ที่แท้ด้านบนรองเท้าหุ้มเข่าของชุยฉานก็มีตั๊กแตนน้อยลำตัวเป็นสีขาวหิมะตลอดร่างตัวหนึ่งยืนอยู่ พอถูกหลี่ไหวจับจ้องไม่ละสายตา ตั๊กแตนประหลาดที่เดิมทีกำลังไต่สูงขึ้นไปบนชุดคลุมก็พลันทำตัวแข็งไม่กระดุกกระดิก หลี่ไหวมองสัตว์ตัวน้อยนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น กำลังจะยื่นมือไปจับมัน ตั๊กแตนน้อยสีเงินยวงพลันตกใจไม่กล้าแกล้งตายอีกต่อไป แต่รีบกระโดดเด้งอย่างว่องไว ขาหน้าเกี่ยวเส้นด้ายบางถี่นอกชุดคลุมของชุยฉานเอาไว้แน่นแล้วเผ่นพรวดขึ้นไปถึงช่วงเอวของชุยฉานอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกระโดดดึ๋งหนึ่งทีก็ไปเกาะอยู่ใต้ชายแขนเสื้อ ร่างแกว่งไกวเบาๆ
เด็กหนุ่มชุดขาวยังคงแย้มยิ้มเป็นปกติ ใช้สองนิ้วคีบจับตั๊กแตนแล้วกำมันไว้กลางฝ่ามือหลวมๆ ก่อนจับยัดเข้าไปในชายแขนเสื้อฝั่งซ้ายมือ
ภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิมพลันปรากฏขึ้น ตั๊กแตนสีขาวหิมะที่มีชีวิตชีวาตัวนั้นกลับเป็นเหมือนเกล็ดหิมะที่ละลายอยู่กลางฝ่ามือของเด็กหนุ่ม พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นก้อนเงินก้อนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเงินก้อนนี้กลับยังสามารถเคลื่อนไหวกระดุบกระดิบได้
หลังจากเก็บเงินก้อนหรือจะพูดให้ถูกคือตั๊กแตนตัวนั้นไว้ในชายแขนเสื้อแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวก็กวาดตามองไปรอบด้าน สีหน้าของอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยเด็กหนุ่มเด็กสาวสองคนที่มาจากราชวงศ์สกุลหลูเรียบเฉยเป็นปกติ ทว่าพวกเด็กบ้านนอกที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างพวกเฉินผิงอันกลับทำสีหน้าแตกตื่นตกตะลึงกันทุกคน
เห็นได้ชัดว่าชุยฉานไม่ต้องการจะอธิบายจึงหันหน้าไปพูดกับอวี๋ลู่ว่า “เจ้ากับแม่นางเซี่ยเซี่ยไปเชิญธูปมาหน่อย อีกเดี๋ยวเมื่อพวกเราเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองจะต้องใช้ ทางที่ดีที่สุดซื้อกระบอกใส่ธูปมาด้วย แน่นอนอย่าลืมว่าต้องซื้ออันที่มีรูปแบบสง่างามสักหน่อย หาไม่แล้วข้าจะไม่จ่ายเงินค่ากระบอกธูปให้เจ้า”
เด็กหนุ่มสูงใหญ่พาเด็กสาวผิวดำไปเชิญธูปด้วยกัน
เฉินผิงอันพูดโพล่งเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยประโยคเดียว “ชุยตงซาน เงินก้อนนี้คือเงินที่เจ้าใช้ซื้อของในห่อผ้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม? ทำไมมันถึงกลายเป็นตั๊กแตนวิ่งกลับมาแล้วล่ะ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวทำหน้าไร้เดียงสา “เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าจ่ายเงินไปแล้ว จ่ายเงินก็ได้ของมา แต่ในเมื่อเงินมันมีขาเป็นของตัวเอง อยากจะวิ่งกลับมาหาข้า ข้าเองก็ลำบากใจมากเหมือนกัน”
