สุดท้ายเทพหยินคลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้ายังไม่ตอบคำถามก่อนหน้านี้แล้วกัน สรุปคือเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่มีทางคิดร้ายต่อเจ้า”
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปด้านหน้า หันกลับมาส่งยิ้ม “หากข้าไม่เชื่อใจผู้อาวุโส ข้าก็คงไม่ถามคำถามนี้แล้ว”
เทพหยินค่อยๆ สลายร่าง ถอนหายใจคิดว่า ติดตามเด็กกลุ่มนี้ออกเดินทางไกล ช่างเหนื่อยใจจริงๆ
อันที่จริงจูลู่สาวใช้ที่จิตใจหยาบช้าผู้นั้น หากเอาไปวางไว้ในตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์ล่างภูเขาก็ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถที่ไม่อาจดูแคลน น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่ในกลุ่มนี้กลับถูกทิ้งห่างไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ตั้งแต่ต้นจนจบกลับเทียบใครไม่ติดแม้แต่ด้านเดียว
หากมุ่งหน้าลงใต้ ดูเหมือนว่าจะต้องผ่านลำคลองหลงซวี แม่น้ำเถี่ยฝูก่อน จากนั้นจึงจะเป็นแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำชงตั้น น้ำมากกว่าภูเขา ทว่าระยะทางครึ่งวันหลังจากนี้ดูเหมือนว่า “ทางน้ำ” จะถูกใช้ไปหมดแล้ว ถึงขนาดลำธารในภูเขาสักเส้นก็ยังหาได้ยาก อันที่จริงก็มีน้ำอยู่ แต่ล้วนเป็นแอ่งน้ำนิ่งที่ไม่อาจดื่มได้ นอกจากนั้นโดยส่วนมากแล้วก็เป็นต้นอ่อนต้นหยางและต้นหลิวที่เหี่ยวแห้ง ไม่สูงแล้วก็ไม่ดกหนา อีกทั้งยังโน้มเอียง ตลอดทางที่เดินมามีแมลงบินว่อนทั่วทิศ ทำให้คนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
หลี่ไหวรู้สึกกลัวเล็กน้อย เพราะผู้เฒ่าตาบอดปากอีกาคนนั้นบอกว่าอีกไม่นานพวกเขาต้องผ่านสถานที่ที่ชื่อว่าภูเขาซานจือซึ่งมีผีดุ อีกทั้งผีร้ายยังมีลูกสมุนเป็นศพหยินอะไรนั่นด้วย
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ไหวก็ให้กลุ้มใจ หุ่นไม้หลากสีและหุ่นปั้นดินของตนต่างก็ตัวเล็กมาก ต่อให้มีชีวิตกลับคืนมาจริงๆ เกรงว่าความสามารถในการต่อสู้ก็คงไม่แข็งแกร่งมากพอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าเขาจะกุมให้ร้อนยังไง หุ่นคนจิ๋วทั้งห้าที่เซียนกระบี่ชุดขาวมอบให้ก็ยังไม่มีชีวิตกลับคืนมา อีกฝ่ายคงไม่ใช่นักต้มตุ๋นหรอกนะ ลึกๆ ในใจไม่เต็มใจจะมอบของดีให้ตน แต่ก็วางมาดเซียนกระบี่ไม่ลง ดังนั้นเลยจงใจเอาของไม่ดีมาหลอกให้ตนดีใจ?
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันหยุดพักแล้วเริ่มก่อไฟทำอาหาร หลี่ไหววิ่งไปเก็บกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่มาด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคย จากนั้นก็นั่งยองอยู่ข้างๆ ฟ้องเฉินผิงอันว่า “เฉินผิงอัน ข้ารู้สึกว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะผู้นั้นไม่ดีเหมือนอาเหลียง”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา
หลี่ไหวไปหยิบหุ่นไม้หลากสีและหุ่นปั้นดินตัวหนึ่งออกมาจากหีบหนังสือของตัวเอง แล้วใช้หุ่นไม้รังแกหุ่นปั้นดินตัวจิ๋วที่พกกระบี่อย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็จัดท่าให้ฝ่ายหลังคุกเข่าขอร้อง ปากเขาก็พูดไปด้วยว่า “ใต้เท้าผีสาว โปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าเว่ยจิ้นผิดไปแล้ว…”
เฉินผิงอันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่อธิบายว่า “เว่ยจิ้นเป็นคนดีมาก”
หลี่ไหวกลอกตามองบน ขยับมือสองข้างส่งเดช ให้หุ่นไม้หลากสีเหยียบย่ำหุ่นดินต่อไป
หลินโส่วอีนั่งอยู่บนก้อนหินห่างออกไปไม่ไกล กำลังอ่าน ‘ภาพค้นภูเขา’ เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “หากข้ามองไม่ผิด ดูเหมือนว่าเว่ยจิ้นจะดูถูกเจ้า หรือไม่ก็ ไม่เห็นดีกับเจ้ามากที่สุด”
หลี่เป่าผิงที่กำลังเก็บหีบหนังสือใบเล็กเงียบๆ พลันเดือดดาล “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
หลังจากก่อไฟติดแล้ว เฉินผิงอันที่นั่งหมอบก้นโด่งอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งยองเตรียมหุงข้าว “ดูถูกข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาเป็นคนดีหรือไม่ด้วย?”
