ซิ่วไฉเฒ่ายืนอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่งเหนือยอดเขา ลมภูเขาพัดโชยให้ชายแขนเสื้อสองข้างของเขาปลิวสะบัดดังฟึ่บฟั่บ
ผู้เฒ่าผมขาวที่ยืนรับลมอยู่บนยอดเขาสูงเวลานี้ ไหนเลยจะยังเหลือกลิ่นอายของความยากจนข้นแค้นอยู่อีก?
ซิ่วไฉเฒ่ามองเห็นว่าจุดที่ห่างไปไกลแปดร้อยลี้พลันมีแสงสว่างเล็กๆ จุดหนึ่งเปล่งวาบขึ้นมา ต่อให้อยู่ไกลขนาดนี้ จุดแสงนั้นก็ยังคงทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกแสบตาเล็กน้อย ผู้เฒ่าจึงพยักหน้าเบาๆ “เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ แม้ว่าคมกระบี่จะทื่อกว่าในคำเล่าลืออยู่มาก แต่กำลังฮึกเหิมห้าวหาญที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในกลับไม่ลดทอนลงไปมากนัก ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ เวลายาวนานนับหมื่นปี สรรพสิ่งแปรผัน มหาสมุทรเปลี่ยนเป็นผืนนา ยังสามารถรักษาจิงชี่เสินไว้ได้ในปริมาณเท่านี้ แต่ว่า…”
เพียงไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าจะอาศัยภูเขาลูกนี้ ทำให้พวกเจ้าที่รู้ถึงความยากลำบากถอยร่นกลับไป จะอย่างไรซะเรื่องการต่อยตีกันนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง มันทำลายความปรองดองนี่นะ”
ชื่อเสียงของภูเขาในนิมิตบนผืนภาพใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่าลูกนี้โด่งดังจนไม่อาจจะโด่งดังไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดของเก้าทวีปใหญ่มีเทือกเขาใหญ่นามว่าสุ้ยซาน ยิ่งใหญ่ไพศาล เรียกได้ว่าผงาดเหนือผืนดินสูงใหญ่เทียมฟ้า บนยอดเขามีป้ายศิลาที่สลักด้วยมือของปรมาจารย์มหาปราชญ์ว่า “จ้าวแห่งใต้หล้า” หน้าผามีฝีมือแกะสลักของหลี่เซิ่งคำว่า “บรรพบุรุษแห่งห้าขุนเขา” มีถ้อยคำที่ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ว่า “วายุพัดโชย” มีสี่ตัวอักษร “เพียงข้าบู๊ตึ๊ง”ที่อริยะสำนักการทหารใช้นิ้วแกะสลัก
ลำพังเพียงแค่หินแกะสลักอักษรใช้บวงสรวงซึ่งจักรพรรดิแต่ละยุคสมัยของแต่ละทวีปส่งมายังที่แห่งนี้ก็มีมากถึงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าก้อน ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรแบบหวัดหรือแบบบรรจงก็มีหมด หน้าผาและตัวอักษรที่เต็มไปด้วยความลี้ลับเหล่านี้มีมาตั้งแต่หอขึ้นฟ้าบนยอดเขาสุ้ยซานไล่ยาวลงมาถึงกึ่งกลางภูเขา ปูชนียสถานอันเลื่องชื่อลือนามมีให้เห็นแทบทั่วทุกหนแห่ง
