ไม่มีผีสาวชุดแต่งงานแอบเล่นงานอย่างลับๆ พวกเฉินผิงอันจึงเดินทางได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ในพื้นที่ว่างระหว่างหุบเขามีเส้นทางสายหนึ่งที่ทอดยาวไปถึงจวนหลังนั้น เดิมทีรถม้าสองคันสามารถขับเคียงคู่กันไปได้ แม้ว่าตอนนี้จะมีพุ่มหญ้าขึ้นรก พร่างพรมด้วยหยาดน้ำฝนและไอเย็น แต่เมื่อเทียบกับเส้นทางที่หลังออกมาจากเส้นทางน้ำพุเหลืองเพราะอาศัยยันต์ทำลายเวทอำพรางตา แล้วเฉินผิงอันต้องใช้ดาบยันต์มงคลบุกเบิกฝ่าออกไปแล้วก็นับว่าดีกว่าเยอะมาก
หลังจากที่เข้ามารวมกลุ่ม บุรุษที่ถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานเรียกขานเป็นเซียนกระบี่พสุธาก็พลันเงียบงัน เซียนกระบี่จากศาลลมหิมะและหอเทพเซียนท่านนี้ มือหนึ่งจูงลาขาว อีกมือหนึ่งจับด้ามกระบี่ตรงเอว หลับตาเดินด้วยจิตใจที่ล่องลอยไปไกล
หากจะบอกว่าระหว่างห้าขอบเขตล่างกับห้าขอบเขตกลางมีร่องลึกเส้นหนึ่งขวางกั้นอยู่ ถ้าอย่างนั้นระหว่างขอบเขตที่สิบกับขอบเขตที่สิบเอ็ดก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีปราการธรรมชาติกั้นขวาง ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สิบจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งมีสถานะสูงส่งเป็นดั่งเสาคานของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ก็ยังจำเป็นต้องทำตัวเป็นเหมือนสุสานเดียวดายอยู่หลายสิบปีหรืออาจถึงขั้นเป็นร้อยปี สุดท้ายกว่าจะคลำเจอโอกาสฝ่าขอบเขตที่ “เป็นจุดเปลี่ยน” ของชะตาอันมืดมน ได้ออกจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เดินลงไปจากภูเขา แต่ถึงท้ายที่สุดกลับได้มาเพียงความว่างเปล่าดั่งใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานตักน้ำ ต้องย้อนกลับไปนั่งเดียวดายอยู่บนภูเขาก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย
เว่ยจิ้นสิ้นสุดคาถาเข้าฌานที่มีเฉพาะในศาลลมหิมะอย่างเงียบเชียบ เมื่อลืมตาขึ้นก็หันหน้ากลับไปมองประเมินพวกเด็กๆ ที่สนิทสนมกับอาเหลียง เพียงแต่ความคิดในใจของเซียนกระบี่ชุดขาวผู้นี้กลับยังวนเวียนอยู่กับเรื่องพิธีเซ่นไหว้ของศาลลมหิมะที่ไม่อาจฝ่าฟันไปได้เสียที หลายปีมาแล้วที่เขาไม่อาจไปคำนับสุราต่อหน้าหลุมศพของอาจารย์ อีกอย่างก็คือหลังจากได้ยินเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อยเหล่านั้นของอาเหลียง เว่ยจิ้นจึงเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังที่จะได้เห็นภูเขาห้อยหัวอันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสองใต้หล้า สำหรับกำแพงเมืองที่ด้านบนกำแพงมีแต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งเลื่อมใสใฝ่หา
เว่ยจิ้นถอนหายใจ รู้สึกเหมือนยังไม่หายอยาก
หากก่อนหน้านี้ตอนอยู่ใต้กรอบป้าย “น้ำใสลมแรง” แล้วเรือนกายที่มีเลือดเนื้อของเขามั่นคง ผสานรวมกับปราณกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนถึงขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ถ้าเช่นนั้นการออกกระบี่ของเขาก็คงไม่มีข้อบกพร่องใดๆ และเกรงว่าตอนที่จอมยุทธ์พเนจรของสำนักโม่ออกหน้าขัดขวางเขาคงไม่ใช่แค่ชักกระบี่หนึ่งชุ่น อย่างน้อยสุดก็ควรต้องชักออกมาถึงครึ่งหนึ่ง
หลี่ไหวมองเทพเซียนชุดขาวที่สายตาเลื่อนลอยด้วยความสนใจใคร่รู้ แม้จะใคร่รู้ แต่ขณะเดียวกันก็เสียดายอย่างมาก หากอาเหลียงอยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี หลี่ไหวอยากตบไหล่อาเหลียงแล้วบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นยอดฝีมือเวทกระบี่ที่แท้จริง เจ้าอาเหลียงยังห่างชั้นไปหน่อย วันหน้าต้องเรียนรู้จากคนอื่นเขาให้มาก ดูการเปิดตัวของเว่ยจิ้นสิ คนยังไม่เผยกายกระบี่บินก็มาถึงแล้ว ปราณกระบี่ล้อมวนอยู่รอบชุดขาว เล่นงานเสียจนผีสาวตัวร้ายผู้นั้นร้องหาพ่อเรียกหาแม่ ปรากฏตัวทีทำเอาฟ้าสะท้านดินสะเทือน เจ้าอาเหลียงที่สวมงอบจูงลาเดินอยู่ข้างแม่น้ำจะเปรียบเทียบกับเขาได้อย่างไร?
