สุดท้ายเฉินผิงอันที่สอบถามผู้คนไปทั่วได้คำตอบแค่สถานที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมือง ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีโรงเตี๊ยมอย่างที่ชุยฉานพูดถึงมาก่อน เมืองแห่งนี้คือเมืองใหญ่ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง หากคิดจะเดินทางไปยังสถานที่ตั้งเก่าของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ต้องเดินข้ามไปเกือบครึ่งเมือง รอจนคนทั้งกลุ่มเดินไปตามทางที่คนเดินผ่านทางคนหนึ่งบอกไว้ก็ใกล้จะเป็นยามสนธยาแล้ว เบื้องหน้าเห็นเป็นเพียงกำแพงสูงสีชาดแถบหนึ่ง และต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาซอยหนึ่งที่ทางเข้าไม่สะดุดตาเจอ เป็นซอยที่พอจะให้รถม้าสองคนสวนทางผ่านกันอย่างถูไถ
ยิ่งเดินเข้าไปข้างในก็ยิ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม ระหว่างร่องอิฐสีเขียวที่ปูอยู่ใต้ฝ่าเท้ามีหมอกควันจางๆ ผุดลอยขึ้นมาเป็นระลอก หลังจากล่องลอยเข้าหาผนังสูงสองข้างแล้วก็ค่อยๆ มารวมตัวกันกลายเป็นดั่งกระแสน้ำพุใสสะอาดที่ไหลรินเอื่อยเฉื่อย ยังได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วๆ
เด็กหนุ่มหนุ่มชุยฉานแห่งว่าพวกเฉินผิงอันมีท่าทางฉงนสนเท่ห์ จึงอธิบายว่า “ซอยนี้ก็คือหนึ่งในเรื่องขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีชื่อว่าซอยเมฆคล้อยน้ำไหล เมื่อได้เข้าไปในประตูใหญ่ก็น่าจะได้เห็นผนังบังตาแสงจันทร์แล้ว เนื่องจากในผนังบังตามีวิญญาณที่ไม่รู้ที่มาพักพิงอยู่ รูปร่างของมันจึงไม่แน่นอน โดยส่วนใหญ่แล้วจะคล้ายคลึงกับพระจันทร์ บ้างมืดบ้างสว่าง บ้างกลมบ้างเสี้ยว ซึ่งทั้งหมดจะปรากฏอยู่บนผนังบังตา แต่ผนังบังตาที่มีมูลค่ายังแท้จริงยังต้องเป็นผนังสุริยันจันทรา หากบวกดวงดาวเข้าไปอีก เกรงว่าต่อให้เป็นตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักก็คงยอมเสียหน้าแต่ก็ต้องแย่งชิงมาให้ได้”
ปลายทางของตรอกคือประตูใหญ่บานหนึ่ง บนบานประตูสลักภาพเทพทวารบาลลงสีร่างสูงใหญ่ไว้สององค์ สูงใหญ่ยิ่งกว่าชายฉกรรจ์เสียอีก ดุดันมากบารมี ร่างกายกำยำล่ำสัน ล้วนสวมเสื้อเกราะสีทอง คนหนึ่งขี่เสือถือกระบี่ อีกคนขี่เจียวชูดาบ เทพทวารบาลทั้งสององค์ต่างก็ถลึงตาถมึงทึงมองมาทางตรอกเล็ก เพราะเป็นไม้สลักนูน ไม่ใช่ภาพวาดบนกระดาษที่แปะบนประตูบ้านคนทั่วไป ดังนั้นจึงให้ความรู้สึกที่กดดันจนแทบหายใจไม่ออก
หลี่ไหวแอบกลืนน้ำลาย รู้สึกว่านอนในภูเขาสบายและมีอิสระเสรีมากยิ่งกว่า
ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดอ้าออก สาวงามคนหนึ่งที่มีดอกตาดอกท้อเดินยักย้ายส่ายเอวข้ามธรณีประตูออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ด้านหลังมีดรุณีน้อยมวยผมแกละสองคนเดินตามมา ตรงเอวของพวกนางต่างก็ห้อยกระบี่ยามฝักสีเขียว พวกนางไม่ได้เดินตามสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นเข้ามารับแขก แต่ยืนอยู่หน้าประตู
สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามยอบตัวคารวะอย่างสง่างาม “ข้าน้อยหลิวเจียฮุ่ย (การเฉลิมฉลองที่เป็นมงคล) เจียจากคำว่าเจียชิ่ง ฮุ่ยจากคำว่าฮวาฮุ่ย (ชื่อเรียกรวมไม้ดอกและพืชหญ้าต่างๆ) แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเรียกข้าว่าเจียฮุ่ยก็พอ ไม่ทราบว่าแขกผู้มีเกียรติทุกท่านจะค้างแรมที่โรงเตี๊ยมชิวหลู (ต้นอ้อฤดูใบไม้ร่วง) ของพวกเราหรือไม่? มีการนัดล่วงหน้าหรือไม่?”