หลี่ไหวทำหน้าตะลึง “เฉินผิงอัน คิดอะไรของเจ้า คนที่ดูถูกคนอื่น ยังจะเป็นคนดีที่ดีมากได้อีกหรือ? เขาต้องเป็นคนดีที่ไม่ดีขนาดนั้นแน่!”
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นอย่างไม่รีบไม่รีบ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เว่ยจิ้นเป็นคนร้ายกาจขนาดนั้น แถมยังถูกเรียกว่าเป็นเซียนกระบี่พสุธา แต่เวลาที่พูดกับพวกเรากลับยังมีท่าทีเป็นมิตรอ่อนโยน ยินดีที่จะใช้เหตุผลมาพูดกับเด็กอย่างพวกเรา เจ้าคิดว่าเทพเซียนทุกคนบนภูเขาล้วนเป็นแบบนี้หรือ? ไม่ใช่เลย ก่อนหน้าที่ข้าจะออกมาจากเมืองเล็กเคยได้เจอกับเทพเซียนที่ฆ่าคนโดยดูแค่อารมณ์ของตัวเอง ฟังแค่เหตุผลของตัวเองเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย”
เด็กหนุ่มพูดถึงเรื่องในอดีตที่เต็มไปด้วยแผนสังหารอย่างผ่อนคลาย แล้วก็ไม่คิดจะเล่ารายละเอียดให้มากความ เพียงพูดต่อไปว่า “หากต้องการให้คนเห็นความสำคัญ ต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง ทำไร่ทำนาได้ดี เผาเครื่องปั้นขึ้นรูปเครื่องปั้นได้ดี ขึ้นเขาไปตัดฟืนเผาถ่าน หากเจ้ามีเรี่ยวแรงมากที่สุด เวลาที่คนในซอยทะเลาะกันแย่งน้ำ เจ้าไม่กลัวโดนตี กล้าบุกขึ้นหน้าไปสู้ แน่นอนว่าคนอื่นก็ต้องให้ความสำคัญเจ้า”
เฉินผิงอันมองพวกเขาครู่หนึ่ง “นี่คือบ้านเกิดของพวกเรา วันหน้ารอให้เป่าผิงไปถึงสำนักศึกษาของต้าสุย หากเรียนหนังสือได้เก่ง และยังมีหลินโส่วอีที่เป็นผู้ฝึกลมปราณตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่าคนอื่นต้องให้ความสำคัญเจ้า ส่วนเจ้า…หลี่ไหว รอให้อายุมากกว่านี้หน่อยค่อยว่ากัน ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อน”
หลี่ไหวกลับร้อนใจขึ้นมาเสียเอง “เฉินผิงอันเจ้าไม่ร้อนใจ แต่ข้าร้อนใจนะ!”
เฉินผิงอันถาม “ตื่นมาฝึกหมัดฝึกเดินนิ่งกับข้าทุกเช้า เจ้าตื่นไหวไหม?”
หลี่ไหวตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนว่าตื่นไม่ไหว!”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วที่เจ้าฝึกยืนนิ่งท่าเจี้ยนหลูล่ะ?”
หลี่ไหวทำสีหน้ารังเกียจ “จะเรียนไปทำไม ข้าอายุน้อยแค่นี้เอง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ตอนนี้รู้แล้วรึว่าตัวเองอายุน้อย? ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะมาร้อนใจอะไร?”