หลังจากหลินโส่วอีค้นพบว่าเว่ยจิ้นมองประเมินพวกเขา แล้วสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกกระบี่ศาลลมหิมะผู้นี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เด็กหนุ่มผู้เย็นชาก็จับประคองหีบหนังสือของตัวเองอย่างไม่กระโตกกระตาก ครุ่นคิดถึงเรื่องการฝึกตนของตัวเอง
เคยได้เห็นเวทอภินิหารลึกล้ำไม่อาจประเมินการณ์ของผีสาวชุดแต่งงาน ได้เห็นการประลองเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ทั้งสอง หลินโส่วอีก็ให้หนักใจ ภารกิจหนักอึ้งและหนทางยังยาวไกล ตบะเพียงเล็กน้อยแค่นั้นของตน ตอนนี้ยังไม่มากพอจะยัดซอกฟันของคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
เว่ยจิ้นถอนสายตาที่เลื่อนลอยกลับคืนมา หยุดฝีเท้า หยิบป้ายหยกมันแพะเป็นประกายแวววาวชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มแล้วกล่าวตรงไปตรงมา “ข้าไม่สามารถติดตามพวกเจ้าไปถึงด่านเหย่ฝูของชายแดนต้าหลีได้ จำเป็นต้องกลับไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูทันที ไปฝึกปรือขัดเลากระบี่เทียนสล้างและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แท่นสังหารมังกรของที่นั่น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปภูเขาห้อยหัว เพราะผู้อาวุโสอาเหลียงเคยบอกว่า ที่แห่งนั้นที่ต้องข้ามผ่านภูเขาห้อยหัวไป ตอนนี้กำลังมีสงครามใหญ่ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง ข้าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
เว่ยจิ้นเห็นว่าไม่มีใครยื่นมือออกมารับป้ายหยกจึงอธิบายด้วยความอดทนว่า “แม้ว่าพวกเจ้าจะมีเทพหยินที่พลังอำนาจไม่อาจดูแคลนคอยคุ้มครองอยู่ก่อนแล้ว แต่เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอย่างในวันนี้ขึ้นอีกครั้ง ข้าจึงมอบป้ายหยกชิ้นนี้ให้แก่พวกเจ้า นี่คือ ‘แผ่นหยกสันติสุขของศาลบนภูเขา’ ที่มีเฉพาะในเขาเจินอู่และศาลลมหิมะพวกเราเท่านั้น หากพบเจอกับอันตราย ขอแค่กรอกปราณของผู้ครอบครองเข้าไปแล้วถ่ายทอดคำพูดให้กับมัน พอปล่อยมือมันจะบินไปยังศาลบนภูเขา ขอความช่วยเหลือจากสำนักด้วยตัวเอง”
เว่ยจิ้นเห็นว่ายังคงไม่มีใครยอมรับแผ่นหยกที่มีความหมายสำคัญชิ้นนี้ก็ไม่ได้ตำหนิพวกเด็กๆ ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กลับหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “หากพวกเจ้ารู้สึกว่าให้ข้าไปที่ด่านเหย่ฟูเป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้วสบายใจยิ่งกว่าถือป้ายหยกเล็กๆ ชิ้นเดียวนี้ ข้าก็ไม่มีทางปฏิเสธหน้าที่ความรับผิดชอบ ข้าก็แค่ปรึกษากับพวกเจ้าเท่านั้น สุดท้ายจะเป็นอย่างไรยังต้องดูที่ความต้องการของพวกเจ้า”
เฉินผิงอันเปิดปาก “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่สามารถเดินทางไปที่อำเภอหลงเฉวียนเพื่อหาแท่นสังหารมังกรมาลับคมกระบี่ได้เลย พวกเราจะรับป้ายหยกแผ่นนี้ไว้ เดิมทีการเดินทางไปยังด่านเหย่ฟูครั้งนี้ก็มีผู้อาวุโสเทพหยินคุ้มครองอยู่แล้ว บวกกับที่ก่อนหน้านี้ราชสำนักต้าหลีเคยรับปากพวกเราไว้ ดังนั้นคนทั้งสามถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ข้างผีสาว แม้อาจจะมาช้าไปบ้าง แต่จะอย่างไรก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขารักษาคำพูดของตัวเอง”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เชื่อว่าหลังจากนี้คงไม่มีเรื่องไม่คาดคิดที่ใหญ่เท่าวันนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก”
