นางยื่นมือไปยังท้องฟ้า กลางฝ่ามือก็มีใบบัวสีขาวหิมะตั้งตระหง่านปรากฏขึ้นมา “เพราะซิ่วไฉยากจนเป็นต้นเหตุ บวกกับที่กระบี่นั้นของเจ้าไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป ใบบัวจึงไม่อาจประคับประคองได้นานนัก และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ข้ารีบร้อนกลับไป อีกอย่างก็คือซิ่วไฉรับปากข้าว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับนายท่านด้วยเรื่องของชุยฉาน เขาจะเดินทางไปหาสกุลเฉินอิ่งอินเพื่ออธิบายเหตุผลให้พวกเขาฟังก่อนแล้วค่อยเดินทางไปยังตะวันตก ดังนั้นหลังจากนี้ก็ทำเหมือนที่เขาบอกไว้ นั่นคือพาเด็กกลุ่มนั้นไปขอศึกษาต่อให้สบายใจ มีคนเลวอย่างชุยฉานและอวี๋ลู่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกคอยคุ้มครองอยู่ข้างกาย ข้าเชื่อว่าต่อให้นายท่านไม่มีปราณกระบี่แล้ว ต่อให้พบเจออุปสรรคก็ยังเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้”
ระหว่างคิ้วของนางมีแววกลัดกลุ้มวนเวียน “แต่พอไปถึงสำนักศึกษาของต้าสุยแล้ว ระยะเวลาหกสิบปีหลังจากนั้น ข้าจำเป็นต้องถูกกักตัวอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่อาจออกไปได้ง่ายๆ หาไม่แล้วทุกสิ่งที่ทำมาอาจจะเสียเปล่า เจ้าต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตาย แล้วก็ต้องรับประกันว่าขอบเขตจะเพิ่มพูนขึ้น อาจจะเป็นปัญหาสักหน่อย”
เฉินผิงอันกล่าว “อาเหลียงเคยพูดถึงโดยบังเอิญว่า ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกลมปราณ เมื่อถึงขอบเขตที่สามก็สามารถทดลองเดินทางในแคว้นหนึ่งเพียงลำพังได้ ขอแค่ตัวเองไม่รนหาที่ตายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากเป็นขอบเขตที่ห้าก็ท่องเที่ยวได้ครึ่งทวีป แต่เงื่อนไขก็คือห้ามเข้าร่วมเรื่องครึกครื้นส่งเดช ไม่ควรเดินทางไปยังสถานที่อันตรายที่มีชื่อเสียง อีกอย่างก็คือห้ามเลือดร้อนบุ่มบ่าม ไม่ว่าพบเจอเรื่องอะไรก็รู้สึกว่าสามารถผดุงความยุติธรรม หรือไม่ก็สังหารปีศาจกำจัดมาร เพียงเท่านี้ก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยแล้ว หากเจอกับหายนะที่บินเข้าหาแล้วต้องตายสถานเดียว นั่นก็ได้แต่โทษว่าโชคไม่ดี ชะตาที่เฮงซวยเช่นนี้ต่อให้อยู่บ้านก็ไม่อาจมีชีวิตที่สงบสุขได้ ดังนั้นไม่ว่าจะออกนอกบ้านหรือไม่ ผลลัพธ์ก็คงพอๆ กัน”
นางพยักหน้ารับอย่างปลาบปลื้ม “เจ้าคิดได้อย่างนี้ย่อมดีที่สุด แล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ หากวิตกกังวลไปเสียทุกเรื่อง เจออะไรก็กลัวจนหัวหด ชั่วชีวิตก็อย่าหวังจะฝึกตนจนประสบผลสำเร็จเลย”
