อาญาสิทธิ์” ที่มีชื่อเสียงของลัทธิเต๋าแห่งต้าหลีพวกเรา ตอนนี้ยังได้กลายมาเป็นเทพแม่น้ำในระดับต้นๆ ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ด้วยชะตาชีวิตที่ดีขนาดนี้ของนาง วันหน้าจะไม่ลอยขึ้นฟ้าเลยหรือ”
เว่ยป้อร้องอ้อหนึ่งที สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ นั่งลงบนหลังงูดำ “นางถือว่ามีสภาพการณ์ของพิรุณเทพ มิน่าเล่าทุกอย่างถึงได้ราบรื่นไปหมด มีไอ้หมอนี่ที่พลังอำนาจแข็งแกร่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต้องมาพบหน้ากันบ่อยๆ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย”
แม้ว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจะแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้
ทว่าปรากฎการณ์ของพิรุณเทพนับว่าร้อยปียากจะพานพบอย่างแท้จริง
พวกเว่ยป้อที่นั่งอยู่บนหลังงูสีดำเคลื่อนผ่านต้นหลิวต้นหยางต้นแล้วต้นเล่า หยางฮวาเทพแม่น้ำยังคงนั่งเฉยดังเดิม
แคว้นเสินสุ่ยในอดีตมีนักกวีที่โดดเด่นมากมาย โดยเฉพาะบทกลอนบอกลาที่ได้รับคำสรรเสริญจากคนบนโลกมากที่สุด ขับร้องสืบทอดผ่านเหล่าสตรีโคมเขียว เคยเป็นที่นิยมไปทั้งทวีป
หนึ่งในนั้นมีท่อนที่ว่าดอกหยางฮวาคือเมล็ดหลิว
เพียงแต่ว่าก็เป็นอย่างที่ชายฉกรรจ์หลิวอวี้กล่าวไว้ นี่คือเรื่องตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว
เว่ยป้อไม่พูด ใครจะสนใจ? ต่อให้พูดไปแล้ว แล้วใครจะเต็มใจฟัง?
มีเพียงอริยะสำนักขงจื๊อเท่านั้นที่เคยอธิบายไว้ว่า หยาง หลิวคือพืชชนิดเดียวกัน กิ่งก้านต่างชูขึ้นสูง
……
เว่ยป้อพลันหันกลับไปมอง แต่กลับมองไม่เห็นเทพแม่น้ำนามว่าหยางฮวาผู้นั้นอีกแล้ว
ส่วนพื้นที่แถบที่ขยับมาทางใต้ยิ่งกว่าภูเขาฉีตุน
ที่นั่นมีโคมไฟดวงใหญ่ดวงหนึ่งลอยขึ้นสูง
มือหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มวางไว้บนด้ามกระบี่ตรงเอว กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ดูท่าข้าคงต้องไปเองสักรอบแล้ว”
ทว่าเวลานี้เอง
ท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านแห่งหนึ่งริมชายแดนต้าหลี แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมาจากยอดเขาแล้วพุ่งไปทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว เหมือนดาวตกดวงหนึ่งที่ลากยาวเป็นแสงสีหิมะเส้นหนึ่ง
นั่นคือปราณกระบี่ของกระบี่บินเล่มหนึ่ง!
แต่กลับไม่เห็นเจ้าของกระบี่
ปราณกระบี่ยาวอีกทั้งยังหนักอึ้ง
หนึ่งกระบี่ร่วงลงห่างจากแม่น้ำซิ่วฮวาไปไม่ไกล
หนึ่งกระบี่ทำลายค่ายกลใหญ่ที่แข็งแกร่งดุจพื้นที่ของอริยะ ร่วงลงเบื้องหน้าลาขาวตัวหนึ่งพอดี