เฉินผิงอันไม่กล้าเดินเตร่มั่วซั่ว จึงตรงไปที่ศาลาพักร้อน เห็นว่าหลินโส่วอีนั่งอยู่ในนั้นอย่างที่คาดไว้ ด้วยไม่กล้าเทพเซียนบนภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของกลุ่มผู้นี้ หลังจากมองอยู่ไกลๆ พักหนึ่งก็เตรียมจะหมุนกายจากไป แต่กลับเห็นว่าหลินโส่วอีลุกขึ้นกวักมือเรียกเขา
เฉินผิงอันจึงเดินเข้าไปในศาลาพักร้อน เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก่อนจะเข้ามาในโรงเตี๊ยมชิวหลู หลินโส่วอีในเวลานี้เหมือนจะมีบุคลิกรัศมีที่ล่องลอยมากขึ้นกว่าเดิม
หลินโส่วอีเปิดปากพูดด้วยประโยคที่คนทั้งคู่ไม่กระอักกระอ่วน “ชุยตงซานผู้นั้นยืมยันต์แผ่นหนึ่งไปจากข้าแล้วก็ทำลายกฎของโรงเตี๊ยมทันที เขาเดินออกจากศาลาแห่งนี้ กระโดดลงไปในบ่อโบราณนั้นแล้วหายตัวไปเลย”
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ชุยตงซานจะเป็นหรือตาย ข้าสนใจไม่ได้ แล้วก็ไม่สนใจด้วย”
หลินโส่วอีหันหน้าไปมองทางบ่อแห่งนั้นแล้วเงียบไปนานกว่าจะพูดว่า “เรื่องนอนพักในโรงเตี๊ยม ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี แต่เจ้าก็ควรจะปรึกษากับข้าก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “วันหน้าข้าจะทำ”
หลินโส่วอีหันหน้ากลับมา มองสังเกตสีหน้าและสายตาของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะอย่างระมัดระวัง “แค่นี้เองหรือ?”
เฉินผิงอันถามกลับ “ถ้าไม่อย่างนี้แล้วจะยังไง?”
หลินโส่วอีเอ่ยเยาะตัวเอง “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะอธิบายเหตุผลกับข้า หรือไม่ก็ม้วนแขนเสื้อต่อยข้าสักทีแล้วค่อยว่ากัน อันที่จริงข้าเตรียมใจไว้แล้วด้วยว่าหากเจ้าต่อยจะไม่เอาคืน เจ้าด่าจะไม่ด่ากลับ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่พูดอะไร เอนหลังพิงเสาของศาลาพักร้อน มองไปยังบ่อน้ำของที่ตั้งเดิมศาลเทพอภิบาลเมือง แต่เขามองต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ออก
หลินโส่วอีมองหน้าเฉินผิงอัน “ข้าขอโทษ”
เฉินผิงอันโบกมือคลี่ยิ้ม นั่งขัดสมาธิเรียบร้อยแล้วจึงจ้องไปยังบ่อน้ำโบราณตาไม่กะพริบ
หลินโส่วอีรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้ากำลังทำอะไร?”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะตอบจริงจัง “ข้าจะมองเพื่อเอากำไรกลับคืนมา!”