นางพลันหรี่ตาเอ่ยถามอย่างมีเลศนัย “ทำไมมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่ข้าใกล้จะจากไปแล้ว เจ้าก็ยังไม่ถามข้าว่าจะช่วยต่อชีวิตให้เจ้า ช่วยขจัดภัยร้ายที่ตามมาภายหลังได้อย่างไร? ในเมื่อพวกเรามีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกันแล้ว เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทำไมข้าไม่ช่วยเจ้าซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะ ให้เจ้าได้เดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนได้อย่างราบรื่น? นี่ก็สมเหตุสมผล ไม่ใช่ขอเรียกร้องที่เกินไปไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันตอบตามตรง “เมื่อคืนก่อนนอนข้าก็คิดว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วจะถามคำถามนี้ แต่ตอนหลังกลับอดกลั้นเอาไว้”
วิญญาณกระบี่ถาม “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่ว่าข้าเกรงใจที่จะเปิดปาก สำหรับเรื่องใหญ่อย่างการมีชีวิตอยู่ต่อนี้ ต่อให้ข้าจะหน้าบางแค่ไหนก็ไม่รู้สึกลำบากใจ แต่ข้าเชื่อใจหยางเหล่าโถวมาโดยตลอด เขาก็คืออาจารย์ของข้าครึ่งตัวตอนที่ข้ายังเผาเครื่องปั้น ข้าเชื่อในคำพูดประโยคหนึ่งที่เขาเคยเอ่ย…”
วิญญาณกระบี่ตัดบทคำพูดของเด็กหนุ่ม พยักหน้ารับ “ข้ารู้ ท่ามกลางภาพที่สะท้อนออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาหนึ่งกอบมือนั้น ข้าสามารถมองเห็นและได้ยิน เป็นประโยคที่น่าสนใจอย่างมาก”
แต่แล้วจู่ๆ นางก็หงุดหงิด ถือร่มใบบัวลุกขึ้นยืน “รู้หรือไม่ว่าทำไมในโลกมนุษย์ของพวกเจ้าถึงมีคำเรียกว่า ‘ภินทลักษณ์’ นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่ามนุษย์คนใดที่เสียโฉมก็ล้วนเป็นเรื่องของโชคชะตา ต่อให้เปลี่ยนชื่อแซ่ก็ยังคงอยู่ในกฎเกณฑ์เดิม ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไร แต่หากเกี่ยวพันกับสะพานแห่งความเป็นอมตะ การเปลี่ยนแปลงของช่องโพรงลมปราณมากมายในร่างกลับเป็นเรื่องใหญ่”
“เดิมทีการฝึกบำเพ็ญตนก็เป็นการกระทำที่ทวนกระแสอยู่แล้ว หากจะพูดไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือการละเมิดกฎสวรรค์ คำว่าพิสูจน์มรรคาของผู้ฝึกตน แท้จริงแล้วก็คือพิสูจน์ให้เห็นว่ามหามรรคาของตนสามารถทำให้มรรคาสวรรค์ก้มหัวให้ สวรรค์ต้องการให้ข้าเกิดแก่เจ็บตาย แต่ข้าจะฝึกตนจนมีร่างทองคำไร้ตำหนิ มีอายุขัยยืนยาว เสวยสุขกับอิสระเสรี ต้องการให้สวรรค์ฝืนใจยอมรับชีวิตอันเป็นอมตะของตนเอง เจ้าลองคิดดูสิว่าจะยากแค่ไหน”
“หากสามารถสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะได้อย่างง่ายดาย พวกตระกูลเซียนชนชั้นสูงบนภูเขาแค่ให้เหล่าบรรพบุรุษลงมือก็จะไม่ทำให้ลูกหลานทั้งตระกูลกลายเป็นเทพเซียนกันหมดหรอกหรือ? เพราะเดิมทีเส้นชีพจร ช่องลมปราณและระบบเลือดในร่างกายของมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดใต้หล้าอยู่แล้ว ต้องรู้ว่า ‘ฟ้าดินเล็กใหญ่ในนอกสองแห่ง’ ที่ลัทธิเต๋าสรรเสริญนั้น คำว่าฟ้าดินขนาดเล็กนี้หมายถึงเรือนกายของมนุษย์ นอกจากจะหมายความว่าเรือนกายคือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแล้ว นอกจากนี้ความหมายของสะพานแห่งความเป็นอมตะก็คือสะพานที่เชื่อมโยงฟ้าดินสองแห่งเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นเรื่องที่ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครทำได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายกลับสูงมาก