แม้ว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงจะเกิดความห่อเหี่ยวไปชั่วขณะ แต่นางคือหลี่เป่าผิงนะ เพียงแต่ไม่นานก็กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง นางเคลื่อนเท้าอย่างไม่กระโตกกระตาก แอบมายืนอยู่ตรงฝั่งซ้ายมือของสตรีร่างสูงใหญ่ อ้อมทางด้านหลังนาง แล้วเดินไปทางฝั่งขวามือ เดี๋ยวก็มองอาภรณ์ของนาง เดี๋ยวก็เหลือบดูใบบัวใบใหญ่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรหลี่เป่าผิงก็รู้สึกว่าน่ามอง งดงามจริงๆ
เมื่อได้ยินชุยฉานด่าพ่อล่อแม่และคำสั่งสอนของผู้เฒ่า เฉินผิงอันก็พอจะใคร่ครวญจนได้คำตอบบางอย่าง แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าเชื่อ เขากลืนน้ำลายลงคอ หันไปถามสตรีร่างสูงใหญ่เบาๆ “ผู้เฒ่าท่านนี้คืออาจารย์ของอาจารย์ฉีหรือ? คือเหวินเซิ่งอะไรนั่น? มหาอริยะของลัทธิขงจื๊อ?”
มิน่าเล่าตลอดทางที่ผ่านมานี้ถึงได้มีลุ่มๆ ดอนๆ ได้เจอทั้งอาเหลียงผู้สวมงอบ เซียนกระบี่พสุธาศาลลมหิมะ แน่นอนว่ายังมีคนแซ่ชุยผู้นี้ด้วย
สตรีร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช่แล้ว”
ร่างจริงของสตรีคือจิตวิญญาณกระบี่ที่ฟูมฟักมาจากกระบี่โบราณที่แขวนไว้ใต้สะพานหินโค้ง ระหว่างช่วงเวลาของการรอคอยที่ยาวนานนับหมื่นปี นางเคยได้เป็นพยานในการตายของเจินหลงตัวสุดท้าย นั่นคือสงครามปิดฉากที่น่าสรรเสริญและสะเทือนใจชวนหลั่งน้ำตา ผู้ฝึกลมปราณคนสำคัญของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักจับมือกันลงมือ แต่กระนั้นก็ยังมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน ซากศพของคนที่ตายในสงครามนอนกลาดเกลื่อนดุจเม็ดฝนพรมพื้นดิน จิตวิญญาณไม่สลาย แม้แต่โชคชะตาของเจินหลงที่ตายไปก็ยังปะปนรวมอยู่ด้วย สุดท้ายสร้างให้ถ้ำสวรรค์หลีจูก่อกำเนิด แต่กลับถูกนางมองเป็นการต่อยตีของเด็กน้อย เป็นการละเล่นของเด็กไม่รู้จักโต
ตั้งแต่ต้นจนจบวิญญาณกระบี่ตนนี้ทำเพียงแค่มองดูอยู่ห่างๆ บางครั้งที่ดวงตาเป็นประกายก็จะแอบขโมยเอาสิ่งของที่สวยงามน่ามองมาเก็บเอาไว้โดยที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น
เดิมทีนางคิดว่าชีวิตที่เหลือหากไม่นอนหลับไปก็คงต้องได้แต่นั่งหาว นิมิตเห็นภาพที่ตัวเองต้องล่องลอยไปมาอยู่ท่ามกลางซากปรักโบราณยิ่งใหญ่อลังการ เทียบไม่ได้แม้แต่ผีเร่ร่อน ค่อยๆ สลายหายไปตามกาลเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งถึงวันที่ปราณวิญญาณเหือดหายไปสิ้น
แต่ในชั่วขณะที่ถ้ำสวรรค์หลีจูกำลังแตกสลาย นางได้เลือกเฉินผิงอันเป็นเจ้านายคนที่สอง ไม่ใช่หนิงเหยาที่เป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่มาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่หม่าขู่เสวียนผู้มีที่มาไม่แน่ชัด ยิ่งไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ที่ถือกำเนิดและเติบโตมาในเมืองเล็กอย่างเซี่ยสือ เฉาซีพวกนั้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของฉีจิ้งชุน