เขารับป้ายมาแล้วส่งต่อให้หลินโส่วอี กำชับเสียงเบา “เก็บรักษาไว้ให้ดี ทางที่ดีที่สุดอย่าเก็บไว้ในหีบหนังสือ อยู่ไกลเกินไป เวลามีเรื่องเร่งด่วนจะหยิบออกมาได้ไม่สะดวก”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ เอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว จะเอามันเก็บไว้ในชายแขนเสื้อพร้อมกับยันต์ที่เหลืออีกสองแผ่น”
เว่ยจิ้นยิ้มอย่างเข้าใจ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับความเข้าใจและรู้ความของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนนี้ อันที่จริงตอนแรกเว่ยจิ้นยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมคนผู้นี้ถึงมีสิทธิ์ในการตัดสินใจแทนคนทั้งกลุ่ม ตอนที่อยู่บนถนนหน้าจวนของผีสาวก่อนหน้านี้ เว่ยจิ้นก็มองออกแล้วว่าเด็กหนุ่มหลินโส่วอีได้เดินไปบนสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้ว ช่องโพรงลมปราณของเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กว้างขวางอีกทั้งยังมั่นคง คือตัวอ่อนในการฝึกตนที่หาได้ยากยิ่ง อีกทั้งเด็กหนุ่มยังมีนิสัยหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของคนอื่นได้อย่างไร แถมที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือมองไปแล้วตัวเด็กหนุ่มเองก็คล้ายจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง?
ส่วนเจ้าเด็กที่อายุน้อยสุด แข็งแรงน่าเอ็นดูผู้นั้น ในเมื่ออาเหลียงสั่งให้เป็นคนดูแลลาขาว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความโชคดีของเขาให้มากความ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเว่ยจิ้นก็ต้องมอบของขวัญบอกลาให้กับหลี่ไหวหนึ่งชิ้น เขาเว่ยจิ้นไม่มีใครให้ต้องห่วงหน้าพะวง หลังเดินทางพเนจรเพียงลำพังไปทั่วสารทิศมาแล้วหลายปี ได้พบเจอโชควาสนามหัศจรรย์มามากมายนับไม่ถ้วน ของดีที่เก็บไว้ในกระเป๋ามีไม่น้อย ส่วนใหญ่ที่หยิบออกมาแจกจ่ายให้กับคนที่มีโชควาสนาอย่างไม่ใส่ใจ จนถึงวันนี้ของเหล่านั้นล้วนกลายมาเป็นของดีที่สำคัญในสำคัญ
แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเว่ยจิ้นใช้จิตแห่งกระบี่ไปส่องมองอีกฝ่าย กวาดเอาหมอกพรางตาที่มีคนจงใจสร้างไว้ออกไป ถึงได้ค้นพบว่าฐานกระดูกที่มีมาตั้งแต่เกิดของหลี่ไหวกลับดีกว่าหลินโส่วอีด้วยซ้ำ คือหยกงามชั้นเยี่ยมที่เหล่าปรมาจารย์บรรพบุรุษสำนักการทหารศาลภูเขาปรารถนาจะได้ครอบครองแม้ในยามหลับฝัน
หันมามองแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่มีหมอกขาวล้อมวนทั่วร่างในสายตาของเซียนกระบี่เว่ยจิ้น นางก็เปิดปากถามว่า “ป้ายชิ้นนี้ หากเจอกับสถานการณ์อย่างในวันนี้ มันจะบินออกไปได้จริงๆ หรือ? ถ้าเจอกับเส้นทางน้ำพุเหลืองเหมือนก่อนหน้านี้ รวมถึงม่านราตรีชั้นที่ถูกกระบี่บินของท่านผู้อาวุโสทะลวงในภายหลัง จะขัดขวางทางไปของมันหรือเปล่า?”