มีข้อเรียกร้องสูงมากสำหรับขอบเขตของผู้ที่ต้องการซ่อมทางสร้างสะพาน อีกทั้งยังจำกัดอยู่แค่ในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณใหญ่อย่างคนจากลัทธิหยินหยาง สำนักการแพทย์ ฯลฯ เท่านั้น และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้ที่อยู่ในสำนักเหล่านี้ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหาร แต่กลับยังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง”
แม้จะเห็นว่าแววตาของเด็กหนุ่มค่อนข้างผิดหวัง แต่กลับไม่ย่อท้อ วิญญาณกระบี่จึงวางใจลงได้ จึงยิ้มหยอกเย้า “ตอนนี้ไม่ว่าจะอย่างไร ผิงอันน้อยเจ้าควรชำระล้างหล่อหลอมร่างกายเพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้ได้ก่อน ย่อมเป็นเรื่องดีแน่ หาไม่แล้ววันหน้ารอให้ข้าขัดเกลาลับกระบี่ได้แล้ว แม้แต่ยกกระบี่เจ้าก็ยังยกไม่ขึ้น แบบนั้นคงขายหน้าแย่ อย่านึกว่ายกกระบี่เป็นเรื่องที่ง่ายมากนะ ตอนที่อยู่ในภาพวาดภูเขาแม่น้ำของซิ่วไฉยากจน นั่นเป็นเพราะเขามอบ ‘ภาพลวงตา’ ของนักพรตตบะสิบให้กับเจ้า เรือนกายของนักพรตขอบเขตเก้าทั่วไปอาจจะเทียบกับผู้ที่ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าหกไม่ได้ แต่นักพรตที่ตั้งปณิธานว่าจะต้องฝ่าธรณีประตูขอบเขตสิบไปให้ได้นั้นกลับไม่มีใครที่โง่จนกล้าดูหมิ่นเรื่องการหล่อหลอมเรือนกาย ในขอบเขตขั้นนี้ คนส่วนใหญ่มักจะอาศัยความมุมานะพยายามและการขัดเกลาตัวเองอย่างไม่ย่อท้อค่อยๆ หล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณไปทีละนิด ไม่อาจปล่อยให้มีช่องโหว่หรือข้อบกพร่องได้แม้แต่น้อย จนกลายเป็นว่าพวกเขาขยันกว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเสียอีก นี่ถึงได้สร้างนักพรตขอบเขตสิบขึ้นมาบนโลก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎเกณฑ์น่าสนใจที่พวกตะพาบแก่ใต้น้ำตั้งไว้”
เฉินผิงอันจดจำคำพูดเหล่านี้ไว้ขึ้นใจ
สตรีชุดขาวยืนอยู่ในลานบ้าน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ผิงอันน้อย เจ้าต้องรอข้าหกสิบปีนะ อีกอย่างเมื่อถึงเวลานั้นอย่ากลายเป็นตาแก่ผมขาวโพลน ทำลายบรรยากาศอันดีงามเสียล่ะ ระวังข้าจะจำเจ้านายอย่างเจ้าไม่ได้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เผยอปากจะพูด
นางกลับเดินเข้ามาหาเขา ยื่นฝ่ามือออกมาทำท่าจะตีมือให้คำสัญญาแล้ว
เฉินผิงอันรีบยกมือขึ้นสูงทันใด
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วฝ่ามือของคนทั้งสองตัดผ่านกันไปกลางอากาศ
ที่แท้สตรีชุดขาวได้หายตัวไปจากที่แห่งนี้แล้ว
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปที่เดิม พลันยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเอง นึกถึงกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นขึ้นมาได้ เขาลืมถามนางและท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไปเลยว่าเด็กหญิงชุดทองที่ซ่อนตัวอยู่ในกระบี่ไม้คืออะไรกันแน่!