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาเย็นชาที่เดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนแล้วรีบยกมือขึ้นลูบซีกหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดเสียงหัวเราะออกมา
……
จวนมหาวารี แม่น้ำหันสือ
ชายชุดดำที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานมองไปยังแขกที่อยู่กันเต็มห้องโถง มีคนลุกขึ้นชูจอกเหล้าคารวะ พูดจาสรรเสริญเยินยออยู่ตลอดเวลา สีหน้าเขาจึงเผยความลำพองใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อครู่นี้มีนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในราชสำนักคนหนึ่งลุกขึ้นดื่มคารวะอีกครั้ง บอกว่าตลอดหลายปีมานี้ฝนตกต้องตามฤดูกาล การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ล้วนเป็นคุณความชอบของนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีอย่างเขา ในคำพูดนั้นบอกเป็นนัยว่าความสุขความทุกข์ของประชาชนในเมืองล้วนไม่เกี่ยวข้องกับผู้พิทักษ์เมืองที่แซ่เว่ยผู้นั้นแม้แต่น้อย ประเด็นสำคัญก็คือคำพูดที่เห็นได้ชัดว่าต้องการเลียแข้งเลียขาอย่างชัดเจนนี้กลับทำให้คนผู้หนึ่งที่สวมชุดขุนนางขั้นสามชั้นโทของแคว้นหวงถิงที่นั่งอยู่ลุกขึ้นดื่มคารวะ เออออตามปัญญาชนผู้นั้นอย่างไม่ลังเล ปากก็เอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำสวยงามเสนาะหู ในฐานะขุนนางขั้นสามระดับสูง ยกกระบัตรของเขตการปกครองหนึ่ง ถือว่าเป็นคนที่มีตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในงานพิธีเซ่นไหว้ใหญ่ครั้งนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเขาที่นั่งอยู่สูงในตำแหน่งประธานก็ยังเรียกว่านายท่านเทพวารีไม่ขาดปาก
เมื่อไหร่ที่กลายเป็นองค์เทพผู้เสวยสุขจากควันธูป ชื่อเสียงและตระกูลตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนเป็นความลับ ส่วนคนที่สามารถเผชิญหน้ากับองค์เทพได้จะยึดกฎเคารพผู้สูงศักดิ์กว่า โดยทั่วไปแล้วจึงต้องระวังข้อนี้ ไม่มีทางเอ่ยชื่อแซ่ตามตรง
คำเรียกขานว่า “นายท่านผู้เฒ่านี้” คือคำเรียกโดยทั่วไปที่ค่อนข้างจะมั่นคง ส่วนข้อที่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ คนมากมายพูดแตกต่างกันออกไป หนึ่งในนั้นพูดอย่างมาดมั่นเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ บอกว่าในบรรดาศิษย์ใหญ่สามคนที่ได้รับการสืบทอดโดยตรงจากมรรคาจารย์ มีคนหนึ่งที่ชอบเรียกอาจารย์ผู้มีพระคุณว่านายท่านผู้เฒ่า มรรคาจารย์รับคำเรียกขานนี้ไว้ด้วยความยินดี จึงเผยแพร่สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ชายสวมชุดดำค่อยๆ ถอนสายตากลับคืนมา สองที่นั่งฝั่งซ้ายขวามีคนรู้ใจของเขาสี่คนนั่งอยู่ คนเหล่านี้ติดตามเขากรีฑาทัพไปทั่วสารทิศ คนที่อยู่มานานหน่อยก็สามร้อยกว่าปี สั้นหน่อยก็ร้อยกว่าปี หนึ่งในนั้นก่อนจะจำแลงร่างเป็นมนุษย์มีร่างเดิมเป็นปลาหลีสีแดงสดตัวหนึ่ง เรียกพี่เรียกน้อง มีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นภูตปลาปลีตนหนึ่งในแม่น้ำชงตั้นต้าหลี
แต่ว่าตอนนี้ภูตปลาหลีท่านนี้มีภารกิจต้องไปทำ ที่นั่งของเขาจึงว่างเปล่า
ผู้หนึ่งคืองูน้ำที่ฝึกตนจนมีสติปัญญา อาวุธคู่กายคือคทาเหล็ก เป็นของที่เซียนผู้หนึ่งทิ้งไว้ซึ่งเขาได้มาโดยบังเอิญ ทุกครั้งที่เข่นฆ่ากับคนอื่นมักจะชอบใช้คทาเหล็กนี้ฟาดศีรษะของคู่ต่อสู้จนแหลกเละ เขาชอบกินเด็กชายเด็กหญิง เพียงแต่ว่าถูกส่งห้ามจากชายชุดดำ มีเพียงบางครั้งที่จะออกไปหาอาหาร ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเกินไปนัก
และยังมีอีกคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากคางคก พรสวรรค์ดีที่สุด แต่มีนิสัยเกียจคร้าน ขอบเขตจึงต่ำสุด ทว่าด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่น มักจะชอบกลืนกินน้ำในแม่น้ำปริมาณมากจากทางแยกของแม่น้ำใหญ่ ขอแค่ไม่หุบปากลงก็สามารถสูบน้ำมาได้ตลอดเวลาโดยไม่หยุดมัก ไม่มีทางกินจนท้องแตก ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครจึงไม่กล้าหมิ่นเกียรติ ได้รับความสำคัญจากชายชุดดำอย่างมาก เคยมีเทพแม่น้ำสององค์ร่วมมือกันมาก่อความวุ่นวาย รวบรวมกองกำลังมามากมาย พยายามที่จะโค่นล้มตำแหน่งของชายชุดดำให้ได้ ขุนพลผู้เก่งกาจของเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้จึงรับคำสั่งแอบขึ้นฝั่งแทรกตัวแฝงเข้าไปในต้นกำเนิดแม่น้ำสายหนึ่ง จากนั้นก็เผยร่างจริงที่มีเรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขา ครั้นจึงเขมือบกลืนต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนั้น บีบให้เทพแม่น้ำองค์นั้นพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบ เป็นเหตุให้เทพแม่น้ำอีกองค์หนึ่งเหลือตัวคนเดียวไร้กองหนุน สุดท้ายชายชุดดำจึงทำลายศาลและร่างทองคำของอีกฝ่ายจนแหลกละเอียด เอาเศษซากทั้งหมดไปโยนไว้มุมใดมุมหนึ่งของแม่น้ำหันสือ ไม่อาจเกิดใหม่ได้อีกตลอดกาล
ท่านสุดท้ายค่อนข้างจะไม่เข้าพวก เขาสวมชุดขงจื๊อไว้เครางาม ท่าทางสุภาพเรียบร้อย หากใบหน้าไม่ได้เป็นสีเขียวเข้ม แตกต่างจากมนุษย์บนโลก ไม่ว่าอย่างไรก็คงมองดูคล้ายปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้มีการศึกษา
แม่น้ำหันสือยาวแปดร้อยลี้ ผ่านดินแดนของสามเขตปกครองแปดเมือง ด้วยเหตุนี้ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิงจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการหล่อเลี้ยงจากแม่น้ำใหญ่สายนี้ แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงอยู่ในจวนมหาวารีแห่งนี้ด้วยพลังของการต่อสู้ แต่กลับเป็นกุนซือทางทหารผู้เป็นที่ยอมรับ เขาหลบอยู่เบื้องหลัง คอยวางแผนให้กับนายผู้เฒ่าเทพวารีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่เข้าพวกรวมกลุ่มกับใคร
สาวใช้งดงามที่คอยยกอาหารรินน้ำชาอยู่ในห้องโถงใหญ่ ครึ่งหนึ่งคือโฉมสะคราญบนโลกมนุษย์ แล้วยังมีสตรีอีกครึ่งหนึ่งที่แต่งหน้าด้วยผงประทินโฉมที่พิเศษเพื่อปกปิดกลิ่นอายแห่งความตาย คือผีพรายที่ตายเพราะจมน้ำ
ผีพรายบนโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะจมน้ำเพราะว่ายน้ำไม่เป็นหรือเพราะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นผีพรายได้ ต้องเป็นพวกที่ตายไปแล้วความชั่วร้ายก็ยังไม่จางหาย รวมไปถึงต้องมีพรสวรรค์ตอนยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่เวลาที่ตายก็ยังมีความพิถีพิถัน ครบถ้วนทั้งสามข้อ และหากโชคดีดวงจิตไม่แหลกสลายก็ถึงจะมีความเป็นเป็นไปได้ในการถูกจวนมหาวารีรับมาเป็นสาวใช้ ซึ่งในบรรดานี้ยังมีผีพรายที่ถูกพายุลมกรดพัดใส่ ทำให้ดวงวิญญาณแหลกสลายไปอย่างต่อเนื่อง