เว่ยจิ้นหัวเราะร่าเสียงดัง “วางใจได้เลย ต่อให้เป็นขอบเขตอริยะนักพรตขอบเขตสิบก็ไม่มีทางกักตัวมันไว้ด้วย ความเร็วของวัตถุชิ้นนี้เร็วมาก เหนือกว่าการควบคุมกระบี่ให้บินทะยาน ขณะที่ป้ายหยกบินไป ขอแค่นักพรตของศาลลมหิมะที่ออกมาหาประสบการณ์อยู่ด้านล่างภูเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของมันก็จะใช้เวทลับชักนำมันไปอยู่ข้างกายตัวเอง และทุกคนก็มักจะเต็มใจให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงไม่ต้องให้ปรมาจารย์ในสำนักลงมือเอง วิกฤตก็คลี่คลายได้แล้ว”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เดิมทีป้ายหยกนี้ก็คือเอกสารผ่านด่านชนิดหนึ่ง ถ้าหากเป็นศัตรูที่แม้แต่ผู้อาวุโสเทพหยินยังเอาชนะไม่ได้ ย่อมต้องมีฐานะที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก ด้วยอายุและประสบการณ์ของพวกเขาย่อมมองป้ายสันติสุขของศาลลมหิมะชิ้นนี้ออกในปราดเดียว แล้วก็ต้องกริ่งเกรงในตัวผู้อาวุโสเซียนกระบี่และสำนักของท่านผู้อาวุโสด้วย ขอแค่แสดงป้ายหยกแผ่นนี้ก็สยบขวัญศัตรูได้แล้ว เพราะเท่ากับเป็นการเตือนฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าคิดจะท้าทายศาลลมหิมะ”
เว่ยจิ้นตะลึง รู้สึกทึ่งในความฉลาดรอบรู้เกินวัยของแม่นางน้อย มองแม่นางน้อยที่มีสีหน้าจริงจังตั้งใจก็พลันเกิดความชื่นชอบ รู้สึกว่านางน่ารักและชวนให้ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติ
มาถึงท้ายที่สุดเว่ยจิ้นหันไปมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าเพียงแค่เพราะอายุมากกว่าทุกคนเล็กน้อยถึงได้เป็นผู้นำของเด็กสามคนนี้?
เว่ยจิ้นย้ายสายตามองไปยังหลี่ไหวที่ช่วยตนดูแลลาขาวมาตลอดทาง หลังจากชั่งน้ำหนักดีแล้วก็หมุนข้อมือหนึ่งครั้ง กลางฝ่ามือมีหุ่นดินตัวจิ๋วยืนเรียงกันเป็นแถว มีความสูงแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น บ้างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่พกกระบี่ บ้างก็เป็นนักพรตเต๋าถือแส้ปัดฝุ่น บ้างก็เป็นขุนพลบู๊สวมเสื้อเกราะ บ้างก็เป็นหญิงสาวนั่งขี่อยู่บนห่าน บ้างก็เป็นชายตีฆ้องบอกเวลา รวมทั้งหมดห้าคน
เว่ยจิ้นมองไปทางหลี่ไหว “หุ่นดินทั้งห้านี้ถือเป็นของตายครึ่งตัว ผนึกความรู้ที่ลึกล้ำของเวทหุ่นเชิดสำนักหยินหยาง สำนักโม่และสายอักขระยันต์ของลัทธิเต๋า ข้าไม่เข้าใจความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน รู้แค่ว่าหากเลี้ยงบำรุงไว้อย่างเหมาะสม ให้พวกมันคุ้นเคยกับปราณของเจ้า ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมา หลังจากนั้นจำเป็นต้องป้อนด้วยแก่นของห้าธาตุอย่างอัคคีเทพ แก่นวารี ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับขีดจำกัดจากช่องโพรงลมปราณ เส้นชีพจร ฯลฯ ในร่างเล็กๆ จึงทำให้ตบะที่สูงที่สุดของพวกมันอย่างมากก็แค่เท่ากับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่เจ็ด ขอบเขตที่แปดเท่านั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยจิ้นก็รู้สึกว่าตัวเองหลุดพูดมากเกินไปแล้ว จึงไม่พูดอะไรอีก เพียงมองหลี่ไหวยิ้มๆ
เด็กชายไม่ลืมหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังรีบพยักหน้าให้ หลี่ไหวถึงได้โอบเอาหุ่นดินปั้นทั้งห้ามาไว้ในอ้อมอก ในใจคิดว่าเมื่อรวมกับหุ่นไม้หลากสีที่อยู่ในหีบหนังสือด้านหลัง ตนก็มีลูกสมุนตัวน้อยหกคนแล้ว!