……
ชุยฉานกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งของโรงเตี๊ยมชิวหลู ผู้ดูแลโรงเตี๊ยม หลิวเจียฮุ่ย ฮูหยินผู้มีชื่อเสียงในบรรดาชนชั้นสูงกลับเป็นเหมือนสาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่งที่คอยสังเกตสีหน้าและการกระทำ มองประเมินราชครูต้าหลีที่เพิ่งเปิดเผยตัวตนผู้นี้อย่างระมัดระวัง
เดิมทีทำเนียบตะวันม่วงสำนักของนางก็คือหมากของแคว้นหวงถิงที่ถูกต้าหลีดึงตัวไปเป็นพวก พันธมิตรครั้งนี้ได้บรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักที่เปิดเผยหน้าตาน้อยครั้งเป็นฝ่ายพยักหน้าอนุญาตด้วยตัวเอง คนทั่วทั้งทำเนียบตะวันม่วงย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ฝ่ายนอกอย่างหลิวเจียฮุ่ยที่คิดว่าตัวเองไม่มีหวังต่อมหามรรคา ซึ่งยิ่งต้องให้ความระมัดระวังต่อสัญลักษณ์ของกลุ่มผู้มีอำนาจบนโลกอย่างราชสำนักมากเป็นพิเศษ
แม้จะบอกว่าจักรพรรดิสกุลหงของแคว้นหวงถิงทำตามกฎระเบียบที่บรรพชนตั้งไว้โดยการปฏิบัติต่อตระกูลเซียนเป็นอย่างดี เสียดายก็แต่แคว้นหวงถิงเล็กๆ แห่งนี้สามารถทำให้พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกล้ำยอมศิโรราบทั้งกายและใจได้ แต่กลับไม่สามารถทำให้กลุ่มอิทธิพลอย่างทำเนียบตะวันม่วงจงรักภักดี เพราะบ่อน้ำเล็กเกินไป เจียวและมังกรที่อยู่ใต้น้ำย่อมหวังให้ตัวเองได้มีพื้นที่ที่กว้างขวางยิ่งกว่าเดิม”
เมื่อเทียบกับศาลมังกรซุ่มที่ต้องการแค่คำว่า “ตำหนัก” แล้ว ทำเนียบตะวันม่วงกลับมีใจทะเยอทะยานมากกว่านั้น
หลิวเจียฮุ่ยไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ว่าแค่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาซึ่งมีไฝแดงกลางหว่างคิ้วมาเยือนประตูบ้านพร้อมแนะนำตัวเองแล้วนางจะเต็มใจเชื่ออีกฝ่ายทันที แต่เหตุผลนั้นมีแค่ขอเดียว นั่นก็คือการแสดงออกของชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มซึ่งเหมือนกับข้ารับใช้ยิ่งกว่านางเสียอีก
หลิวเจียฮุ่ยนึกไม่ออกว่าในแคว้นหวงถิงจะมีใครที่สามารถทำให้เทพแม่น้ำหันสือผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตยินยอมรับหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้อย่างเต็มใจ
หลังจากสอบถามสถานการณ์ภายในของทำเนียบตะวันม่วงอย่างพอเป็นพิธีแล้ว ชุยฉานก็พลันคลี่ยิ้มถามว่า “ใต้เท้าผู้พิทักษ์เมืองอย่างเว่ยหลี่นี้คือคนรักของฮูหยินกระมัง วันหน้ามีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นหินขวางทางของต้าหลี หากวันนี้ข้าให้เจ้าสังหารเขากับมือของตัวเอง ฮูหยินจะตัดใจลงมือได้หรือไม่?”
หัวสมองของหลิวเจียฮุ่ยขาวโพลน ร่างขึงเกร็ง
ชุยฉานหัวเราะร่วน “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ ข้าเป็นคนชอบทุบตีคู่ยวนยาง (บังคับให้คู่รักพรากจากกัน) งั้นหรือ”
หลิวเจียฮุ่ยช้อนตาขึ้นเล็กน้อย
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวพยักหน้าพึมพำอยู่กับตัวเอง “ใช่สิ ข้าเป็นคนแบบนี้”
หลิวเจียฮุ่ยอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก สีหน้าซีดขาว
เด็กหนุ่มโบกมือ กล่าวอย่าง ‘เข้าอกเข้าใจผู้อื่น’ ว่า “แต่จะให้เจ้าฆ่าเขาด้วยมือตัวเองก็ออกจะโหดร้ายเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ทำเนียบตะวันม่วงเป็นพันธมิตรกับต้าหลี ข้าไม่มีทางให้ฮูหยินที่ดูแลกิจการนี้อย่างระมัดระวังและมีจิตใจที่รับผิดชอบสูงต้องลำบากใจ นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีที่อยู่ด้านหลังข้าท่านนี้ไม่ค่อยสนิทกับใต้เท้าเว่ยสักเท่าไหร่ ให้เขาเป็นคนลงมือก็แล้วกัน”