แรกเริ่มเลยคือคืนนั้นที่ฉีจิ้งชุนนั่งอยู่บนสะพานแบบคานเพียงลำพังจนฟ้าสาง เขาที่นั่งอยู่เบื้องใต้กรอบป้ายลมโชยน้ำขึ้นก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้นางลืมตามองเด็กหนุ่มตรอกหนีผิง ต่อให้จะมองแค่แวบเดียวก็ยังดี
อันที่จริงความรู้สึกแรกที่วิญญาณกระบี่มองไปคือ ไม่มีความรู้สึก
เพราะนางเคยพบเห็นเรื่องอัศจรรย์น่าตะลึงมามากมายเหลือเกินแล้ว
ดังนั้นนางจึงไร้ความรู้สึก สำหรับนางแล้ว ถ้ำสวรรค์หลีจูที่แตกสลายจะร่วงลงมาก็ดี มรรคาสวรรค์จะแว้งกลับมาสร้างหายนะให้แก่ชาวบ้านก็ช่าง ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อนาง
แต่นางมีความสนใจใคร่รู้อยู่บ้างเล็กน้อย เหตุใดบัณฑิตที่ถูกขนานนามว่ามีหวังจะก่อตั้งลัทธิเรียกตนเป็นบุรพาจารย์อย่างฉีจิ้งชุนถึงได้เลือกเด็กคนหนึ่งที่แม้แต่หนังสือก็ไม่เคยเรียนมาก่อน
ดังนั้นหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา นางจึงคอยมองเด็กหนุ่มอยู่บ่อยๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี
ภายหลังนางรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ฉีจิ้งชุนจะจากไปได้อาศัยสถานะอริยะของเมืองเล็กกอบ “น้ำสองฝ่ามือ” จากแม่น้ำแห่งกาลเวลาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาของถ้ำสวรรค์หลีจูเอาไว้ มันถูกฉีจิ้งชุนตักมาด้วยวิชาอภินิหารแล้ววางไว้ใต้สะพานแบบคาน
วันหนึ่งที่นางว่างไม่มีอะไรทำจึงรู้สึกว่าควรต้องหาอะไรทำสักหน่อยดีไหม? จึงเริ่มเผยร่างจริง ลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำเบื้องล่างสะพานแบบคาน นางหวีผมพลางมองน้ำไปด้วย
ภาพที่เห็นล้วนเป็นสิ่งละอันพันละน้อยของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิง
บ้างก็เป็นแผนการเบื้องหลังที่อำพรางไว้ยาวไกลเป็นพันลี้ บ้างก็เป็นเรื่องหยุมหยิมของชาวบ้านร้านตลาด บ้างก็เป็นการทำดีที่แฝงเจตนาชั่วร้าย บ้างก็เป็นเรื่องร้ายที่ไม่เจตนา บ้างก็เป็นการพบเจอแสนสุขและการจากลาแสนเศร้าที่มีในครอบครัวของแต่ละคน มีทั้งความเสียใจ มีทั้งความจริงใจ มีคนตายแล้วก็มีคนตาย
นางรู้สึกว่าน่าสนใจมาก น่าสนใจกว่ากลุ่มเด็กน้อยต่อยตีกัน ล้อมวงทุบตีแมลงตัวหนึ่งมากนัก
ยกตัวอย่างเช่นเด็กตัวกะเปี๊ยกคนหนึ่ง แบกตะกร้าไม้ไผ่ที่สูงเกินครึ่งตัวของเขา บอกว่าจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นไปบนภูเขาก็ร้องไห้จนฟ้าสะท้านดินสะเทือนถึงเพียงนั้น
ยกตัวอย่างเช่นเด็กชายยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก มือถือตะหลิวปากก็ท่องพึมพำว่าวันนี้จะต้องทำกับข้าวให้อร่อยให้ได้ ไม่เค็มไม่จืด กำลังพอดี