เว่ยจิ้นพลิกตัวขึ้นหลังลา “ถ้าอย่างนั้นก็ลาล่ะ ขอให้พวกเจ้าจะเดินทางปลอดภัย”
แม้ว่าเว่ยจิ้นจะมีนิสัยใจกว้างเปิดเผย ชอบช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า แต่กลับไม่มีนิสัยละโมบในเงินทองและรักเด็ก บนเส้นทางแห่งการฝึกตน มหามรรคายาวไกล มีโอกาสได้พบหน้า ได้รู้จักกันในช่วงเวลาสั้นๆ ผูกเป็นบุพเพวาสนา อันที่จริงยากที่จะรู้ได้ว่าเป็นบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ หากไม่เป็นเพราะช่วงเวลาประจวบเหมาะและเป็นโชควาสนาที่พอเหมาะพอควร ด้วยโชคชะตาที่เข้มข้นของเว่ยจิ้นในเวลานี้และเจตนารมณ์สวรรค์ลึกลับเกินจะหยั่งที่มองไม่เห็น คนที่รับของขวัญจากมือเว่ยจิ้น หากโชควาสนาของตัวเองไม่มากพอ สวรรค์เท่านั้นถึงจะรู้ว่าคนผู้นั้นจะกลับกลายเป็นว่าถูกเขาทำร้าย อายุขัยสั้นตายไปกลางทางก่อนหรือไม่?
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมคนบนภูเขาที่รับศิษย์ถึงต้องระวังแล้วระวังอีก? อีกทั้งประสบการณ์และการทดสอบมากมายล้วนยาวนานหลายปีหรืออาจถึงขั้นหลายสิบปี
เว่ยจิ้นเชื่อว่าเด็กเหล่านี้ที่ก่อนหน้านี้สามารถเดินทางร่วมกับอาเหลียงได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าใครกันแน่ที่อาเหลียงเป็นห่วงมากที่สุด ให้ความสำคัญมากที่สุด และหน้าตาดีที่สุด อาจจะเป็นหลี่ไหวที่มีที่มาไม่ธรรมดา มีโชคดีค้ำฟ้า อาจจะเป็นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่หน้าตาน่าเอ็นดูชวนให้คนนิยมชมชอบ หรืออาจจะเป็นหลินโส่วอีที่มีใจยึดมั่นเด็ดเดี่ยว เด็กสามคนนี้ล้วนมีความเป็นไปได้ หรืออาจจะครอบครองว่าเป็นไปได้คนละส่วน
เพียงแต่การเดินทางไปภูเขาห้อยหัวคือภารกิจที่เร่งด่วนสำหรับเว่ยจิ้น หาไม่แล้วจะต้องพลาดโอกาสไปร่วมมหาศึกอันน่าครั่นคร้าม ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็คงไปส่งเด็กกลุ่มนี้จนถึงด่านเหย่ฟูที่ชายแดนด้วยตัวเองจริงๆ
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่มีปณิธานว่าจะเดินขึ้นไปบนยอดเขาของวิถีกระบี่ มีหรือจะยอมพลาดโอกาสที่ร้อยปียากจะพานพบครั้งนี้?