หลิวเจียฮุ่ยพยายามข่มกลั้นน้ำตาที่กำลังจะทะลักออกมา ก้มหน้าต่ำ เอ่ยเสียงสั่น “ใต้เท้าราชครู หากเว่ยหลี่ต้องตายจริงๆ ข้าจะเป็นคนฆ่าเขาเอง! ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีลงมือ”
ชุยฉานถอนหายใจเหมือนเวทนา พูดกับตัวเองว่า “หากเป็นอย่างนี้หลิวฮูหยินต้องเคียดแค้นข้าและต้าหลีแน่ ไม่สู้เอาแบบนี้ หลังจากเจ้าฆ่าชายคนรักแล้ว ข้าค่อยให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีฆ่าเจ้า อย่างน้อยพวกเจ้าก็ยังเป็นคู่ยวนยางที่ตายด้วยกัน…”
สตรีแต่งงานแล้วที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลเงยหน้าขึ้น ดวงตาดอกท้อที่ดึงดูดวิญญาณคนคู่นั้นเต็มไปด้วยปราณสังหารเข้มข้นคล้ายต้องการให้อีกฝ่ายพินาศวอดวายไปด้วย
ชายชุดดำเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
คนอย่างหลิวเจียฮุ่ย ในสายตาของเขาก็เป็นแค่มดตัวเล็กที่ไม่ประมาณตนเท่านั้น
สตรีแต่งงานแล้วพลันคืนสติ ถอยกรูดไปหลายก้าว
ชุยฉานที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ใช้นิ้วคีบถ้วยชา เป่าไอร้อนที่ลอยอยู่เหนือถ้วยเบาๆ กลิ่นหอมสดชื่นลอยมาปะทะจมูก เขาจึงหลับตาลงสูดกลิ่นอย่างเคลิบเคลิ้ม จากนั้นจึงลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองสตรีแต่งงานแล้วที่ความคิดในใจยังคงตีกันวุ่นวาย ชุยฉานพลันคลี่ยิ้ม จุ๊ปากพูด “สรรพชีวิตล้วนทนทุกข์ทรมาน คนมีรักนั้นล้ำค่าที่สุด เห็นแก่ชาดีถ้วยนี้ ข้าจะปล่อยเว่ยหลี่ไป พูดจริง ไม่หลอกเจ้า”
ร่างของสตรีแต่งงานแล้วอ่อนยวบ เกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น หลังจากปลุกความกล้าที่เหลืออยู่เสี้ยวสุดท้ายขึ้นมาได้ก็ถามขึ้นอย่างขลาดกลัว “ใต้เท้าราชครูไม่หลอกบ่าวจริงหรือ?”
ชุยฉานหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “หลอกเจ้าจะมีความหมายอะไรล่ะ?”
หลิวเจียฮุ่ยไม่กล้าเชื่อว่าอีกฝ่ายพูดจริง สตรีที่เดิมทีฉลาดเฉลียวอย่างถึงที่สุดกลับสติหลุดขวัญหาย
ชุยฉานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว จำไว้ว่าวันหน้าจับตามองเว่ยหลี่ให้ดี อย่าให้เขาทำเรื่องโง่ๆ ที่เยียวยาไม่ได้อะไรอีก ในอนาคตเจ้าจะได้เป็นฮูหยินตราตั้งของต้าหลีหรือไม่ เว่ยหลี่จะเจริญก้าวหน้าในวงการขุนนางต้าหลีหรือไม่ ล้วนอยู่ที่ความสามารถของเจ้าหลิวเจียฮุ่ยแล้ว”
กล่าวอย่างนี้ หลิวเจียฮุ่ยก็ฟังเข้าใจแล้ว แต่หากให้คาดเดาจินตนาการบรรเจิดของราชครูต้าหลี นางก็คงตามไม่ทันจริงๆ บัดนี้ความรู้สึกหวาดกลัวแทรกซอนซึมลึกไปยันกระดูกของนางแล้ว
ไม่เพียงแต่หวาดกลัวเด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนอ่อนแอ แต่จิตใจซับซ้อนเกินจะคาดเดาเท่านั้น ยังหวาดกลัวราชครูต้าหลีที่อยู่ใต้คนหนึ่งคน อยู่เหนือคนนับหมื่นที่นำพากองทัพต้าหลีให้บุกตะลุยทุกที่ที่ก้าวผ่านราบเป็นหน้ากลอง
พอคิดถึงท่าทางเป็นมิตรอ่อนโยนในครั้งแรกที่พบเจอกัน สตรีแต่งงานแล้วก็รู้สึกเพียงว่านั่นคือเรื่องชวนหัวใหญ่เทียมฟ้า แถมตนยังเก็บเงินสองพันตำลึงเงินของเขามาอย่างสบายใจ
เกรงว่านั่นคงเป็นเงินที่ร้อนลวกมือที่สุดในใต้หล้าแล้ว
—–