หรือยกตัวอย่างเช่นเด็กชายที่วิ่งออกห่างมาจากร้านขายพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล วิ่งไปน้ำลายไหลไป ได้แต่พยายามจินตนาการถึงรถชาติที่เคยกินตอนเด็ก
สุดท้ายยกตัวอย่างเช่นเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป เด็กคนนั้นจึงไปตกปลาในน้ำลึกตอนเที่ยงวันอย่างไม่รู้หลักการที่ว่าว่าแม้แต่เทพเซียนก็ยากจะตกปลาตอนเที่ยงวันแม้แต่น้อย ทำเอาตัวเองถูกแดดเผาจนดำเสียยิ่งกว่าถ่าน
วิญญาณกระบี่รู้ว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความยากลำบาก แต่นางไม่เคยรู้สึกว่าความลำบากเหล่านี้จะยากเย็นแสนเข็ญใดๆ
เพราะวิญญาณกระบี่เคยติดตามเจ้านายของนางกรีฑาทัพไปสี่ทิศ ภูเขาศพมหาสมุทรโลหิต บนพื้นเต็มไปด้วยซากกองกระดูกของทวยเทพซึ่งหากเอามารวมกันก็คงกลายมาเป็นภูเขา โอสถปีศาจของจอมปีศาจสามารถเอามาเสียบเป็นพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลได้ในคราวเดียว กัดกินทีดังกร๊วมๆ กรุบกรอบ เงาร่างของปีศาจสวรรค์นอกอารยะมืดฟ้ามัวดิน หนึ่งกระบี่บุกทลายราบเป็นหน้ากลอง
ดังนั้นพอฉีจิ้งชุนมาหานางอีกครั้ง นางจึงยังไม่ยอมพยักหน้าตอบรับ ขนาดนักปราชญ์ที่รู้จักสรรหาหลักการและเหตุผลมาพูดอย่างฉีจิ้งชุนก็ยังมีช่วงเวลาที่รับมือไม่ถูก ฉีจิ้งชุนจึงเก็บน้ำแห่งกาลเวลาที่กอบมาด้วยสองมือนั้นกลับคืนไป แล้วจึงค่อยๆ เทกลับลงไปบนธารน้ำหลงซวีจากบนสะพานแบบคาน ภาพเหตุการณ์ไหลย้อนกลับอย่างเชื่องช้า จากเด็กหนุ่มเฉินผิงอันที่รีบร้อนเอาจดหมายไปส่ง สุดท้ายกลับไปยังเด็กชายเฉินผิงอันที่วิงวอนขอพรจากสุสานเทพเซียนให้มารดาของตนสุขภาพแข็งแรง นับตั้งแต่ที่ฉีจิ้งชุนเทน้ำลงไปก็ตัดสินใจว่าจะไม่เกลี้ยกล่อมวิญญาณกระบี่อีก
เขาเริ่มไปยังปลายสะพาน และในช่วงเวลาสุดท้ายที่เขากำลังผิดหวังอย่างหนัก ประโยคที่เอ่ยไปโดยไม่ตั้งใจกลับเป็นการไปกะเทาะจิตใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าของวิญญาณกระบี่ได้เล็กน้อย “พวกเราต่างก็ผิดหวังกับโลกใบนี้”
วิญญาณกระบี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า ชั่วขณะที่น้ำหนึ่งมือกอบนั้นกำลังจะหลอมรวมเข้ากับน้ำในลำธารปราฎเป็นภาพสุดท้ายที่เด็กชายบอกลากับบิดาในตรอกหนีผิง “ท่านพ่อ ข้าห้าขวบ เป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
วิญญาณกระบี่มองแผ่นหลังของฉีจิ้งชุนแล้วเอ่ยว่า “ให้เขาเดินผ่านสะพานหนึ่งรอบ หากเขาสามารถยืนหยัดเดินหน้าต่อไปได้ ข้าจะลองพิจารณาดู”
ฉีจิ้งชุนหันหน้ากลับมาด้วยความตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน พยักหน้ารับแรงๆ “ข้าเชื่อมั่นในตัวเฉินผิงอัน ขอให้เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าฉีจิ้งชุน!”