ซิ่วไฉเฒ่ามองไปยังแสงกระบี่ที่เปล่งประกายพร่างพราวด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่ปรากฏตัวครั้งตรงปากบ่อโบราณ เขาเคยเห็นท่าจับกระบี่ของเฉินผิงอันมาก่อน เป็นท่าทางที่แทบจะทนมองไม่ได้ ขนาดซิ่วไฉเฒ่าที่ไม่ถนัดด้านวรยุทธ์ก็ยังมองต่อไม่ไหว แต่บัดนี้เมื่อเห็นท่าจับกระบี่พาดขวางไว้ด้านหน้าตัวเองของเด็กหนุ่ม ซิ่วไฉเฒ่าก็มีเพียงความรู้สึกเดียว
มั่นคง
มือที่กุมกระบี่ของเด็กหนุ่มมั่นคงมาก ใจก็สงบนิ่ง เยือกเย็นอย่างมาก ดังนั้นปณิธานและจิตใจของเขาจึงยิ่งมั่นคง
หลังจากที่สตรีสูงใหญ่กรอกปณิธานแห่งกระบี่ทั้งหมดเข้าไปใน “กระบี่โบราณ” แล้ว นาทีถัดมานางก็มาปรากฎตัวอยู่เหนือทะเลสาบจิตใจของเด็กหนุ่มเฉินผิงอันด้วยเรือนกายที่เป็นภาพมายาล่องลอย แผ่กลิ่นอายที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเดิม ดวงตาสีทอง เท้าสีชาด เมื่อนางแตะปลายเท้าเบาๆ ลงบนผิวทะเลสาบจนเกิดเป็นริ้วคลื่นกระเพื่อม จึงเกิดเป็นเสียงที่ดังขึ้นในหัวใจของเด็กหนุ่ม
น้ำเสียงอ่อนโยนของนางดังก้องอยู่ในห้องหัวใจของเฉินผิงอัน “ไม่ต้องรีบร้อนลงมือ ปรับตัวเข้ากับความรู้สึกของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบให้ได้เสียก่อน”
“กระบวนท่าวิชากระบี่ที่เรียกกันก็มีอยู่แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น ไม่อาจเล่นสรรหาลูกไม้อะไรได้มากมาย นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างยุทธภพกับตระกูลเซียนบนภูเขาในยุคหลัง ผู้ฝึกลมปราณหลอมรวมลมปราณให้เป็นหนึ่งเดียว ปณิธานกระบี่ที่ฟูมฟักออกมาได้มีมากนับพันนับหมื่น บ้างลึกซึ้งบ้างตื้นเขิน บ้างสูงบ้างต่ำ หากคนอื่นคือบ่อน้ำธารน้ำ เจ้าคือทะเลสาบคือแม่น้ำ แน่นอนว่ามีโอกาสชนะร้อยเท่าพันเท่า”
“ปราณกระบี่สั้นยาวขึ้นอยู่กับสภาพการบุกเบิกช่องโพรงลมปราณในร่างกาย ยิ่งบุกเบิกเปิดช่องโพรงลมปราณได้มากเท่าไหร่ พลังแฝงก็ถูกขุดลงไปอย่างลึกล้ำมากเท่านั้น คนอื่นมีแค่พื้นที่มงคลระดับล่างแห่งหนึ่ง แต่เจ้ากลับได้ครอบครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลทั้งหมด ความต่างของสองฝ่ายนี้ราวฟ้ากับดิน! เส้นชีพจรเหมือนเส้นทาง ยิ่งกว้างขวางแข็งแรงมากเท่าไหร่ คนอื่นได้แค่เดินบนสะพานไม้ทางไส้แกะ แต่เจ้ากลับได้เดินบนเส้นทางกว้างใหญ่ทอดยาวสู่สวรรค์ แล้วจะเอาชนะเจ้าได้อย่างไร?”
นางกวาดตามองไปรอบด้าน พอเห็นสภาพการณ์ของจิตใจเด็กหนุ่มแล้วก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เอ่ยเบาๆ “เข้าใจหรือไม่?”
