แม่น้ำซิ่วฮวางดงามสมชื่อ ริ้วน้ำสีมรกตกระเพื่อมไหวแผ่วเบาๆ ไม่มีลมกระโชกหรือคลื่นลูกใหญ่อะไร ผิวน้ำกว้างขวางแต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน
เรือโดยสารที่เฉินผิงอันสี่คนโดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปทางใต้มีสองชั้น ส่วนใหญ่คนที่โดยสารล้วนเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมอาภรณ์สีเขียว พวกพ่อค้าและนักเดินทาง หลี่เป่าผิงไม่กลัวคนแปลกหน้า นางชอบสะพายหีบหนังสือใบเล็กขยับเข้าไปใกล้กลุ่มคน คอยเงี่ยหูฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน ปัญญาชนทั่วไปเมื่อเห็นแม่นางน้อยที่หน้าตาเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังสะพายหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กเหมือนคนเดินทางไกลเพื่อไปศึกษาต่อ ยืนอยู่ห่างไม่ใกล้ไม่ไกลด้วยท่าทางสุภาพว่าง่าย คนส่วนใหญ่ก็มักจะหันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แล้วพูดคุยกันต่อไปอย่างไม่มีปิดบังเพราะไม่ได้เก็บเอาแม่นางน้อยมาใส่ใจ
หลี่ไหวบังคับบังเหียนอย่างระมัดระวัง ขี่ลาขาวเดินวนเป็นวงเล็กๆ อยู่บนเรือคล้ายแม่ทัพใหญ่ที่คอยลาดตระเวนตรวจตราชายแดน โอหังอย่างถึงที่สุด พูดแล้วก็แปลก ลาขาวยังยอมให้หลี่ไหวขี่มันคนเดียวจริงๆ นี่ทำให้หลี่ไหวดีใจสุดขีด ส่วนเรื่องที่ว่าในอนาคตเว่ยจิ้นบนแท่นบูชาเทพเซียนของศาลลมหิมะอะไรนั่นจะต้องมาเอาลาตัวนี้ไป ถึงเวลานั้นหลี่ไหวต้องขอค่าตอบแทนจากอีกฝ่าย เรียกร้องให้มากตามที่ต้องการ เรื่องสำคัญที่แท้จริงเหล่านี้ หลี่ไหวกลับทำเหมือนลมที่พัดผ่านหูไปซะอย่างนั้น
หลินโส่วอีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นั่งลงเอาหลังพิงผนังรั้วด้านในตัวเรือ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทำไมอาเหลียงถึงบอกว่าข้าเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว? แล้วข้ากลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันหยุดมือที่กำลังใช้มีดผ่าฝืนปาดกระบอกไม้ไผ่ให้เป็นแผ่น พูดยิ้มๆ “ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ก็เกรงใจที่จะถาม กลัวว่าเจ้าจะคิดมาก”
หลินโส่วอีค่อนข้างจะกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ในบรรดานักเรียนทั้งสามคน ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกว่า คนที่เฉินผิงอันให้ความสนใจอย่างแท้จริงมีแค่หลี่เป่าผิงเท่านั้น และระหว่างเขากับหลี่ไหว เฉินผิงอันก็น่าจะสนิทสนมกับหลี่ไหวมากกว่า ส่วนสาเหตุจะเป็นเพราะคนทั้งสองต่างก็เกิดและเติบโตมาในตรอกเก่าโทรมของเมืองเล็ก หรือไม่ก็เป็นเพราะตนที่พูดน้อยเกินไปหรือไม่ หลินโส่วอีก็ไม่แน่ใจนัก และอันที่จริงแล้วสำหรับเรื่องหยุมหยิมไม่มีค่าพอให้พูดถึงพวกนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่เคยให้ความสนใจอย่างแท้จริงมาก่อน
ถึงกระนั้นหลินโส่วอีก็ยังอดกลัดกลุ้มไม่ได้
หลินโส่วอีถาม “สรุปว่าเจ้ารู้ถึงความร้ายกาจของน้ำเต้าน้อยสีเงินลูกนั้นหรือไม่?”