บุรุษก้าวยาวๆ ลงจากขั้นบันไดของสะพานแบบคาน ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัดเป็นวงกว้างราวกับด้านในบรรจุช่วงเวลาเยาว์วัยของฉีจิ้งชุนเอาไว้
วิญญาณกระบี่ถูกขัดจังหวะความคิดด้วยประโยคคำถามของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มถามอย่างระมัดระวัง “ในเมื่อเป็นอาจารย์ของอาจารย์ฉี ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องสู้กับเขาได้ไหม?”
วิญญาณกระบี่ปล่อยใบบัวสีหิมะที่อยู่ในมือ มันลอยขึ้นไปกลางอากาศสูงก่อน จากนั้นก็พลันขยายใหญ่ในเสี้ยววินาที มากพอจะบดบังม่านฟ้ากว้างใหญ่ในรัศมีสิบลี้
นางส่ายหน้า “เพื่ออาจารย์ฉี ครั้งนี้เจ้าจำเป็นต้องสู้”
เฉินผิงอันเกาหัว “แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ในเมื่อเกี่ยวข้องกับอาจารย์ฉี อีกทั้งท่านยังพูดแบบนี้ ข้าเชื่อท่าน…”
เด็กหนุ่มหยุดชะงักไปครู่ ดวงตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวจ้องนิ่งไปยังสตรีร่างสูงใหญ่ ยิ้มกว้างพูดว่า “สู้ก็สู้!”
นางยิ้มอย่างรู้ใจ ย้ายสายตามองไปยังตาเฒ่าที่ยังพยายามถ่วงเวลา เพื่อแกะปมเชือกที่มัดตำราม้วนเล่มนั้นไว้ต้องใช้เวลานานเป็นครึ่งๆ วัน ตอนนี้ก็ยังพึมพำอะไรไม่เลิก
“ในอดีตข้ารู้จักแต่รวบรวมความรู้อยู่ในห้องหนังสือ พลาดอะไรไปมากมาย หลังเดินออกมาจากป่ากงเต๋อก็อยากจะลองใช้ชีวิตอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยกล้าจินตนาการถึง ยกตัวอย่างเช่นดื่มสุราให้เต็มคราบ ทะเลาะกับคนหยาบคาย กินอาหารรสเผ็ดจัดจ้าน ถอดเสื้อว่ายน้ำ ตลอดทางที่ผ่านมาเดินผ่านสถานที่มากมาย ได้เห็นเทือกเขาแม่น้ำที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง…”
นางเอ่ยหยอกล้อ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ยังไม่จบอีกหรือ มีดพาดอยู่ตรงคอ อืม ต้องเป็นกระบี่สิ เจ้าถ่วงเวลาไปก็ไร้ความหมาย”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็รอให้พวกเจ้าสองคนเปลี่ยนใจอยู่ไม่ใช่หรือไง”
นางหรี่ตาแค่นเสียงเย็น “ตาเฒ่า อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก!”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะเฮอๆ “ตาเฒ่า?”