เฉินผิงอันกุมมือคารวะตามจิตใจสำนึก เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่กุมมือคารวะคนอื่นบนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา เขาใช้มือซ้ายทับมือขวาตามความเคยชิน ตอนนี้พอเห็นว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะกับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นเหมือนจะเอามือขวาทับมือซ้าย พอเปนเช่นนี้ เฉินผิงอันจึงรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย กลัวว่าตัวเองจะไม่รู้กฎเกณฑ์ จึงรีบเปลี่ยนตำแหน่งมือซ้ายกับมือขวาทันที
เว่ยจิ้นเห็นรายละเอียดพวกนี้อยู่ในสายตา พอเห็นท่าทางประดักประเดิดของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงค้อมตัวตบหลังเพื่อนยากของตัวเอง “ไปกันเถอะ”
ลาขาวย่ำเท้าด้วยความเบิกบาน พอเดินไปข้างหน้าได้สองสามก้าวก็พลันหมุนตัวกลับมา วิ่งเข้าหาเฉินผิงอัน ให้หัวดุนดันใบหน้าของเด็กหนุ่ม แล้วจึงออกเดินทางไกลไปพร้อมกับเจ้านายที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานอีกครั้ง
ตลอดทางมานี้ แม้จะบอกว่าหลี่ไหวเป็นคนดูแลลาขาว ทว่าเด็กน้อยอย่างหลี่ไหว ไหนเลยจะมีความอดทนและความมุ่งมั่นนี้? ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ช่วยป้อนอาหาร เช็ดจมูกและปัดไล่ยุงและแมลงวันให้กับมัน
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มโบกมือบอกลาลาขาว
ผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวหลุดหัวเราะอีกครั้ง ร่างเอนมาด้านหลัง โยกคลอนขึ้นลงตามกีบเท้าลาที่ย่ำเดิน
ดีจริง ที่แท้ตนที่เป็นเซียนกระบี่พสุธายังได้รับความนิยมเท่ากับเจ้าสัตว์เลี้ยงเพื่อนยากของตน
……
ฟ้าดินเงียบสงัด แร้นแค้นรกร้าง
ระหว่างฟ้าดินเหมือนจะมีเพียงกำแพงที่ไม่รู้ว่ายาวเท่าไหร่ สูงเท่าไหร่
ต่อให้อยู่ทางทิศใต้ห่างไปร้อยลี้ มองไกลๆ ออกไปก็ยังคงมองเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่สิบแปดตัวที่สลักด้วยปราณกระบี่
เห็นได้ชัดว่าตัวอักษรนี้ใหญ่ขนาดไหน แล้วกำแพงแห่งนี้สูงเพียงใด
ตัวอักษรสิบแปดตัวแบ่งออกเป็นกถามรรค (เต้าฝ่า) ซื่อตรงยิ่งใหญ่ (ฮ่าวหรัน) แดนสุขาวดี (ซีเทียน)
ปราณกระบี่คงอยู่ยาวนาน (เจี้ยนชี่ฉางฉุน) บ่อสายฟ้าพื้นที่สำคัญ (เหลยฉือจ้งตี้)
ฉี ต่ง เฉิน
ห้าวหาญ (เหมิ่ง)
ห่างออกไปหลายร้อยลี้ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง เสียงแตรสัญญาณสนั่นหวั่นไหวคล้ายจะสะเทือนจนม่านฟ้าปริแตกพลันดังขึ้น
เงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันแน่นขนัด เมื่อเสียงแตรสัญญาดังขึ้น แสงไฟก็ค่อยๆ ถูกจุด สุดท้ายเมื่อรวมอยู่ด้วยกัน หากยืนอยู่ในจุดสูงของทางทิศเหนือ ทอดสายตามองไปไกลๆ นั่นก็เรียกได้ว่าทะเลเพลิงพร่างพราวอย่างแท้จริง
เหนือกำแพงเมือง น้ำเสียงแก่ชราดังขึ้นอย่างเปี่ยมบารมี “ชูกระบี่!”
เหนือกำแพงเมืองที่ที่ทอดยาวหลายหมื่นลี้ ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานนับหมื่นปี
พริบตานั้น
กระบี่บินหลายแสนเล่มก็พุ่งออกจากกำแพงเมือง บินทะยานไปทางทิศใต้ ปราณกระบี่เปล่งประกายเจิดจรัส
คล้ายเขื่อนแตกแล้วน้ำไหลบ่าทะลักทลาย
ภาพมหัศจรรย์แห่งใต้หล้า ไม่มีภาพใดจะเหนือไปกว่าภาพเหตุการณ์นี้