เด็กหนุ่มกำลังปรับตัวเข้ากับความรู้สึกของตบะขอบเขตสิบอย่างยากลำบาก บวกกับที่กระแสลมรอบกายซัดตลบปั่นป่วนวุ่นวายอย่างถึงที่สุด แม้แต่ดวงตาก็ยังลืมไม่ขึ้น นั่นก็ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะอ้าปากพูดเลย ยังดีที่นางบอกกับเขาว่าแค่พูดในใจก็พอ เด็กหนุ่มจึงตอบนางไปตามตรงว่า “เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร”
นางกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะเสียงดังกังวาน
เฉินผิงอันไม่เข้าใจ จึงพยายามปรับตัวเข้ากับตัวเองที่กลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบต่อไป
ความรู้สึกประหลาดเช่นนั้น เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
เหมือนคนหิวโหยที่กระเพาะส่งเสียงร้องโครกคราก แล้วจู่ๆ ก็ถูกอัดแน่นด้วยเนื้อชิ้นใหญ่ ไม่เหลือช่องว่างไว้แม้แต่เสี้ยวเดียว ช่องโพรงลมปราณทั้งหมดถูกอัดจนพองแน่น
ลมปราณพลังต้นกำเนิดที่เดิมทีเป็นคล้ายมังกรไฟที่ว่ายวนพลันเปลี่ยนจากขนาดเท่าเส้นด้ายมาเป็นขนาดเท่าปลาหนีชิวอย่างน่าเหลือเชื่อ มันแหวกว่ายส่ายสะบัดไปทั่วเส้นชีพจรในร่างกาย พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค อีกทั้งยังคอยห่อหุ้มเอาลมปราณจากในช่องโพรงลมปราณต่างๆ ที่ผ่านระหว่างทาง เหมือนลูกหิมะที่กลิ้งไถลลื่น ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าหากไม่กลายเป็นเจียวหลงที่แท้จริงจะไม่ยอมเลิกราอย่างไรอย่างนั้น
ในร่างใสสะอาดดุจกระจก เส้นชีพจรในร่างแผ่ขยายดุจกิ่งทองใบหยก
ลมปราณที่แท้จริงไร้สิ่งเจือปน กลับคืนสู่สภาวะธรรมชาติดั้งเดิม อายุขัยยืนยาว
วิธีการแต่ละอย่างที่หลินโส่วอีเคยพูดถึงผุดขึ้นมาในใจของเฉินผิงอันตามลำดับ
เหนือทะเลสาบหัวใจ เสียงของนางเอ่ยขึ้นว่า “ยังขาดความน่าสนใจอีกเล็กน้อย จะอย่างไรซะผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป”
จากนั้นนางเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล ทะลุผ่านจิตใจห้องโอสถของเฉินผิงอัน มองตรงไปยังหินยักษ์ที่อยู่บนยอดเขาลูกนั้นแล้วถามยิ้มๆ “เจ้าว่าอย่างไร? หาไม่แล้วเจ้าทำหน้าหนาย้ายภูเขาสุ้ยซานลูกนี้มาต้านรับศัตรู หากชนะก็คงไม่สมเกียรติเท่าไหร่”
“แค่ให้พวกเจ้ายอมศิโรราบทั้งกายและใจก็พอ”
ซิ่วไฉเฒ่ารับรู้เสียงจากจิตนั้นก็พลันหัวเราะเสียงดังก้อง ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถอนสายตากลับมา ไล่มองขึ้นไปยังภูเขาทั้งลูก สุดท้ายจ้องนิ่งไปบนหน้าผาแห่งหนึ่งที่ด้านบนมี “แบบตัวอักษร” ประหลาดที่เซียนกระบี่บรรพกาลใช้ปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นเขียนเอาไว้ นั่นก็คือ “แบบกระบี่บิน” ที่ดึงดูดให้ผู้ฝึกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาเยี่ยมชม ถึงขั้นที่ว่าลงทุนสร้างกระท่อมหยาบๆ ไว้เบื้องล่างหน้าผาเพื่อทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่จากแบบอักษรนี้ด้วย
“เอาไปได้เลย เอาไปได้มากน้อยเท่าไหร่ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า ตอนนั้นเจ้าเด็กจั่วก็เหมือนเจ้า ยัไม่ได้เรียนวิชากระบี่อย่างเป็นทางการ แต่เดินขึ้นเขามาชมอักษรตัวนี้โดยบังเอิญ พอมองก็เอาไปได้ถึงหกตัวอักษร พรสวรรค์ในการฝึกกระบี่เป็นเช่นใดก็เห็นได้ในทันที ท่ามกลางบรรดาผู้ฝึกกระบี่ย่อมมีอัจฉริยะที่โดดเด่น แต่อัจฉริยะก็มีแบ่งเล็กใหญ่ ห้าตัวอักษรย่อมกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาได้แน่นอน เฉินผิงอัน ยังต้องดูด้วยว่าฐานกระดูกของเจ้าเป็นอย่างไร!”