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านอย่างไม่กระโตกกระตากก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “ขนาดอาเหลียงยังบอกว่ามันคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อะไรสักอย่างที่หายากมาก แน่นอนว่าต้องล้ำค่าอย่างยิ่ง”
หลินโส่วอีกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนั้นที่เจ้าปฏิเสธจะดื่มเหล้าเพราะต้องการฝึกวิชาหมัด ทำให้ตัวเองพลาดโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนไป? การที่ข้าสามารถเดินขึ้นภูเขาได้อย่างเป็นทางการ กลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปก็เพราะเคยดื่มเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าลูกเล็กนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ข้าดื่มเหล้าก็รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกหรือความสามารถในการมองเห็น ความสามารถในการได้ยิน แม้กระทั่งจิตใจและพละกำลังเท้า คนที่เดิมทีเหน็ดเหนื่อยที่สุดในการเดินทางไกลครั้งนี้ มาถึงท้ายที่สุดข้าถึงขั้นสามารถเดินตามทันฝีเท้าของเจ้า เจ้ามองออกหรือไม่?”
นิ้วมือของเฉินผิงอันลูบไปบนแผ่นไม้ไผ่เย็นฉ่ำตามจิตใต้สำนึก “หลังออกมาจากริมลำคลองเถี่ยฝู และขณะที่เดินเข้าไปใกล้ภูเขาฉีตุน อันที่จริงการเดินทางในช่วงหลังของเจ้าผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก”
หลินโส่วอียังคงพูดได้อย่างผ่อนคลายโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “อ้อ ที่แท้เจ้าก็มองออกมาตั้งนานแล้ว”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “อาเหลียงขี้เกียจมากเลยล่ะ มีความสามารถมากแต่กลับไม่ยอมสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าอย่างนั้นข้าที่เป็นคนนำทางก็ต้องคอยสังเกตพละกำลังฝีเท้าของพวกเจ้าทุกคน ถึงเวลาไหนควรจะหยุดพัก ข้าต้องมีคำตอบอยู่ในใจ ต้องไม่ให้ทุกคนเดินเหนื่อยเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามให้พวกเจ้าเพิ่มพละกำลังฝีเท้าโดยอาศัยการเดินด้วย วันหน้าเส้นทางที่พวกเรายังต้องเดินอีกยาวไกล ข้าหวังว่าหลังจากนี้ทุกคนจะไม่ต้องลำบากกันมากนัก”
หลินโส่วอีมองสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอันแล้วยกมือทั้งคู่ขึ้นกอดอก จู่ๆ ก็แค่นเสียงเย็นอย่างไร้สาเหตุ “หากคนอื่นพูดประโยคนี้ ข้าไม่มีทางเชื่อแน่”
เฉินผิงอันยกแผ่นไม้ไผ่ในมือขึ้นแล้วถามยิ้มๆ “ยิ่งนานก็ยิ่งคล่องมือแล้ว แต่ว่าหีบไม้ไผ่ใบสุดท้ายต้องทำออกมาได้สวยที่สุดแน่ ถ้าอย่างนั้นใบนี้ข้าทำให้หลี่ไหวก่อน? เพราะใบนี้ข้าทำขนาดค่อนข้างเล็ก”
หลินโส่วอีปรายตามองหลี่ไหวที่ขี่อยู่บนหลังลาเฒ่าแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะ ทำให้ข้าก่อนแล้วกัน อย่างมากก็คงถูกเขาบ่นสองสามคำเท่านั้น”
เฉินผิงอันหัวเราะทันใด “ข้าจะพยายามทำของเจ้าให้แน่นหนาสักหน่อย ใช้เชือกมากหน่อย ใต้เท้าเทพเซียนนี่นะ หากวันหน้าสามารถบินไปบินมาได้อย่างอาเหลียงจริงๆ หากไม่แน่นหนาสักนิดเกรงว่าคงสะพายได้ไม่กี่วัน”
หลินโส่วอีถอนหายใจ รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้โง่สักเท่าไหร่ แต่หากคิดจะตามความคิดของเจ้าหมอนี่ให้ทันกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ต่อให้คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาก็ถามด้วยความใคร่รู้ “ทำไมตอนอยู่ที่จุดพักม้าเจิ่นโถว อาเหลียงยังไม่ทันจากไปนานเท่าไหร่ เจ้าก็เล่าเรื่องของจูเหอจูลู่ให้หลี่เป่าผิงฟังตามจริงทั้งหมด?”
สีหน้าของเฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง ถามกลับว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าสนิทกับเป่าผิงมากกว่า หรือสนิทกับพ่อลูกคู่นั้นมากกว่า?”