ยกตัวอย่างเช่นลมฟาดจิตและลมพัดวิญญาณที่มักจะพัดโชยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงสีทอง ซึ่งเป็นตัวสังหารธาตุทองหนึ่งในห้าธาตุ พายุลูกหนึ่งพัดตอนกลางวัน อีกลูกหนึ่งพัดตอนกลางคืน หมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน คือหนึ่งในศัตรูทางธรรมชาติของภูตผี หนึ่งในสาเหตุที่พูดกันว่าวิญญาณบินจิตสลาย (ขวัญหนีดีฝ่อ) ในโลกมนุษย์ก็มาจากสิ่งนี้ โดยทั่วไปแล้วลมพายุทั้งสองชนิดจะเกิดภัยคุกตามต่อวัตถุธาตุหยินเท่านั้น แต่หากเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายอ่อนแอ วาสนาเบาบางก็อาจจะถูกลมพายุนี้ทำร้ายเอาได้เหมือนกัน
ส่วนคำกล่าวว่าประหารหลังใบไม้ร่วง โดยทั่วไปแล้วราชสำนักจะทำการลงโทษนักโทษในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกผีร้ายอาละวาด ซึ่งก็มาจากเหตุผลข้อนี้
นอกจากนี้แล้วเสียงฟ้าร้องฤดูใบไม้ผลิที่ชาวบ้านธรรมดาได้ยินกัน สำหรับวัตถุธาตุหยินที่สกปรกชั่วร้ายแล้วก็ถือเป็นกลองเร่งตายอย่างแท้จริง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นด่านที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ด่านหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า หากพูดว่าเป็นคนไม่ง่าย ดูเหมือนว่าเป็นผีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
นอกจากแม่ทัพใหญ่ที่เป็นคนสนิทของจวนมหาวารีแล้ว ก็คือแขกที่มาเยี่ยมเยือนเพื่อแสดงความยินดี
บุคคลที่ชายชุดดำถูกโฉลกด้วยที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น ซึ่งในอดีตเป็นแค่ซิ่วไฉยากจนที่เท้าลื่นจึงพลัดตกน้ำโดยไม่ทันระวังเท่านั้น น่าเสียดายที่คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่เหมาะกับตำแหน่งขุนนาง ต่อให้เขามีนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีผู้นี้ช่วยสนับสนุนประคับประคองก็ยังเป็นได้แค่ขุนนางผู้ทัดทานขั้นหกก็เลื่อนขั้นต่อไม่ได้แล้ว สุดท้ายจึงถือโอกาสป่าวประกาศแก่คนนอกว่าลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด ครั้นจึงไปสร้างจวนอันหรูหราแห่งหนึ่งอยู่ในป่าบนภูเขาของเขตการปกครองเฮ้อทางทิศเหนือแคว้นหวงถิง ตั้งตนเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งป่าเขาลำเนาไพรที่มีอิสระเสรี หลังจากลาออกจากราชการแล้ว กิจการที่ตั้งมาได้ยี่สิบกว่าปีก็ทำให้เขาถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งปัญญาชนผู้รอบรู้ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง ซึ่งเขาให้การสนับสนุนเทพแม่น้ำหันสือมาโดยตลอด ลำพังเพียงแค่กาพย์กลอนที่เกี่ยวกับแม่น้ำหันสือก็มีมากถึงยี่สิบกว่าบท ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องเชิญนักกวีจำนวนมากมาจัดประชุมกวีนิพนธ์ที่แม่น้ำหันสือ ทุ่มเงินก้อนใหญ่ในการจัดงาน อาหารและสุราเลิศรส มีสาวงามคอยให้การปรนนิบัติ สมกับรสนิยมของปัญญาชนอย่างถึงที่สุด
ส่วนเรื่องที่ว่าบุตรของนักประพันธ์ท่านนี้เลื่อนขั้นสูงอย่างต่อเนื่องในราชสำนักแคว้นหวงถิง ส่วนหลานที่มีฐานกระดูกธรรมดาก็กลายมาเป็นผู้ฝึกตนนั้น กลับไม่มีใครอยากจะสืบสาวอย่างลึกซึ้ง หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าไม่มีความกล้าที่จะซักไซ้ให้ถึงแก่น
เจ้าแห่งวงการวรรณกรรมที่เรียกตัวเองว่านักพรตเฒ่าหวงผู้นี้ เวลานี้กำลังพูดคุยกับใต้เท้ายกกระบัตรอย่างชื่นมื่น เสียงหัวเราะดังกังวาน