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ตัวอักษรโบราณเรียบง่ายขนาดใหญ่เจ็ดตัวที่อยู่บนหน้าผาหินก็บินออกมา พุ่งฉิวเข้าหาเฉินผิงอันที่ห่างไปไกลแปดร้อยลี้ พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างกายเขาแล้วกลายมาเป็นตัวอักษรโบราณขนาดเท่าฝ่ามือ ส่องแสงสีทองเจิดจ้าเปล่งรัศมีเรืองรอง อักษรแต่ละตัวหมุนติ้วล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน
เห็นเพียงว่าเมื่อถึงท้ายที่สุดไม่มีอักษรสักตัวยอมเข้าใกล้เฉินผิงอัน ยิ่งนานก็ยิ่งทิ้งระยะห่างออกมา และในที่สุดก็หันหัวกลับพุ่งไปยังทิศเดิมที่จากมา
ซิ่วไฉเฒ่าที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ทั้งประดักประเดิดทั้งละอายใจ พึมพำเบาๆ ว่า “จะแสดงฝีมือกลับปล่อยไก่เสียแล้ว ผิงอันน้อย ขอโทษนะ ข้าไม่นึกว่าตัวอักษรพวกนี้จะไม่เห็นหน้ากันขนาดนี้…”
สตรีที่ยืนเหยียบอยู่บนทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันแค่นเสียงเย็น
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มแห้งประจบ “รับมือยาก รับมือยากจริงๆ แบบนี้ควรจะทำอย่างไรดี? ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวข้าเปลี่ยนมาใช้วิธีประหยัดแรงกายแรงใจก็แล้วกัน ไม่ยากสำหรับข้าหรอก ข้าสนิมสนมกับเทพภูเขาเขาสุ้ยซานดี เขามีทรัพย์สินอะไร ข้ารู้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็…”
“อักษรเจ็ดตัวนั้นไม่ยอมรับข้า ข้าไม่แปลกใจ”
และเวลานี้เองเฉินผิงอันก็หรี่ตาขึ้นให้เป็นเสี้ยวเล็กๆ ไม่ใช้จิตสื่อสารกับสตรีร่างสูงใหญ่อีกต่อไป แต่พูดออกมาตามตรง “และอันที่จริงแล้วข้าเองก็ไม่ได้ต้องการพวกมัน จริงๆ นะ!”
หัวใจนางสั่นสะท้าน
เด็กหนุ่มเพิ่มแรงมือที่ถือจับกระบี่เล่มยาว เอ่ยเนิบช้า “ตอนที่ข้าฝึกวิชาหมัดมักจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งมาโดยตลอดว่า หากฝึกถึงท้ายที่สุดแล้ว การออกหมัดของข้าจะเร็วมาก ถึงขั้นรู้สึกว่าจะต้องเร็วที่สุดด้วย ตอนนี้ข้ามีท่านอยู่ข้างกาย ข้าก็พอใจแล้ว ไม่ต้องการตัวอักษรอะไรทั้งนั้น กระบี่ที่ข้าจะปล่อยไปจากหนึ่งจะต้องเร็วมาก! เชื่อข้าเถอะ มันต้องเร็วมากแน่ๆ!”