หลี่ไหวปากอ้าตาค้าง คิดอยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบ สุดท้ายตอนที่ทุกคนล้อมวงกินข้าวกัน หลี่ไหวคีบผักดองหนึ่งชิ้นตามด้วยข้าวคำใหญ่ เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าว่าบนโลกนี้จะมีวิชาทางลัดที่สามารถทำสำเร็จได้ในก้าวเดียวหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ฝึกหมัด พรุ่งนี้ก็มีความสามารถเท่าเทพเซียนแล้ว? อาเหลียงบอกว่าไม่มี หากรู้อย่างนี้แต่แรก ก่อนที่เว่ยจิ้นจะจากไป ข้าก็น่าจะถามเขาว่ามีหรือไม่ หากอาเหลียงบอกว่าไม่มีแต่เขาบอกว่ามีล่ะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็เจริญแล้ว ไปขอเรียนที่ต้าสุยครั้งนี้ข้าก็จะได้เหยียบบนกระบี่เล่มหนึ่ง สวบๆๆ ไปๆ มาๆ เร็วยิ่งกว่าเดินนิ่งของเฉินผิงอัน เหมือนกับลม! พวกเจ้าก็รอกินฝุ่นหลังก้นข้าเถอะ!”
หลี่เป่าผิงถามหน้าเคร่ง “ใครกินฝุ่น?”
หลี่ไหวกลืนน้ำลาย มองไปทางหลินโส่วอี จากนั้นก็หันกลับมามองเฉินผิงอันเงียบๆ สุดท้ายหลี่ไหวรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็พลันเกิดความคิดขึ้นมา เขารีบหยิบหุ่นไม้หลากสีที่อยู่บนพื้นขึ้นมา “มันกิน! ตอนนี้มันคือแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของข้า! ช่วยไม่ได้ มันตัวใหญ่ที่สุด แล้วก็สวยที่สุด แถมยังมีประสบการณ์มีคุณความชอบมากที่สุด ติดตามข้าหลี่ไหวกรีฑาทัพไปสี่ทิศนานที่สุด ส่วนหุ่นปั้นดินตัวจิ๋วสกปรกห้าตัวหลังนี่ก็เรียงลำดับเป็นสองสามสี่ห้าหก”
หลินโส่วอีถามยิ้มๆ “แล้วเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้นล่ะ?”
หลี่ไหวส่ายหน้า “พวกมัน? ข้าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
หลี่เป่าผิงเอ่ยแฉทันใด “เป็นเพราะเจ้าไม่ชอบอ่านหนังสือมากกว่ากระมัง ที่บอกว่าไม่อยากเห็นพวกมันก็เพราะว่าเจ้าต้องเปิดหน้าหนังสือก่อน”
หลี่ไหวทำสีหน้าเจ้าพูดอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังภูเขาซานจือที่อยู่ห่างไปไกลลูกนั้นแล้วถามว่า “ผ่านภูเขาซานจือไปแล้ว เมื่อถึงตลาดของเมือง พวกเจ้าอยากซื้ออะไรหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงลิงโลด “อาจารย์อาน้อย ข้าอยากซื้อหนังสือเบ็ดเตล็ดสักสองสามเล่ม อาจารย์ฉีบอกว่าเมธีร้อยสำนักนอกเหนือจากลัทธิขงจื๊อต่างก็มีตำราเป็นของตัวเอง มีโอกาสก็อ่านให้มากๆ ท่านอาจารย์เคยบอกว่าก้อนหินของภูเขาอื่นเอามาขัดเกลาเป็นหยกได้”
“เฉินผิงอัน หากเป็นไปได้ ข้าอยากซื้อหมากล้อมสักชุดหนึ่ง เอาที่ถูกที่สุดก็พอ”
“หลี่ไหวเจ้าล่ะ?”
