ชุยฉานที่นั่งเหม่ออยู่บนพื้นมาโดยตลอดปรายตามองแม่นางน้อยกับม้วนภาพแล้วกล่าวเสียงขุ่น “ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ม้วนภาพนี้ก็ไม่มีทางเกิดความเสียหายได้สักเสี้ยวเดียว รู้หรือไม่ว่าอะไรคือฟ้าถล่มลงมา? ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเคยมีคนไร้นามผู้หนึ่งใช้กระบี่เดียวแทงทะลุทางช้างเผือก ทำให้น้ำจำนวนนับไม่ถ้วนของถ้ำสวรรค์หวงเหอไหลทะลักลงมา มองไกลๆ ราวกับว่าม่านฟ้าฉีกขาดเป็นรูขนาดใหญ่ เสียงน้ำไหลสู่เบื้องล่างดังซู่ๆ กระหึ่มก้อง
นี่ถึงสร้างให้เกิด ‘น้ำของแม่น้ำหวงเหอมาจากฟากฟ้า’ ซึ่งเป็นลำดับที่สองในสิบทัศนียภาพของใต้หล้า รวมไปถึงนครจักรพรรดิขาวที่ตั้งอยู่ระหว่างชั้นเมฆเรืองรอง เจ้าเมืองของนครจักรพรรดิขาวนั้นร้ายกาจนักล่ะ คือวีรบุรุษผู้กล้าจำนวนน้อยนิดที่กล้าโอ้อวดว่าตนคือคนของลัทธิมาร สง่างามยิ่งนัก ข้าเคยโชคดีมีโอกาสได้เล่นหมากล้อมกับเขากลางนทีเมฆหลากสีนอกนครจักรพรรดิขาวที่ถูกขนานนามว่าเป็นเมฆหลากสีสิบชั้น แพ้มากกว่าชนะ แต่แม้จะแพ้ก็แพ้อย่างมีเกียรติ เพราะอย่างไรซะธงที่เขียนคำว่า ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ ก็ปักอยู่บนกำแพงของนครจักรพรรดิขาวมาหกร้อยกว่าปีแล้ว นักเล่นหมากล้อมที่มีคุณสมบัติได้ประลองฝีมือกับเจ้าเมืองจึงมีน้อยจนนับนิ้วได้…”
แม่นางน้อยไม่ชอบฟังเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระพวกนี้จึงกล่าวอย่างเดือดดาล “พูดโอ้อวดอะไรอยู่ได้ ข้าบอกว่าม้วนภาพแตกแล้วก็คือแตกแล้ว! หากข้าชนะ ให้ข้าใช้ตราประทับประทับตราลงบนหน้าผากเจ้าอีกทีไหมล่ะ? กล้าเดิมพันหรือไม่?!”
เดิมพัน?
ชุยฉานสนใจขึ้นมาทันใด สีหน้าห่อเหี่ยวหายเกลี้ยงในบัดดล พลันลุกขึ้นยืน ปัดก้น ถามยิ้มๆ “แล้วถ้าข้าชนะล่ะ?”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างใจกว้าง “หากอาจารย์อาน้อยออกมาจากม้วนภาพแล้วยังยืนกรานจะสังหารเจ้า ข้าก็จะช่วยเก็บศพให้เจ้า! เจ้าบอกมาเลยว่าจะให้ฝังในสถานที่แบบใด ตรงสุสานเทพเซียนของเมืองเล็กพวกเราดีไหม? ข้าไปที่นั่นเป็นประจำ ค่อนข้างคุ้นทาง จะได้ช่วยลดปัญหาความวุ่นวายให้ข้าด้วย…”
ชุยฉานแยกเขี้ยว ยกมือห้าม “หยุดเลยๆ หากข้าชนะ เจ้าต้องช่วยข้าพูดเกลี้ยกล่อมเฉินผิงอัน ไม่เพียงแต่ห้ามฆ่าข้า ยังต้องรับข้าเป็นลูกศิษย์ด้วย”
วินาทีก่อนที่จะออกจากบ่อโบราณ เขาถูกตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” ของฉีจิ้งชุนกระแทกลงบนหน้าผากอย่างแรง ซึ่งนั่นเป็นการทำลาย “ปราณซื่อตรงและยิ่งใหญ่อันน้อยนิด” ส่วนสุดท้ายของหนังหุ้มกายนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนจากนักพรตขอบเขตห้าหล่นลงมาเป็นคนธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง เป็นอย่างที่ฉีจิ้งชุนเคยพูดไว้ในบ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนของเมืองเล็กจริงๆ นั่นคือหากไม่รู้จักกลับตัวกลับใจ ก็มีวิธีที่จะทำให้เขาชุยฉานต้องทนทุกข์ทรมาน
