พักอยู่ในโรงเตี๊ยมชิวหลูสามวัน สุดท้ายเป็นหลินโส่วอีที่บอกว่าต่อให้อยู่ต่อก็ไม่มีความหมายเท่าไหร่แล้ว เพราะเขาไม่สามารถสูดเอาปราณวิญญาณมาได้มากกว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่นั่งเข้าฌานอยู่ในศาลานานเข้า จะต้องรู้สึกถึงความคมกริบเหมือนที่แผ่ออกมาจากอาวุธแหลมคม ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณรู้สึกรับไม่ไหว หลินโส่วอีจึงพูดล้อเล่นอย่างที่หาได้ยากว่า ให้เฉินผิงอันไปดูใต้บ่อน้ำว่ามีสมบัติอยู่หรือไม่
เฉินผิงอันพอจะเดาความจริงได้คร่าวๆ ต้องเป็นเพราะการประมือระหว่างตนกับชุยฉานครั้งนั้น ปราณกระบี่สองเส้นที่หลุดออกไปจากช่องโพรงลมปรารได้ไปทำลายโชคชะตาของที่ตั้งดั้งเดิมศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ เนื่องจากเกี่ยวพันกับวิญญาณกระบี่ เฉินผิงอันจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก ได้แต่หันไปมองชุยฉานอยู่หลายครั้งตอนก่อนออกจากโรงเตี๊ยม เดิมทีสองวันมานี้ฝ่ายหลังอารมณ์ดีมาก เวลาเดินก็เหมือนมีสายลมพัดคลอเคล้า แต่พอเห็นเฉินผิงอันหันมามองก็รีบทำตัวว่าง่ายทันใด ชุยฉานรู้สึกฉงนสนเท่ห์จึงเริ่มทบทวนตัวเองว่าเรื่องชั่วร้ายเรื่องไหนของตนที่กรรมตามมาสนอง
ตอนที่คนทั้งกลุ่มออกมาจากโรงเตี๊ยมชิวหลูก็เจอกับคนที่กำลังจะเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมพอดี ชุยฉานไม่แม้แต่จะปรายตามอง แต่เด็กอย่างพวกหลี่เป่าผิงสามคนกลับตื่นตะลึงอย่างมา ที่แท้ก็คือซือหลางเฒ่าของแคว้นหวงถิงผู้นั้น เขาพาข้ารับใช้เดินทางมาท่องเที่ยวถึงที่เมือง ตรอกนอกโรงเตี๊ยมมีรถม้าจอดอยู่สามคัน
พบเจอคนรู้จักในต่างถิ่น ซือหลางเฒ่าจากกรมพิธีการก็หัวเราะร่าด้วยความปิติยินดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าพวกเด็กๆ อย่างหลี่เป่าผิง หลี่ไหวต่างก็เปลี่ยนจากรองเท้าแตะมาสวมรองเท้าหุ้มแข้ง เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่าทางสดใสมีชีวิตชีวา ผู้เฒ่าก็ยิ่งปลาบปลื้มดีใจ ยืนยันว่าจะต้องไปส่งพวกเขาออกจากเมืองให้ได้
ในบรรดาข้ารับใช้ของซือหลางเฒ่า สตรีท่าทางสง่างามสวมใส่อาภรณ์เรียบหรูคนหนึ่ง และชายชุดดำบุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญคนหนึ่งดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากที่สุด ผู้เฒ่าแนะนำว่านั่นคือบุตรสาวคนโตและบุตรชายคนเล็กของเขา บอกว่าคนทั้งสองต่างก็เรียนหนังสือไม่เอาไหน หวังจะอาศัยบุตรชายบุตรหญิงสร้างเกียรติภูมิมีหน้ามีตาก็เรียกว่าหวังเกินตัว ได้ยินว่าบิดาตำหนิต่อหน้าคนนอก ชายชุดดำยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนสตรีที่โตเต็มตัวกลับยิ้มมองเด็กหนุ่มเด็กสาวและเด็กๆ สุดท้ายพอจ้องนิ่งไปยังอวี๋ลู่ รอยยิ้มของสตรีก็ยิ่งกดลึกคล้ายพบเจออาหารเลิศรสที่อร่อยที่สุดโดยบังเอิญ นางอดกระแอมไอไม่ได้จึงรีบเบี่ยงตัวก้มหน้า ยกชายแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปากสีแดงสดแล้วไอแห้งๆ สองที
ภาพเหตุการณ์ที่แท้จริงเบื้องหลังชายแขนเสื้อกว้างใหญ่คือ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลาย แลบลิ้นเลียมุมปาก
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่รับหน้าที่เป็นสารถียังคงยิ้มบางๆ เป็นปกติ หันหน้าไปหาชุยฉาน “คุณชาย พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่?”