หลี่ไหวยังนั่งยองอยู่บนพื้น จุ๊ปากพูดด้วยสีหน้าอิจฉา “เป็นของดีจริงๆ หากข้ามีเงินก้อนแบบนี้บ้าง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ไม่ต้องลำบากแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวก้มหน้าถามยิ้มๆ “เจ้าชอบหรือ? อยากได้หรือไม่? เจ้าตัวน้อยนี่เรียกว่าแมลงเงิน ไม่มีประโยชน์อะไร แค่สร้างความบันเทิงเท่านั้น สาเหตุการถือกำเนิดของภูตประหลาดชนิดนี้ไม่เป็นที่ล่วงรู้ รู้เพียงว่าในคลังเงินขนาดใหญ่ของราชวงศ์มากมาย ต่อให้เวลาผ่านไปร้อยปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีแมลงเงินสักตัวปรากฏขึ้น อีกทั้งต่อให้มีปรากฎขึ้นจริงก็ตัวไม่ใหญ่ เวลาที่จำแลงร่างกลายเป็นเงิน อย่างมากก็ได้แค่เศษเม็ดเงินที่มีขนาดใหญ่หน่อยเท่านั้น ตัวใหญ่เท่าของข้านี้มีให้ได้เห็นน้อยมากๆ ดังนั้นข้าถึงได้ยอมพกติดตัวมาด้วย อีกอย่างมันไม่จมน้ำ โดนไฟก็ไม่ไหม้ ต่อให้ต้องแบกรับน้ำหนักนับหมื่นชั่งก็ยังไม่เกิดความเสียหายแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเจ้าจะหั่นมันออกเป็นกี่สิบชิ้น ขอแค่วางไว้ด้วยกัน มันก็สามารถกลับคืนมาเป็นสภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว หลี่ไหว หากเจ้าต้องการ ข้ายกให้เจ้าเอาไหมล่ะ?”
หลี่ไหวลุกขึ้นยืน ตอบกลับอย่างจริงจัง “ข้ามีพี่สาวคนเดียว ชื่อว่าหลี่หลิ่ว แต่ตอนนี้นางยังเป็นภรรยาของอาเหลียงชั่วคราว”
เด็กหนุ่มชุดขาวเข้าใจวิธีการพูดของเจ้าลูกหมาคนนี้ดี “ยกให้ฟรีๆ เอาไหม? ข้าไม่คิดอะไรกับพี่สาวเจ้าหรอก”
หลี่ไหวถาม “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเวลาข้าจ่ายเงินหลังพาพวกเฉินผิงอันกินอาหารอร่อยแพงๆ ทุกมื้อ มันจะวิ่งกลับมาหาข้าเองทุกครั้งเลยหรือไม่?”
ชุยฉานยิ้มตาหยี สะบัดชายแขนเสื้อเขย่าเงินก้อนนั้นออกมายื่นส่งให้หลี่ไหว
หลี่ไหวเตรียมจะรับเงินก้อนนั้นมา แต่กลับหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “กินข้าวต้องจ่ายเงิน ไม่อาจเปลี่ยนวิธีไปชักดาบกินฟรีได้ ชุยตงซานเป็นอย่างไร ข้าไม่สน แต่เจ้าหลี่ไหวคือลูกศิษย์ของอาจารย์ฉี…”
หลี่ไหวรีบหุบมือสองข้างไปวางแนบไว้กับก้น ส่ายหน้าพูดกับเด็กหนุ่มชุดขาวว่า “เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ”
เฉินผิงอันกล่าวต่อว่า “หลี่ไหว ข้ายังพูดไม่จบ แต่แมลงเงินนี้สามารถรับไว้ได้ คนเขาอุตส่าห์หวังดีมอบของดีๆ ให้เจ้า เจ้ารับไว้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนหลังจากนี้จะเอาไปใช้อย่างไรก็ค่อยตั้งกฎเกณฑ์กันใหม่”
หลี่ไหวดวงตาเป็นประกาย รีบแย่งก้อนเงินในมือเด็กหนุ่มชุดขาวมาแล้วเตรียมจะยัดเข้าไปในสาบเสื้อของตัวเอง แต่พอคิดดูแล้วก็รีบหมุนตัวกลับ หันหลังให้ทุกคน เปิดหีบหนังสือใบเล็กแล้วโยนก้อนเงินลงไปข้างใน
เด็กหนุ่มชุยฉานหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง กล่าวน้ำเสียงระอาใจ “ทุบตีอินทรีมานานปี ถูกอินทรีแว้งกลับมาจิกตาจริงๆ”
อวี๋ลู่ซื่อกระธูปไม้หวงหยางที่ทำอย่างประณีตมาได้อันหนึ่ง ด้านในบรรจุธูปไว้จนเต็ม มากพอจะให้ทุกคนเข้าไปจุดธูปในศาลได้พร้อมกันหลายครั้ง