แต่สถานการณ์ของบุรพแจกันสมบัติทวีปเป็นเช่นนี้ ต้าหลีเตรียมยกทัพลงใต้ ลูกธนูขึ้นสายแล้วก็จำต้องปล่อยออกไป แล้วนับประสาอะไรกับที่มหามรรคาที่ชุยฉานก้าวเดินไม่มีทางให้หวนกลับ ไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ครึ่งก้าว ด้วยเหตุนี้ต่อให้ตอนนั้นจะแน่ใจแล้วว่าฉีจิ้งชุนยังทิ้งแผนการรับมือไว้เบื้องหลัง ชุยฉานก็ยังทำในสิ่งที่ต้องทำ อย่างมากก็แค่ต้องระวังมากขึ้นเวลาจะพูดจาหรือทำอะไรเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เด็กหนุ่มชุยฉานก็ดี ราชครูชุยฉานที่อยู่ในเมืองหลวงก็ช่าง ไม่ว่าจะมีนิสัยชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ กระหายเลือดเป็นอาจิณ จิตใจล้ำลึกยากหยั่งถึงแค่ไหน แต่ความใจกว้างยินยอมรับผลเมื่อแพ้พนันนี้ก็ไม่เคยลดน้อยลง ข้อนี้นับตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนัก ขอศึกษาร่ำเรียนมาจนถึงกลายเป็นราชครูของแคว้นคนเถื่อนทางทิศเหนือในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนี้ ชุยฉานไม่เคยโยนทิ้งไป
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ต่อให้ข้าชนะแน่นอนก็ไม่มีทางรับปากเจ้าในเรื่องนี้”
ชุยฉานกะพริบตาปริบๆ “ไม่ทำการแลกเปลี่ยนแบบนี้ วันหน้าจะกลายเป็นนักปราชญ์น้อย เป็นอาจารย์หญิงของสำนักศึกษาซานหยาได้อย่างไร?”
หลี่เป่าผิงมอง “อาจารย์อา” ในอดีตผู้นี้ด้วยสีหน้าดูแคลน แม่นางน้อยเอ่ยคำพูดของตนไปแล้วก็เหมือนฆ่าพยัคฆ์ขวางทาง (เปรียบเปรยถึงอุปสรรค) ที่ขดตัวอยู่บนเส้นทางหัวใจให้ตายไป นางไม่เคยสนใจจะ “เก็บศพ” แค่กระโดดข้ามผ่าน เสียงสวบดังหนึ่งครั้งก็วิ่งไปไกลถึงไหนต่อไหน ตามหาคู่ซ้อมมือคนต่อไป ต่อให้เป็นอาจารย์ของนางอย่างฉีจิ้งชุนก็ยังจนใจกับนิสัยนี้ของนางอยู่มาก
แม่นางน้อยชูมือโบกตราประทับสีขาวลออในมือ “กลัวหรือไม่?”
ชุยฉานหัวเราะเฮอๆ “เด็กน้อยที่เติบโตในป่าเขาอย่างเจ้า ข้าไม่ลดตัวมาทะเลาะด้วยหรอก”
หลี่เป่าผิงดึงมือกลับมาช้า เป่าลมใส่ตัวอักษรบนตราประทับเบาๆ หนึ่งครั้ง ท่าทางเหมือนเตรียมหาที่ประทับตรา
ชุยฉานกลืนน้ำลาย “หลี่เป่าผิง อย่าทำแบบนี้สิ มีอะไรก็พูดจากันดีๆ พวกเราต่างก็เป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ พวกเรานับเป็นสหายร่วมสำนัก อีกอย่างเจ้าไม่กลัวหรือว่าพออาจารย์น้อยของเจ้าเห็นนิสัยอันธพาล ไม่มีความสุภาพเรียบร้อยอย่างคุณหนูในห้องหอของเจ้าแล้ว วันหน้าจะไม่ชอบเจ้าอีก?”