รอยยิ้มของนางยิ่งอ่อนโยน “ข้าจำไว้แล้ว”
ผู้เฒ่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วจึงกล่าวว่า “สู้ก็สู้สิ ใครกลัวกันล่ะ นึกว่าข้าสู้คนไม่เก่งหรือไง ที่ไม่เก่งก็เพราะเทียบกับความสามารถในการทะเลาะกับคนอื่นของข้าหรอก”
ในที่สุดผู้เฒ่าก็แกะปมเชือกได้สำเร็จ เขาสลัดข้อมือ ม้วนภาพนั้นก็สะบัดดังพรึ่บพร้อมกับคลี่ขยายลงไปยังพื้นเบื้องล่าง มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าจับปลายด้านหนึ่งไว้ ม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำนี้ยาวจริงๆ เพียงชั่วพริบตาก็ปูแผ่ไปทั่วบริเวณโดยรอบของบ่อน้ำ เฉินผิงอันยากจะขยับเท้าหนี แต่ถูกสตรีร่างสูงใหญ่กดไหล่เอาไว้ไม่ให้เขาขยับตัว
หลี่เป่าผิงผู้ใจกล้าถือโอกาสนั่งยองลงบนพื้นเพื่อดูอย่างละเอียดเสียเลย แถมยังไม่ลืมชี้นิ้วจิ้มตรงโน้นทีตรงนี้ที
ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉานที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าเวลานี้ก็ช่วยหอบห่อสัมภาระของซิ่วไฉเฒ่าขึ้นมา
ผู้เฒ่าตวาดเบาๆ “เก็บ!”
ยังคงอยู่ตรงบ่อน้ำโบราณ หลี่เป่าผิงที่นั่งยองพินิจภาพภูเขาแม่น้ำพลันสะดุ้งตื่น ม้วนภาพที่ปูแผ่อยู่บนพื้นหายไปแล้ว
อีกทั้งอาจารย์อาน้อยกับพี่หญิงพี่สาวที่นิสัยไม่ค่อยดีคนนั้น รวมไปถึงผู้เฒ่าที่เป็นอาจารย์ของอาจารย์ซึ่งนางควรเรียกว่าอาจารย์ปู่ก็หายไปด้วย
นางเงยหน้ามองไป ภาพวาดที่กลับมาเป็นม้วนเหมือนเดิมลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
เด็กหนุ่มชุยฉานไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เขายังคงยืนถือห่อสัมภาระอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่ายด้วยสีหน้าที่เรียกว่าเจ็บแค้นแทบขาดใจ
นางพลันลุกขึ้นยืน ชูตราประทับชิ้นนั้นขึ้นสูง ตะโกนถามเสียงดัง “เจ้าคนแซ่ชุย อาจารย์อาน้อยของข้าล่ะ?! ถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะตบเจ้าด้วยไอ้นี่! เวลาข้าลงมือไม่เคยรู้หนักเบา หากไม่ระวังตบเจ้าตายไปก็ไม่รับผิดชอบด้วยหรอกนะ!”
ชุยฉานมองแม่นางน้อยด้วยสีหน้าเฉยชา พยักหน้ารับ “งั้นเจ้าก็ตบข้าให้ตายไปเลยสิ”
ท้าทายใช่ไหม?
ผู้หญิงชุดขาวก็ช่างเถอะ แต่เจ้าคนเลวก็เอากับเขาด้วย?
หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึง จากนั้นก็โมโหหนัก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เริ่มชักขาวิ่ง หลังจากอ้อมผ่านม้วนภาพมาแล้ว นางที่ตัวเตี้ยกว่าเด็กหนุ่มชุดขาวพลันกระโดดขึ้นอย่างปราดเปรียว ตราประทับในมือกระแทกลงบนหน้าผากของชุยฉานดังเพี๊ยะ
สีหน้าของเด็กหนุ่มชุยฉานเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สายตาเลื่อนลอย ยื่นมือไปลูบคลำหน้าผากที่แดงและบวมมากกว่าเดิม เขาพลันโยนห่อสัมภาระทิ้ง นั่งยองยกมือกุมหัวร้องตะโกนดัง “ไม่ต้องมีชีวิตอยู่มันแล้ว ไม่ว่าใครก็รังแกข้าผู้อาวุโสได้!”