นอกจากเซี่ยเซี่ยที่ต้องเฝ้าอยู่ข้างรถม้าแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเดินเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมือง หลังจากต่างคนต่างจุดธูปไหว้เสร็จแล้วก็มองไปยังคำกลอนที่ติดอยู่บนเสาเอกของศาลหลัก
ก่อนตายเหลือเพียงตัวคนเดียวเดียวดาย ถามยมบาลว่าลูกหลานสบายดีหรือไม่ สุดท้ายแล้วทิ้งไว้เพียงชื่อเสียงฉาวโฉ่พันปี มาเยือนปรโลกถึงได้รู้ว่าทุกอย่างล้วนล้มเหลว
เทพอภิบาลเมืองอยู่ในตำแหน่งสูงตรงกลาง สองข้างคือผู้ใต้บังคับบัญชาเรียงแถวกันตามลำดับ เปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม ลำพังเพียงแค่เทวรูปดินเผาที่มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพก็มีมากถึงแปดรูป แบ่งออกเป็นขุนนางหลักแปดกองซึ่งรวมกองหยินหยาง กองรายงานข่าวด่วน กองจดอายุเอาไว้ด้วย เด็กหนุ่มชุยฉานยังบอกด้วยว่าศาลเทพอภิบาลเมืองที่มีมาตรฐานสูงที่สุดของแจกันสมบัติทวีปก็หยุดอยู่แค่ตรงนี้ แต่ศาลเทพอภิบาลเมืองของทวีปบางแห่งที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้ากลับมีมากถึงยี่สิบสี่กอง แม้แต่กองตรวจบัญชี กองควบคุมโรคและกองการศึกษาก็ล้วนมีหมด แทบจะสามารถเรียกว่าเป็นราชสำนักของแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งเลยทีเดียว
หลินโส่วอีไล่สายตามองอย่างตั้งใจ หลี่เป่าผิงกลับไม่ค่อยจะสนใจนัก หลี่ไหวขี้ขลาดที่สุดจึงเอาแต่ตามติดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
มองภาพวาดนรกภูมิสิบแปดชั้นบนฝาผนังที่มีชื่อเสียงในห้องโถงหลักทำให้คนรู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่เดินทางมา หลังเดินออกจากห้องโถงหลักแล้ว วิหารด้านหลังคือห้องโถงขนาดใหญ่ที่คล้ายคลึงกับศาลพิจารณาคดีประจำอำเภอ เทพอภิบาลเมืองนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะพิจารณาคดีตัวใหญ่ ซ้ายขวามีขุนนางผู้พิพากษายืนขนาบ ทว่ากลอนที่ติดบนเสาเอกกลับเหลือแค่ครึ่งเดียว เป็นประโยคว่า “แค่จิตใจซื่อสัตย์ก็ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าโขกหัวคำนับ จงรีบถอยออกไป” ประโยคท่อนล่างกลับว่างเปล่า
คราวนี้หลี่เป่าผิงพลันเกิดความสนใจเริ่มใคร่ครวญเนื้อหาของกลอนประโยคถัดไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาประโยคที่ถูกใจตัวเองไม่ได้ จึงขมวดคิ้วแน่น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
เด็กหนุ่มชุยฉานและอวี๋ลู่ก็ยืนอยู่เบื้องใต้กลอนที่ว่างเปล่าเช่นกัน
ส่วนเฉินผิงอันกลับพาหลินโส่วอีและหลี่ไหวยืนมองด้านในห้องโถงใหญ่อยู่หน้าประตู ด้านในมีรูปปั้นดินเผาที่คล้ายคนกำลังหมอบกราบโขกศีรษะ บางรูปปั้นก็ถูกสวมตรวจ บางรูปปั้นกลับนั่งคุกเข่าก้มหน้าลงต่ำ
มีผู้เฒ่าชุดเขียวคนหนึ่งที่ไม่ได้พาคนในครอบครัวมาด้วย พอเห็นหีบหนังสือไผ่เขียวที่สะดุดตาของพวกหลี่เป่าผิงก็ยิ้มอย่างเข้าใจ เดินมาหยุดอยู่ใกล้เด็กหนุ่มชุยฉาน เงยหน้ามองกลอนบนเสาเอกที่ว่างเปล่า ถามยิ้มๆ ว่า “อาจารย์น้อยทั้งหลาย คิดกลอนประโยคถัดไปออกหรือยัง?”
ชุยฉานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ส่วนหลี่เป่าผิงที่พอตั้งใจขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะมีสมาธิอย่างมาก นางจึงไม่ได้ยินจริงๆ
มีเพียงอวี๋ลู่ที่ตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “พอคิดได้บ้าง แต่ตัวเองกลับไม่พอใจ เหมือนเอาหางหมามาแซมขนหมีเกินไป (เปรียบเทียบถึงการเอาของที่ไม่ดีมาแซมเข้ากับของดี ทำให้ยากที่จะตัดสินว่าของสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี) จึงไม่คิดจะขายหน้าต่อหน้าท่านผู้เฒ่าแล้ว”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง ยกนิ้วชี้ไปยังกลอนคู่นั้น “เกี่ยวกับกลอนคู่นี้ ในเมืองมีกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งสืบทอดต่อกันมา นั่นคือไม่ว่าจะเป็นคนหรือผี เป็นภูตผีหรือสัตว์ประหลาด ใครก็ตามที่สามารถเขียนกลอนท่อนล่างที่สามารทำให้ผู้คนยอมรับได้ก็จะได้กลายมาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของท่านเทพอภิบาลเมืองในศาลแห่งนี้”
อวี๋ลู่ถามอย่างสงสัย “ท่านผู้เฒ่า แล้วแบบไหนถึงจะสยบผู้คนได้ล่ะ?”
เด็กหนุ่มชุยฉานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ถามใจตัวเองดู”
ปัญหาข้อหนึ่งที่หลี่เป่าผิงขบคิดกำลังมาถึงทางตันพอดี พอได้ยินคำถามคำตอบนี้ แม่นางน้อยก็เอ่ยเสริมขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก “กลางดึกผู้คนเงียบสงัด มโนธรรมแจ่มกระจ่าง พอถามใจตัวเองก็หลุดปากพูดออกมา”
ผู้เฒ่าชุดเขียวผมขาวโพลนพยักหน้ารับช้าๆ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงจะนึกกลอนท่อนล่างที่เหมาะสมไม่ออก แต่ผู้เฒ่าคนนั้นก็ยังยืนกรานจะเดินส่งพวกเขาออกไปจากศาลเทพอภิบาลเมือง ตัวเขายืนอยู่ด้านในธรณีประตู บอกลาทุกคนด้วยรอยยิ้มบางๆ
พอออกจากมาศาลเทพอภิบาลเมืองเก่าแก่แห่งนี้ เฉินผิงอันก็ถามถึงโรงเตี๊ยมแห่งนั้นจากชาวบ้านใกล้เคียง ผลกลับกลายเป็นว่าทุกคนงงงันไม่มีใครรู้เรื่อง ราวกับว่าในเมืองแห่งนี้ไม่เคยมีสถานที่ว่านี้อยู่ เขาจึงได้แต่มองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาว
เด็กหนุ่มชุยฉานถามยิ้มๆ ว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ? ข้าเองก็แค่ได้ยินข่าวเล็กๆ น้อยๆ มาเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นความจริง อีกอย่างหากไม่มีสถานที่ถลุงเงินเช่นนี้อยู่จริง เจ้าก็ไม่ต้องยืมเงินข้าอย่างไรล่ะ”
เฉินผิงอันมองไปทางหลินโส่วอี อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เฉินผิงอันยังคงดึงดัน “พวกเจ้าเดินเล่นในตลาดกันไปก่อน ข้าจะลองไปถามคนอื่นดูอีกครั้ง”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่วิ่งเหยาะๆ ไปเบื้องหน้าเพียงลำพัง สอบถามคนแล้วคนเล่าออกห่างจากกลุ่มไปเรื่อยๆ
เด็กหนุ่มชุยฉานเดินไปยังรถม้าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย อดนินทาในใจไม่ได้ว่า ต่อให้เจ้าเฉินผิงอันแบกภูเขาเงินภูเขาทองอยู่บนหลัง แต่หากต้องใช้จ่ายเงินเหมือนสายน้ำไหล สุดท้ายแล้วยังได้แค่ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น จำเป็นต้องพยายามขนาดนี้เชียวหรือ?
ตอนที่เด็กหนุ่มชุดขาวค้อมตัวเลิกผ้าม่านรถขึ้นก็หันหน้าไปมองหลินโส่วอีที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กหนุ่มที่สีหน้ามืดทะมึน บัดนี้กลับรู้สึกอิจฉากะทันหัน