“ให้เงินข้า ข้าไม่ซื้อของ ได้ไหม? ข้าอยากเก็บเงิน แม่ข้าเคยสอนว่า ในกระเป๋ามีเงิน มีเรื่องไม่ลนลาน!”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “ข้าก็แค่หวังว่าจะโชคดี เผื่อเจ้าเฉินผิงอันเกิดมีใจเมตตาขึ้นมาล่ะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ
สีหน้าเปื้อนยิ้มของหลี่ไหวแข็งค้างทันที รีบเปลี่ยนหัวข้อ “นักพรตเฒ่าคนนั้นบอกพวกเราว่าอย่าขึ้นเขาซานจือตอนกลางคืนไม่ใช่หรือ?”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้ากับเฉินผิงอันปรึกษากับผู้อาวุโสเทพหยินแล้ว หากพวกเรารีบเดินทางตอนกลางคืนแล้วผีร้ายออกมาทำร้ายผู้คนก็จะสยบมันซะ ตอนแรกผู้อาวุโสเทพหยินจะมองดูอยู่เฉยๆ ให้ข้าลงมือก่อน ทดลองใช้ยันต์และเวทสายฟ้ามาบีบให้ศัตรูล่าถอย หลักๆ คือให้ข้าได้ฝึกปรือฝีมือ หากผีร้ายหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาก็ปล่อยไป พวกเราก็เดินทางกันต่อ”
ม่านราตรีทอดตัวลงมา คนทั้งกลุ่มเดินขึ้นเขาช้าๆ ภูเขาซานจือไม่สูง แต่สภาพภูเขาไม่ราบเรียบ ลาดชันมาก เฉินผิงอันต้องเดินอ้อมไปทางอื่น พื้นที่ส่วนใหญ่บนภูเขาคือสุสานรวมที่ไม่มีคนรุ่นหลังคอยมาเติมดินใหม่ แน่นอนว่าที่มากกว่านั้นยังมีสุสานที่มีลูกหลานมาเซ่นไหว้ เก็บกวาดสะอาดเอี่ยม บนหลุมตั้งป้ายหิน บนป้ายสลักตัวอักษร ด้านหน้าป้ายยังมีกระดาษเงินบางส่วนที่ไหม้ไม่หมด
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ข้ามภูเขาซานจือมาได้ นอกจากลมตอนกลางคืนที่ค่อนข้างเย็นแล้วก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก
หลินโส่วอีเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ฝืนเรียกร้องอะไร
หลังจากนั้นมาเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังด่านเหย่ฟูของต้าหลีก็ยิ่งราบรื่นไร้อุปสรรค
หลังจากผ่านตลาดของเมืองเล็กแห่งหนึ่ง หลี่เป่าผิงซื้อหนังสือเบ็ดเตล็ดห้าหกเล่ม มีบันทึกท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำ มีคัมภีร์ธรรมะ มีบันทึกของกวี
หลินโส่วอีซื้อหมากล้อมหนึ่งชุด หลังจากสอนกฎการเล่นให้เฉินผิงอันแล้ว ขอแค่มีเวลาว่างก็มักจะเอาออกมาประลองฝีมือกันเป็นประจำ เพราะหลี่เป่าผิงนั่งนิ่งอยู่ได้ไม่นาน อยากจะวางหมากทีเดียวสักเจ็ดแปดตัว แถมยังรำคาญที่หลินโส่วอีเดินหมากช้าเกินไป ส่วนหลี่ไหวนั้นต้องเรียกว่าขี้เกียจใช้สมองอย่างแท้จริง ทว่าคนที่เล่นหมากกับหลินโส่วอีมากที่สุดกลับเป็นเทพหยิน
คงเป็นเพราะตอนอยู่เมืองหงจู๋ หลี่ไหวใช้เงินซื้อหนังสือผุๆ เล่มหนึ่งไปเกือบสิบตำลึง ครั้งนี้จึงไม่ได้ซื้ออะไร
แม้เฉินผิงอันจะอยากฝึกกระบี่ แต่นอกจากจะหยิบกระบี่ไม้ไหวในตะกร้าด้านหลังออกมาเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่ได้เริ่มฝึกกระบี่อย่างจริงจัง
ในความคิดของเฉินผิงอัน ภารกิจที่สำคัญในเวลานี้ก็คือต้องฝึกวิชาหมัดให้ดีก่อน! รอตอนไหนที่รู้สึกว่าสามารถแบ่งสมาธิไปทำเรื่องอื่นได้แล้วค่อยฝึกกระบี่ วิธีโคจรลมปราณที่อาเหลียงเคยสอน ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะฝึกได้แค่เกือบครึ่ง มาถึงหกหยุดก็ฝึกต่อไปไม่ได้อีก
แม้ว่าตอนนี้จะยังฝึกกระบี่ไม่ได้ แต่อาเหลียงเคยบอกว่าเดิมทีสิบแปดหยุดก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่หลายคนใคร่ครวญออกมาด้วยความยากลำบาก มุมานะตั้งใจฝึกสิบแปดหยุดก็เท่ากับปูรากฐานในการฝึกกระบี่ที่ดีให้กับตัวเอง พอเฉินผิงอันคิดอย่างนี้ก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
พอมีเวลาว่าง บ้างก็บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่เหนือยอดเขา บ้างก็ริมหน้าผาใกล้แม่น้ำ
มีเด็กหนุ่มใช้สองมือทำมุทรา ฝึกยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง ตั้งใจฝึกตนอยู่กับภูเขาและแม่น้ำเงียบๆ มีภูเขาก็มองภูเขา มีน้ำก็ฟังเสียงน้ำ