ยกกระบัตรคือบุคคลอันดับที่สามในนามของเขตการปกครองแห่งนี้ ส่วนบุคคลอันดับหนึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้ว่ามณฑล จากนั้นจึงเป็นแม่ทัพที่ตั้งฐานทัพอยู่ในพื้นที่ กุมอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ ศักยภาพแม่ทัพฝ่ายบู๊ของแคว้นหวงถิงอ่อนด้อย ในราชสำนักให้ความสำคัญกับบู๊ ไม่ใส่ใจบุ๋น ดังนั้นตำแหน่งขุนนางยกกระบัตรจึงมักจะเหนือกว่าแม่ทัพของเขตการปกครองแห่งหนึ่งเสมอ ความหมายในการดำรงอยู่ของยกกระบัตรมักจะเป้นคนที่ฮ่องเต้นำมาใช้ถ่วงสมดุลกับผู้ว่ามณฑล
เวลานี้ทุกคนต่างก็หยุดพูดโดยอัตโนมัติ หันหน้าไปมองทางประตู เห็นเพียงว่ามีชายสวมเสื้อเกราะที่สองข้างแก้มเต็มไปด้วยหนวดเคราก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขากุมมือประสานแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เรียนนายท่านผู้เฒ่า ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้นตายแล้ว ข้าบิดศีรษะของเขาหักด้วยมือตัวเอง ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกแน่นอน”
ชายสวมชุดคลุมสีดำเหลือบมองสีหน้าของผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งในห้องโถงก่อน จากนั้นพอค้นพบว่าชายร่างกำยำที่ตรงเอวพกง้าวสั้นทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีลมก็รีบผาย”
คนผู้นี้ก็คือชายที่อาศัยบ่อน้ำโบราณเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมชิวหลู ร่างเดิมของเขาคือปลาหลีสีชาดตัวหนึ่ง ได้ยินประโยคนี้เขาก็ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “ก่อนหน้าที่เจ้าหนุ่มผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นจะตายได้แฉข่าวฉาวบางอย่าง มีทั้งของนายท่านผู้เฒ่า แล้วก็มีของตระกูลใหญ่ๆ ในเมือง แน่นอนว่าเรื่องของผู้พิทักษ์เมืองแซ่เว่ยผู้นั้นมีมากกว่าใคร ไม่น่าฟังอย่างยิ่ง บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาล้วนถูกขุดขึ้นมาด่าเสียหลายรอบ หากไม่เป็นเพราะข้าลงมือไว พรุ่งนี้ในเมืองคงลือแต่เรื่องน่าหัวเราะเยาะของผู้พิทักษ์เมืองเว่ยกันไปทั่ว”
ชายชุดดำแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “โอ้?”
ภูตปลาหลีร่างกำยำกำลังจะพูด แต่ชายชุดดำกลับโบกมือบอกเป็นนัยให้เขารีบกลับไปนั่งที่ ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระ ฝ่ายแรกจึงเดินไปนั่งแต่โดยดี มองชายที่มีมาดดั่งปัญญาชน ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะบอกให้รู้ว่าไม่ต้องร้อนใจ ชายร่างกำยำถึงได้วางใจแล้วเริ่มกินเนื้อชิ้นใหญ่ ดื่มเหล้าคำโต
ได้ยินว่าผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในเมือง ในห้องโถงมีชายหนุ่มหน้าตาขี้โรคคนหนึ่งที่ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มสาแก่ใจของตัวเองเอาไว้ได้ กระดกจอกเหล้าขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง
ในเมือง ผู้พิทักษ์เมืองแซ่เว่ยหดหู่เศร้าซึม ผู้ฝึกตนอิสระตายศพไม่ครบถ้วน
ทั้งประธานและแขกในจวนมหาวารีต่างก็เปรมปรีดิ์ถ้วนทั่ว
ความแตกต่างเห็นเด่นชัด
บุรุษชุดดำพลันเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู ทันใดนั้นสีหน้าของเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้ก็เปลี่ยนมาเป็นมืดทะมึน
มีเด็กหนุ่มชุดขาวเรือนกายสูงโปร่งดุจต้นไม้หยกรับลมผู้หนึ่งมายืนอยู่นอกประตูอย่างเงียบเชียบ เขากำลังยื่นมือปัดไปตามชายแขนเสื้อเพื่อดีดหยดน้ำบางส่วนทิ้งไป สุดท้ายเด็กหนุ่มเดินก้าวผ่านธรณีประตูสูงใหญ่ มองซ้ายมองขวา ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่ใช่ เทพก็ไม่เชิง แปลกจริง แปลกจริง แปลกจริงๆ”