หลินโส่วอีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เหลวไหล”
เฉินผิงอันจึงพยักหน้า “ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้เป่าผิงรู้อย่างชัดเจนว่าคนที่มาจากตระกูลของนางทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง จูลู่เป็นคนอย่างไรกันแน่ ข้าพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว ตอนที่อาเหลียงจงใจวางกับดักนาง นางไม่ได้แค่เกิดความลังเลเรียบง่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่หวังให้จูเหอบิดาของนาง…ลุกขึ้นมาอีกครั้ง หากจะบอกว่าตอนอยู่เขาฉีตุน การกระทำที่เหลวไหลของนางทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย แต่ในเมื่อหลังจากจบเรื่องทุกคนต่างก็ปลอดภัยกันดี ข้าสามารถมองว่านางร้อนใจห่วงใยบิดาและลองเอาตัวไปคิดในมุมมองของนาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะทำได้ดีกว่านาง ดังนั้นแม้ในใจข้าจะโกรธเคือง แต่ก็ไม่มีทางตำหนินางซึ่งหน้า ทว่าตอนที่อยู่ในระเบียงของจุดพักม้า การกระทำของจูลู่ไม่อาจให้อภัยได้อีกแล้ว ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ให้ผลประโยชน์กับนางมากพอ อย่าว่าเป่าผิงที่เป็นคุณหนูของนางเลย อันที่จริงไม่ว่าใครก็ล้วนถูกจูลู่ขายได้ทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “หากนางยังมีนิสัยอย่างนั้น สักวันหนึ่งบิดาของนางย่อมต้องตายเพราะนางเข้าจริงๆ ข้าไม่หวังให้คนที่นิสัยไม่เลวอย่างจูเหอได้มีชีวิตออกไปจากเมืองหงจู๋ แต่สุดท้ายก็ยังต้องไปตายด้วยน้ำมือของบุตรสาวตัวเองอยู่ดี ทำไมนะทั้งๆ ที่มีพ่อ แต่กลับไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า?”
หลินโส่วอีสีหน้าเย็นชา “เจ้านึกว่าพ่อแม่ทุกคนบนโลกล้วนเป็นคนดีหมดหรือ?”
น้ำเสียงของเฉินผิงอันยืนกรานหนักแน่น “คนอื่นข้าไม่รู้ แต่พ่อแม่ของข้าเป็นคนดีมาก!”
สีหน้าของหลินโส่วอีไม่ค่อยน่าดูเท่าใดนัก แต่คำพูดประโยคหลังของเฉินผิงอันทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มดีขึ้นเล็กน้อย “จูเหอเป็นคนดี แต่ดูเหมือนว่าจะสอนบุตรสาวไม่ค่อยเป็น เรื่องบางเรื่องในเมื่อทำผิดให้เห็นเด่นชัดถึงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่พูดไม่สอนล่ะ? ข้าไม่เข้าใจ หลินโส่วอีเจ้าเป็นฉลาด เจ้ารู้เหตุผลหรือไม่?”
สีหน้าของหลินโส่วอีเหนื่อยล้าเล็กน้อย “คงเป็นเพราะใต้ตะเกียงมืดกระมัง (เปรียบเปรยว่าเมื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใกล้ตัวหรือกับตัวเอง คนเรามักจะสังเกตไม่เห็นหรือมองไม่เห็นเสมอ) แต่ว่าพ่อแม่ใต้หล้านี้ไม่อาจใช้ประโยคง่ายๆ ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่มาให้คำจำกัดความได้ เฉินผิงอัน ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่เล่มหนึ่ง พ่อแม่ของเจ้าด่วนจากไปเร็ว เรื่องบางเรื่องเจ้าถึงไม่ต้องวุ่นวายใจคิดไม่ตก แน่นอนว่าข้าไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น หากคำพูดไม่น่าฟังไปบ้าง เจ้าก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
เฉินผิงอันโบกมือ เอ่ยยิ้มๆ “ไม่อยู่แล้วล่ะ”
หลินโส่วอีปรายตามองมวยผมของเฉินผิงอัน “จู่ๆ ปิ่นหยกก็หายไปอย่างนี้ จะไม่หาสักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันก้มหน้าทำหีบหนังสือใบเล็กของตัวเองต่อไป ส่ายหน้าตอบ “หาไม่เจอหรอก เจ้าคิดว่าข้าที่เป็นคนโลภในทรัพย์สินจะทำของที่ล้ำค่าขนาดนี้หายไปเองหรือ?”