เวลาที่สตรีแต่งงานพูด สายตาของนางนั้นจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มชุดขาวที่ทำให้คนดวงตาเป็นประกายเขม็ง
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นไม่สนใจจะตอบคำถามของนาง ไร้มารยาทอย่างยิ่ง สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามกับเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาคมคายจ้องตากัน แม้ฝ่ายแรกจะไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับยังไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่าสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด
ในเมืองแห่งนี้ มีใครบ้างที่กล้าไร้มารยาทกับฮูหยินขนาดนี้? ขนาดใต้เท้าผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางใหญ่ของพื้นที่แถบนี้ หากเจอกับฮูหยินตอนไปเที่ยวชานเมืองหรือตอนไปจุดธูปไหว้พระก็ล้วนต้องปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท เรียกขานว่าหลิวฮูหยินหรือไม่ก็เถ้าแก่รองเสมอ หากมีเรื่องจะขอร้อง จำเป็นต้องให้โรงเตี๊ยมชิวหลูหาเส้นสายเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ก็ยิ่งเรียกด้วยความเคารพต่อหน้าว่าหลิวเซียนซือ
ปลายหางตาของสตรีแต่งงานแล้วผู้งดงามเหลือบมองหลินโส่วอีผู้มีสีหน้าเย็นชาอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติจึงจ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวพลางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่ออีกครั้ง “คุณชายท่านนี้ หรือรู้สึกว่าข้าน้อยและโรงเตี๊ยมชิวหลูมีอะไรไม่เหมาะสม? มาถึงที่นี่จึงรู้สึกผิดหวังอย่างมาก คิดว่าไม่สมกับชื่อเสียงที่เคยได้ยินมา?”
เด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วจึงยื่นนิ้วชี้ไปยังเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไหว้พระโพธิสัตว์ผิดองค์แล้ว เจ้านายผู้ดูแลเงินคือท่านนี้”
ในใจสตรีแต่งงานแล้วประหลาดใจไม่น้อย รีบหันมายอบตัวคำนับเฉินผิงอันคนเดียวครั้งหนึ่งถือเป็นการขออภัย ไม่รอให้สตรีผู้นี้เอ่ยอะไร เฉินผิงอันที่ดึงสายตากลับมาจากประตูบานใหญ่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ตัดสินใจได้แล้วจึงกล่าวว่า “พวกเราคนค่อนข้างเยอะ มีห้องพอหรือไม่?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวาน “พอ จะไม่พอได้อย่างไร แม้ว่าอีกไม่นานจะมีพิธีเซ่นไหว้ที่ศาลเทพแม่น้ำประจำเมืองซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ สามปีครั้ง เซียนซือของแต่ละฝ่ายจึงเดินทางมาเพื่อให้กำลังใจใต้เท้าผู้ว่าฯ กิจการของโรงเตี๊ยมชิวหลูจึงพอครึกครื้นอยู่บ้าง แต่แขกผู้มีเกียรติทุกท่านมาเยือนทั้งที นับเป็นเกียรติของพวกเรา ต่อให้ข้าน้อยต้องยกเรือนหลังเล็กของตัวเองออกมา ย้ายไปพักโรงเตี๊ยมแห่งอื่นชั่วคราว ก็ไม่มีทางปล่อยให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านต้องกลับไปอย่างหมดสนุก”
สุดท้ายเฉินผิงอันจึงเลือกเรือนหลังใหญ่ที่ชื่อว่าน้ำค้างกระจ่าง ตำแหน่งใกล้กับบ่อน้ำโบราณของอดีตศาลเทพอภิบาลเมืองมากที่สุด ถือเป็นเรือนอันดับหนึ่งของโรงเตี๊ยมชิวหลู ที่ยังว่างมาจนถึงตอนนี้เพราะราคาแพงเกินไป ไม่คิดตามจำนวนคน แต่คิดเป็นวัน วันละสองพันตำลึงเงิน คนที่มาพักในโรงเตี๊ยมชิวหลูล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่ได้รับสถานะเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่เรื่องของการฝึกตนนี้ หากไม่รู้จักคิดคำนวณอย่างละเอียด ไม่มีตระกูลหรือที่พึ่งที่มีรากฐานลึกล้ำ หรือหากไม่มีวิธีหาทรัพย์สมบัติมาให้ตัวเอง ก็มักจะยากจนข้นแค้นอย่างมาก แตกต่างจากเซียนซือที่ร่ำรวยอู้ฟู่ในจินตนาการของชาวบ้านร้านตลาดอย่างสิ้นเชิง