หลี่เป่าผิงหัวเราะอารมณ์ดี “อาจารย์อาน้อยจะไม่ชอบข้า? ใต้หล้านี้คนที่อาจารย์อาน้อยชอบมากที่สุดก็คือข้านี่แหละ!”
ชุยฉานถอนหายใจ “แต่สักวันหนึ่งอาจารย์อาน้อยของเจ้าก็ต้องมีแม่นางที่เขาชอบมากที่สุด”
แม่นางน้อยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ถ้าอย่างนั้นก็ชอบข้าเป็นอันดับที่สอง นี่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าดีใจอยู่ดี”
ชุยฉานทำสีหน้าเหมือนเห็นเทพเห็นผี “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
แม่นางน้อยพลันทำสีหน้าแบบเดียวกันมองไปทางด้านหลังของชุยฉาน ชุยฉานหันไปมองตาม นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้ร่างกายของเขาไม่อาจทนรับความทรมานได้อีกแล้ว แต่วินาทีที่ชุยฉานตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี ด้านหลังของเขาว่างเปล่า ไม่มีความผิดปกติใดๆ
ตราประทับชิ้นหนึ่งก็ตบเข้าที่หน้าผากของเขาด้วยความเร็วดุจฟ้าร้องไม่ทันป้องหู ทำเอาชุยฉานผงะหงายผลึ่งไปด้านหลัง
ระหว่างที่ร่างหงายลง เด็กหนุ่มชุยฉานก็ทั้งสลดใจและเจ็บแค้น นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว!
นอนหงายอยู่บนพื้น ชุยฉานกล่าวแค้นเคือง “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังกล้าเอาตราประทับมาลอบโจมตีข้าอีกครั้ง ตบหนึ่งครั้ง เจ้าก็จะถูกลดอันดับความชอบจากที่สองมาเป็นที่สาม เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าก็พิจารณาเอาเองเถอะ! จะดีจะชั่วข้าชุยฉานก็เคยเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อ พูดจาอะไรย่อมต้องมีความน่าเชื่อถือ แล้วอย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน!”
แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดโป้ปดที่แสร้งทำเป็นแข็งนอกอ่อนใน อริยะลัทธิขงจื๊อมีวิชาอภินิหารปากซ่อนโองการสวรรค์อยู่จริง แต่กลับมีเงื่อนไขที่เข้มงวดต่อโชคชะตาสายบุ๋นที่สืบทอดและการฟูมฟักปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรมของตัวคนอย่างยิ่ง
ตอนนี้นอกจากของนอกกายที่เก็บไว้ในชิ้นสมบัติฟางชุ่น รวมถึงเรือนกายกิ่งทองใบหยกนี้แล้ว ชุยฉานก็ไม่มีอะไรอีก ที่ย่ำแย่ซ้ำซ้อนไปมากกว่านั้นก็คือ วัตถุฟางชุ่นก็เหมือนถ้ำสวรรค์ที่มีพื้นที่เล็กแคบที่สุด ต่อให้เป็นเจ้าของที่จิตเชื่อมอยู่กับวัตถุฟางชุ่นก็ยังมีข้อเรียกร้องต่อขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ ชิ้นที่อยู่กับชุยฉานนั้นจำเป็นต้องให้เจ้าของมีตบะต่ำสุดคือขอบเขตห้า ส่วนคนอื่นที่หากคิดจะบังคับเปิดมันออกกลับจำเป็นต้องเป็นขอบเขตสิบ ยกตัวอย่างเช่นพวกผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหาร ส่วนนักพรตขอบเขตสิบเอ็ดนั้น หากคิดจะเปิดก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
หลักการนี้ง่ายดายยิ่ง วัตถุฟางชุ่นก็คือบ้านของตัวเอง แต่เมื่อหน้าประตูบ้านใส่กุญแจ ตบะขอบเขตห้าก็คือกุญแจที่อยู่ในมือของเจ้าของซึ่งจำเป็นต้องไขกุญแจเพื่อเปิดประตูเข้าไป
หากโจรขโมยคิดจะพังประตูบุกเข้าไป ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ระดับความยากกลับมีมาก
ชุยฉานในเวลานี้อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ สู้ไม่ได้แม้แต่เด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ในอนาคตหากปรับปรุงพักฟื้นได้เหมาะสมก็อาจจะมีโอกาสได้พละกำลังเหมือนคนปกติทั่วไปกลับคืนมา แต่เรื่องฝึกตนนั้นต้องอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตอย่างเดียวเท่านั้น จำเป็นต้องอาศัยวาสนาและโชคดีที่ยิ่งใหญ่ แต่ชุยฉานรู้สึกว่าหากดูจากสิ่งที่ตนประสบพบเจอมาตลอดทางนี้ สามารถมีชีวิตอยู่จนได้เป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน เขาก็พอใจมากแล้ว
อริยะลัทธิขงจื๊อขอบเขตสิบสองร่วงลงมาเป็นนักพรตขอบเขตสิบ แล้วก็ร่วงลงมาเป็นขอบเขตห้า สุดท้ายดิ่งลงเป็นคนธรรมดาที่ไม่อาจลดระดับไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ชุยฉานรู้สึกว่าชีวิตของตนช่างผงาดขึ้นสูงแล้วก็ร่วงดิ่งๆๆๆ จริงๆ
ยังจะกล้าข่มขู่ข้า?