สีหน้าหลินโส่วอีเปลี่ยนมาเป็นเหยเก “มิน่าเล่าอาเหลียงถึงบอกว่าข้าควรจะเปลี่ยนชื่อกับเจ้า”
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
ทว่าหลินโส่วอีกลับเปลี่ยนหัวข้อพูดแล้ว เขาโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ชี้ไม้ชี้มือให้เฉินผิงอันที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดู “ตรงนี้ของหีบหนังสือทำให้โค้งสักหน่อยได้ไหม หาไม่แล้วมันจะเป็นสี่เหลี่ยมตายตัวเกินไป เป็นมุมมนๆ มีส่วนโค้งน่าจะดีกว่า มองไกลๆ ก็สบายตากว่า”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าจะพยายาม แต่หากถึงเวลาเอาไปใช้แล้วประสิทธิภาพไม่ดี ข้าก็ไม่สนด้วยนะ”
รู้นิสัยพูดหนึ่งไม่มีสองของไอ้หมอนี่ดี หากเขาพูดว่าไม่สนก็คือไม่สนต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ขยับจริงๆ ดังนั้นหลินโส่วอีที่ค่อนข้างหวังกับหีบหนังสือใบเล็กไว้มากจึงร้อนใจขึ้นมาทันใด รีบพูดรัวเร็ว “แบบนั้นจะได้อย่างไร ไม้ไผ่ของภูเขาฉีตุนเหล่านี้ต่างก็มีที่มาไม่ธรรมดา ใช้หมดไปแผ่นหนึ่งก็น้อยลงแผ่นหนึ่ง หีบหนังสือของข้าต้องสวยงามสบายตา ขณะเดียวกันก็มีข้อได้เปรียบที่แน่นหนาใช้งานได้จริง เฉินผิงอัน เวลาที่เจ้าขยับมีดผ่าฟืนสามารถช้าลงหน่อยก็ได้นี่นา ตอนที่เอาโครงมาประกอบกันก็คิดให้มากๆ หน่อย ต้องคิดให้มากๆ เลยนะ…”
เฉินผิงอันยังคงลงมีดรัวเร็วราวกับบิน บนผืนที่แผ่นไม้ไผ่เขียวมรกตแคบสั้นหล่นกระจัดกระจายลงมาตลอดเวลา จากนั้นก็ถูกเฉินผิงอันทยอยเก็บใส่ในตะกร้าไม้ไผ่ของตัวเอง ทำเอาหลินโส่วอีที่มองดูอยู่ประหวั่นพรั่นพรึง หางตาของเฉินผิงอันเหลือบเห็นท่าทางร้อนใจของเด็กหนุ่มก็พยายามกลั้นยิ้ม “ไม่อย่างนั้นข้าทำหีบหนังสือให้เจ้าเป็นคนสุดท้ายไหมล่ะ”
เด็กหนุ่มกล่าวสีหน้าขุ่นเคือง “ข้าชื่อหลินโส่วอี ข้าเป็นคนที่จิตใจโลเลชอบกลับกลอกงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันรู้ได้ทันใดว่าทำไมอาเหลียงถึงได้ชอบใช้วิธีการสกปรกนัก ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลย
หลี่ไหวจูงลาลาเดินอาดๆ เข้ามาหาคนทั้งสองแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “เฉินผิงอัน เจ้าว่าพรุ่งนี้อาเหลียงจะกลับมาไหม?”
เฉินผิงอันเงยหน้าถาม “ลืมไปแล้วหรือ?”
หลี่ไหวรีบยกมืออุดปาก พอปล่อยมือก็กวาดตามองไปรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วปล่อยเชือกจูงลง นั่งยองอยู่ฝั่งตรงข้ามเฉินผิงอัน กดเสียงแผ่วต่ำ “ถ้าอย่างนั้นก็วันมะรืน วันมะรืนก็ได้ จะอย่างไรซะอย่างช้าที่สุด ช้าที่สุด รอให้พวกเราลงเรือแล้ว หากอาเหลียงยังไม่กลับมา วันหน้าข้าก็จะไม่นับเขาเป็นเพื่อนอีกต่อไป เฉินผิงอัน เจ้าว่าที่ข้าทำแบบนี้มีคุณธรรมมากพอแล้วหรือไม่? ใช่ไหม? ถึงเวลานั้นถ้าอาเหลียงคุกเข่าบนพื้นขอร้องข้า อืม เจ้าก็สามารถพูดแทนเขาอย่างถูกเวลา ถึงตอนนั้นข้าค่อยพยักหน้าตอบรับ ยอมเป็นเพื่อนกับอาเหลียงต่ออย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนักก็แล้วกัน”
หลินโส่วอีถือโอกาสหลับตา สำหรับหลี่ไหวที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้ การแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยินคือทางเลือกที่ดีมาก
หลินโส่วอีไม่เคยเห็นใครกวนโอ้ยขนาดนี้มาก่อน เขาสงสัยจริงๆ ว่าหากวันใดวันหนึ่งหลี่ไหวก่อเรื่องขึ้นมา ตนจะรู้สึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายหรือไม่
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลาร้อง ตามมาด้วยเสียงเด็กคนหนึ่งล้มลงแล้วร้องไห้ดังลั่น