แม่นางน้อยรู้สึกผิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ย้ายมือที่ถือตราประทับไปไว้ด้านหลัง แอบซ่อนเครื่องมือก่อคดีไว้เงียบๆ จากนั้นจึงเริ่มศึกษาม้วนภาพวาด หวังว่าจะสามารถพาอาจารย์อาน้อยออกมาได้
……
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน คล้ายคลึงกับ “ใต้น้ำ” ที่วิญญาณกระบี่ดึงเขาเข้าไปในครั้งแรก รอบด้านมีแต่ความว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้จึงขับดันให้ “วัตถุที่จับต้องได้จริง” บางอย่างยิ่งดูเหมือน “ของจริง” ยกตัวอย่างเช่นเบื้องหน้าห่างออกไปไกลมีกำแพงสูงทอดตัวอยู่ ไม่ว่าเฉินผิงอันจะยืดคอยาวแค่ไหนก็ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดของกำแพง
สตรีชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขายื่นมือมาจับเส้นผมสีดำสนิทที่ถูกมัดรวบไว้ด้วยผ้าไหมสีทอง เอ่ยยิ้มๆ “ที่นี่เป็นทั้งในม้วนภาพแม่น้ำและภูเขา แล้วก็เป็นในจิตสำนึกของเหวินเซิ่งด้วย หากจะให้พูดก็ค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวาย เจ้ารู้แค่ว่าเมื่อออกกระบี่ที่นี่ ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใด และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ข้ายอมรับปากตาเฒ่า หาไม่คงเปิดฉากต่อสู้ตั้งแต่ตอนอยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำไปแล้ว”
มืออีกข้างหนึ่งของนางพลันกดลงบนไหล่ของเฉินผิงอัน “อยู่ตรงนี้ใกล้เกินไป เจ้าเลยมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ข้าจะพาเจ้าขยับถอยไปหน่อย ถอยไปสักแปดร้อยลี้ก่อนก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าร่างทั้งร่างเหมือนถูกพายุหอบเอาไป ไม่รู้ว่าถอยหลังไปไกลแค่ไหน สุดท้ายพอยืนได้มั่นคง เด็กหนุ่มไม่มีเวลาสนใจความไม่สบายตัวและช่องโพรงลมปราณที่กำลังเดือดพล่าน เขาอ้าปากค้าง มอง “ภูเขาลูกนั้น” ภูเขาลูกหนึ่งที่มองจากระยะไกลถึงแปดร้อยลี้ก็ยังใหญ่มหึมาได้ถึงขนาดนี้?
เมื่อเทียบกับมันแล้ว ภูเขาพีอวิ๋นที่บ้านเกิดน่าจะเหมือนเนินดินเล็กๆ เลยกระมัง?
สตรีร่างสูงใหญ่สีหน้าเคร่งเครียด “ยังมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือเมื่อเหวินเซิ่งรับปากว่าจะตีกันที่นี่ก็สามารถมอบสิทธิพิเศษให้เจ้าเพิ่มเติมได้เล็กน้อย”
เฉินผิงอันตื่นตะลึงจนไม่อาจจะตะลึงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เขารู้สึกปากคอแห้งผาก “อะไรหรือ?”
นางจ้องมองดวงตาทั้งคู่ของเด็กหนุ่ม “เมื่ออยู่ที่นี่ เวลาที่เจ้าออกกระบี่ จะมีตบะเหมือนกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น แต่กลับเป็นภาพมายาที่เหมือนจริงมากที่สุด ข้าหวังว่าเมื่อถึงช่วงเวลานั้น เจ้าจะรับสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นอย่างละเอียด สำหรับการฝึกตนในอนาคตแล้ว การทำเช่นนี้…ไม่มีประโยชน์กับเจ้า”
นางพูดเองตลกเอง ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ไหว “เอาล่ะ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้เรื่องหนึ่ง อย่าเอาแต่ฝึกวิชาหมัดอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าเอาแต่คิดว่าฝึกหมัดก็เพื่อให้มีชีวิตรอด แบบนั้นมันไม่ได้เรื่องเกินไป จะมีปณิธานแค่นี้ได้อย่างไร? เจ้าลองคิดดูสิ เจ้าคือใคร?”