บ่อโบราณแห่งนั้นของโรงเตี๊ยมชิวหลูเป็นที่ตั้งของตาน้ำพุที่ทำให้ปราณวิญญาณไหลรินจริง แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว การที่ต้องจ่ายเงินวันละสองพันตำลึงเงินเพื่อสิ่งนี้ถือเป็นการค้าขาดทุนที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วเรือนหลังนี้จึงมักจะเป็นเศรษฐีของท้องถิ่นที่ทุ่มเงินเพื่อใช้รับรองขุนนางใหญ่หรือจอมยุทธ์ในยุทธภพ
หลิวฮูหยินพาแขกผู้ทรงเกียรติต่างถิ่นกลุ่มนี้เดินลอดระเบียง สุดท้ายไปถึงเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง มุมหนึ่งของลานกว้างปลูกกล้วยไว้กอใหญ่ มีอ่างน้ำทำจากหินขนาดครึ่งตัวคนหนึ่งอ่าง ด้านในเลี้ยงปลาหลีหลากหลายสีสันหนึ่งกลุ่ม บนผิวน้ำคือดอกบัวตูมที่ยังไม่ผลิบาน
หลิวฮูหยินชี้ไปยังกระดิ่งชิ้นหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะหินแล้วกล่าวว่า “หากมีธุระ พวกเจ้าก็แค่เขย่ากระดิ่งทองแดงนี้เบาๆ ก็จะมีสาวใช้ที่มือเท้าคล่องแคล่วรุดมาที่เรือนทันที อีกอย่างก็คือตรงประตูหลังของเรือนหลังนี้ หากผลักประตูไม้ไผ่เดินไปทางทิศเหนือประมาณสามสิบกว่าก้าวจะมองเห็นศาลาพักร้อนหลังหนึ่ง มีชื่อว่าศาลาหยุดเท้า ด้านในวางเบาะนั่งไว้สามอัน เซียนซือสามารถดูดซับปราณวิญญาณจากในศาลาได้ ทางฝ่ายของบ่อน้ำ เราไม่เปิดให้คนนอก หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พวกเราจำไว้แล้ว จะไม่เดินเลยศาลาหยุดเท้าไปยังบ่อโบราณแห่งนั้นโดยพลการ”
หลิวฮูหยินหรี่ดวงตาดอกท้อที่มีชีวิตชีวาตามธรรมชาติคู่นั้นลง คลี่ยิ้มจริงใจ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ใจเขาใจเรา ก็คือพุทธจิต”
หลี่เป่าผิงถามด้วยความใคร่รู้ “หลิวฮูหยิน ตรงประตูใหญ่ของพวกเจ้าไม่ควรมีผนังบังตาตั้งอยู่หรอกหรือ?”
หลิวฮูหยินถอนหายใจ ไม่เต็มใจจะบอกเล่าเรื่องวงใน เพียงกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ก่อนหน้านี้มีเรื่องเล็กน้อยเกิดขึ้น ผนังบังตาสูญเสียภาพแห่งพระจันทร์ไปจึงรื้อทิ้งไปแล้ว”
ห้องสี่ห้อง หลี่เป่าผิงกับเซี่ยเซี่ยหนึ่งห้อง หลี่ไหวกับเฉินผิงอัน ชุยฉานกับอวี๋ลู่ ห้องสุดท้ายเป็นของหลินโส่วอีที่ถือว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว
หลังเข้ามายังที่แห่งนี้ หลินโส่วอีก็จิตใจปลอดโปร่งอย่างแท้จริง ความรู้สึกมหัศจรรย์เช่นนั้นราวกับว่าก่อนหน้านี้เร่งเดินทางอยู่บนพื้นดินโคลนท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ ทุกย่างก้าวต้องดึงเท้าออกมาจากโคลนเหนียวหนืด แต่ตอนนี้พอท้องฟ้าปลอดโปร่ง ทางเดินไม่เพียงแต่แห้งสนิท ยังได้เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สะอาดเอี่ยมชุดใหม่ ความรู้สึกเวลาที่เดินบนเส้นทางย่อมต้องเบาตัวผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
หลินโส่วอีเพียงแต่สงสัยเล็กน้อย ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความจอแจกลับมีพื้นที่มงคลที่เหมาะแก่การฝึกตนแบบนี้ซ่อนตัวอยู่ด้วยหรือ?
แต่ตลอดทางที่เดินมากลับไม่เจอแขกคนอื่นๆ เลย ตามคำบอกของหลิวฮูหยิน กิจการของโรงเตี๊ยมชิวหลูไม่แย่ ทว่ากลับแตกต่างจากโรงเตี๊ยมในเมืองหลายแห่งที่พวกเขาเดินผ่านซึ่งมีคนเดินเข้าเดินออกขวักไขว่ มองดูคักคึกอยู่มาก