ไอ้หมอนี่ไม่ตีก็ไม่จำ แม้แต่หลี่ไหวก็ยังสู้ไม่ได้
หลี่เป่าผิงโมโหเดือดจึงวิ่งปรู๊ดออกไป พอนั่งยองลงแล้วก็ประทับตราลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มชุยฉานอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ประหนึ่งฟ้าคำรามลมพัดกระโชก พายุก่อตัวเป็นฝนกระหน่ำอย่างไม่มีลางบอกเหตุ
ทำให้คนรับมือไม่ทัน
แม้แต่บุคคลที่จิตใจแข็งแกร่งดุจภูผาอย่างชุยฉาน เวลานี้ก็ยังรู้สึกไม่อาลัยต่อชีวิตอีกแล้ว
เพราะอย่างไรซะฝ่ายตรงข้ามก็คือแม่นางน้อยคนหนึ่ง ไม่ใช่คนอย่างซิ่วไฉเฒ่าหรือฉีจิ้งชุน
……
กลางภูเขาแม่น้ำในม้วนภาพวาด เด็กหนุ่มที่กระโดดลอยตัวควงแขนฟันกระบี่ลงไป ยามที่เท้าเหยียบพื้นก็หมดสติทันที แต่ได้สตรีร่างสูงใหญ่ที่กลับคืนสู่ร่างจริงโอบอุ้มไว้ในอ้อมอก นางประคองให้เฉินผิงอันนั่งลงบนพื้นด้วยกันอย่างระมัดระวัง มือสองข้างโอบเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งไว้เบาๆ เพราะเส้นผมสีดำสนิทที่ผูกรวบด้วยด้ายสีทองทิ้งตัวอยู่ตรงหน้าอกจึงบดบังใบหน้าของเด็กหนุ่ม นางจึงยื่นมือสะบัดมันไปด้านหลัง ก้มหน้าลงจ้องเฉินผิงอันที่ผิวหน้าดำเกรียม
นางพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
ในม้วนภาพวาดที่ถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งของอริยะปรากฏเงาร่างสีทองที่สูงใหญ่อย่างถึงที่สุดยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาสุ้ยซาน คล้ายกำลังพูดคุยอยู่กับซิ่วไฉเฒ่า ต่อให้สตรีที่เห็นแผ่นฟ้ากว้างขวางแผ่นดินยิ่งใหญ่มาจนชินตาแล้วก็ยังรู้สึกว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ไม่อาจดูหมิ่นได้ คงเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าไม่ต้องการเปิดเผยบทสนทนาจึงสกัดกั้นการรับสัมผัส นางไม่ถือสากับเรื่องนี้ จึงก้มหน้าลงอีกครั้ง มองเด็กหนุ่มที่กำลังหลับสนิทแล้วยิ้มบางๆ “หากวันหน้ากลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ ผิวพรรณกลับมาขาวอีกครั้ง อันที่จริงก็เป็นเด็กหนุ่มที่สะโอดสะองเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่หล่อเหลาคมคาย แต่ก็หนีไม่พ้นคำว่า ‘ผึ่งผายสง่างาม’”