สตรีพยักหน้ารับ
แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับอึ้งงัน ก่อนจุ๊ปากพูด “วิธีพูดเช่นนี้เหมือนตอนที่เสี่ยวฉียังเด็กจริงๆ”
ในดวงตาของผู้เฒ่ามีรอยยิ้ม แต่กลับจงใจแค่นเสียงเย็น “ข้าอยากจะเห็นนักว่ากระบี่นี้จะสามารถทำให้ตบะขอบเขตสิบของเจ้าปลดปล่อยพลังของขอบเขตที่สิบเอ็ดหรือขอบเขตที่สิบสอง! เฉินผิงอัน อย่าถ่วงแข้งถ่วงขา ไม่ใช่ว่าถึงเวลานั้นกลับปล่อยพลังได้แค่ขอบเขตเจ็ดเสียล่ะ มาๆๆ หากยังไม่ปล่อยกระบี่นี้ออกมา ต้นหวงฮวาคงเย็นชืดหมดแล้ว!” (เป็นการพูดเยาะเย้ยถึงคนที่มาสายหรือทำอะไรชักช้า)
หลังจากหยอกล้อเด็กหนุ่มจบ ผู้เฒ่าก็ทรุดตัวนั่งขัดสมาธิ พูดงึมงำ “สำนักกวีมีคำกล่าวว่า ‘สิบปีลับหนึ่งกระบี่ คมกระบี่แววประกาย เพียงแต่ยังไม่เคยลอง วันนี้เอามาให้ท่านดู ใครได้รับความยุติธรรมโปรดบอกกล่าว’ แต่ใต้หล้ามีเรื่องอยุติธรรมมากมายถึงเพียงนั้น ทว่ากลับมีกระบี่แค่เล่มเดียว”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกว้าง ไม่เหลืออารมณ์เศร้าตรมหม่นหมองอีกต่อไป กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “อีกอย่างคนอื่นเขาลับกระบี่สิบปี แต่กระบี่เล่มนั้นในมือเจ้าเฉินผิงอันต้องใช้เวลาเป็นหมื่นปีเลยนะ”
เฉินผิงอันกับสตรีร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงทุ้มหนักแทบจะในเวลาเดียวกัน “ไป!”
เฉินผิงอันเริ่มห้อตะบึงไปเบื้องหน้า
เด็กหนุ่มถึงกับวิ่งลากกระบี่
ซิ่วไฉเฒ่าที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตาได้แค่ส่ายหน้ายิ้ม
เด็กหนึ่งเชิดหน้าวิ่งห้อไปด้านหน้า
เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นสูง เงื้อกระบี่ฟันลงเบื้องล่าง
รอบด้านไร้สรรพสำเนียง
ไม่มีแสงกระบี่น่าตื่นตาที่สาดส่องไปทั่วฟ้าดิน ไม่มีปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานทอดยาวดุจสายรุ้ง
แต่วินาทีนั้น บนภูเขายักษ์เหนือยอดเขา ผู้เฒ่าทีเดิมทีนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้พลันเบี่ยงตัว
เหนือทะเลสาบหัวใจ ร่างของสตรีดิ่งฮวบลงไปยังก้นทะเลสาบ นางหลับตาพลางเอ่ยเนิบช้า “หนึ่งหมื่นปีแล้ว”
เวลาเดียวกันนั้นข้างบ่อน้ำโรงเตี๊ยมชิวหลู หลี่เป่าผิงที่พินิจพิเคราะห์ม้วนภาพวาดอยู่ตลอดเวลาพลันเบิกตากว้าง ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ “ทำไมจู่ๆ ม้วนภาพวาดถึงมีรอยแตกเพิ่มขึ้นมารอยหนึ่งล่ะ?”
—–