เฉินผิงอันตอบซื่อๆ “เฉินผิงอัน?”
ตอบไม่ตรงคำถามก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ประเด็นสำคัญคือถ้าเจ้าไม่ใช่เฉินผิงอันแล้วยังจะเป็นคนอื่นได้อีกหรือ?
นางโน้มตัวลงลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “นอกจากเป็นเฉินผิงอันแล้ว ยังเป็นเจ้านายของข้าด้วย”
เด็กหนุ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
บนยอดเขามีผู้เฒ่ากำลังกระฟัดกระเฟียด “ดีนักนะ ก่อนหน้านี้รีบจะเป็นจะตาย ตอนนี้ไม่รีบแล้วรึ?”
วิญญาณกระบี่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชี้ไปยังภูเขาลูกนั้น “นั่นคือภูเขาสูงของห้าขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
สายตาของนางที่มองไกลไปยังภูเขาลูกนั้นฉายประกายร้อนแรง “ถ้าอย่างนั้นหากมีภูเขาขวางมหามรรคาของเจ้า เจ้าควรจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบเบาๆ “ปีนข้ามไป”
มุมปากของนางตวัดโค้งขึ้น ไม่ได้โมโห ยังถามต่อว่า “แต่ถ้าในมือเจ้ามีกระบี่อยู่ล่ะ?”
เฉินผิงอันนึกถึงภาพที่ตนถือมีดผ่าฟืนบุกเบิกเส้นทางแล้วถามกลับ “เปิดภูเขาเพื่อเดินไป?”
นางหัวเราะเสียงดัง “ใช่!”
สตรีสูงใหญ่ก้าวเดินไปข้างหน้า มายืนอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน นางประกบนิ้วเข้าด้วยกัน ตวัดไปเบื้องหน้าฝั่งซ้ายแล้วลากปาดมาทางขวาช้าๆ
แสงจุดหนึ่งที่เล็กมากๆ พลันระเบิดจากตำแหน่งที่อยู่ฝั่งซ้ายสุด
ประหนึ่งดวงตะวันที่ลอยอยู่กลางนภา
จากนั้นก็ขยายไปทางขวา
ทุกครั้งที่แสงเจิดจ้าพร่าตาปริขยายหนึ่งชุ่น เงาร่างของสตรีสูงใหญ่ก็จะหม่นแสงลงไปหนึ่งส่วน
สุดท้ายเฉินผิงอันมองเห็นว่าด้านหน้ามีกระบี่ไร้ฝักเล่มหนึ่งลอยหนึ่งอยู่ ราวกับว่ารอให้คนมากุมมันไว้ในมือนานนับพันนับหมื่นปีแล้ว
เส้นแสงสลายหายไปหมด
เด็กหนุ่มเดินไปข้างหน้าช้าๆ ยื่นมือคว้าที่ด้ามกระบี่
วินาทีนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่กุมกระบี่ยาวรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินพลิกกลับ ช่องลมปราณทั้งหมดในร่างพากันสั่นสะเทือน กระแสลมรอบกายปั่นป่วนพัดแรงจนเด็กหนุ่มแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
เฉินผิงอันจึงหลับตาลง พูดด้วยใจที่ตรงกันว่า “ออกเดินทางร่วมกัน!”
กระบี่เล่มยาวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง
ประหนึ่งเสียงร้องก้องที่จักจั่นฤดูใบไม้ร่วงบนยอดไม้สูงสุดเปล่งใส่ฟ้าดิน!
—–