ชุยฉานตอบอย่างเฉยเมย “ตอนนี้เลย”
ซือหลางเฒ่าหัวเราะร่า “ก่อนหน้านี้กระดูกแก่ๆ ของข้าเพิ่งจะโดนลมเย็นมาโดยไม่ทันระวัง ไม่อาจตากแดดตากลมได้แล้วจริงๆ ขอนั่งรถม้าคันเดียวกับคุณชายชุยก็แล้วกัน จะได้ขอความรู้เรื่องหน้าผาแกะสลักจากคุณชายชุยได้พอดี พวกเจ้าสองคนตามมาด้านหลัง หากไม่อยากเดินเท้าออกจากเมือง จะนั่งรถม้าหรือไม่ก็ตามใจพวกเจ้า”
รถม้าขับเคลื่อนออกจากตรอกเมฆคล้อยน้ำไหล ในห้องโดยสารรถม้าที่นำอยู่ด้านหน้าสุด ชุยฉานและซือหลางเฒ่านั่งตรงข้ามกัน บรรยากาศอึมครึมหนักอึ้ง
ผู้เฒ่าที่สถานะภายนอกคือซือหลางแคว้นหวงถิงกุมมือคารวะ “ครั้งนี้ข้าผู้เฒ่ามาโดยไม่ได้รับเชิญ หวังว่าใต้เท้าราชครูจะให้อภัย”
เด็กหนุ่มชุดขาวที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ดใช้นิ้วสองข้างลูบหยกประดับที่ห้อยอยู่ตรงเอว จ้องหน้าผู้เฒ่านิ่งๆ อย่างไม่มีมารยาท คำพูดคำจาก็ยิ่งล่วงเกินระคายหู “เจ้าพันทางน้อยของบ้านเจ้าสั่งให้เจ้ามาหยั่งเชิงข้ารึ? อยากจะดูว่าข้ามีความสามารถที่จะสังหารพวกเจ้าสองพ่อลูกหรือไม่?”
ผู้เฒ่าที่คืนนั้นดื่มเหล้าเมามายโดยสารเรือเดินทางไปยังทางช้างเผือกไม่มีโทสะ ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ใต้เท้าราชครู ลูกชายคนเล็กของข้ามีความสามารถไม่มาก แต่เล่ห์อุบายกลับไม่น้อย ครั้งนี้ก็เพราะทั้งกลัวทั้งดีใจ ไม่มีตบะหนักแน่นมากพอถึงได้แจ้งให้ข้าทราบ หวังว่าข้าจะช่วยเขาวางแผนว่าควรจะให้ความร่วมมือกับท่านราชครูและต้าหลีอย่างไร นี่จะเรียกว่าหยั่งเชิงได้หรือ? ใต้เท้าราชครูเข้าใจผิดแล้ว แล้วก็มองประเมินลูกชายคนเล็กของข้าสูงเกินไป”
ชุยฉานส่ายหน้า “ข้าทำอะไรไม่เคยสนว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไร ข้าสนแค่ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร รวมไปถึงผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ดังนั้นในเมื่อเจ้าพันทางน้อยผู้นั้นทำลายกฎของข้าก่อน ข้าก็ย่อมต้องมีวิธีจะสั่งสอนเขาในภายหลัง หากสัตว์เลื้อยคลานเฒ่าที่เป็นพ่ออย่างเจ้าไม่พอใจ คิดจะฉีกสัญญาทำลายพันธมิตร ไม่ไปดำรงตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่ภูเขาพีอวิ๋น ทั้งหมดนี้พวกเรามาลองคิดบัญชีกันช้าๆ ได้ แค่ดูว่าใครที่ธรรมะสูงหนึ่งคืบ ใครที่มารร้ายสูงหนึ่งศอก”
ซือหลางเฒ่าที่จำแลงร่างมาจากเจียวเฒ่าสีหน้ามืดดำ “ใต้เท้าราชครู เหตุใดต้องบีบบังคับกันถึงเพียงนี้ บุตรชายคนเล็กของข้ากระทำการเช่นนี้อาจจะเกินขอบเขตอยู่บ้าง แต่สำหรับท่านราชครูที่กุมอำนาจยิ่งใหญ่ไว้ในมือแล้ว ก็ไม่ควรจะเห็นแก่สถานการณ์ส่วนรวมเป็นสำคัญหรอกหรือ? หรือว่าแม้แต่หน้าของข้าก็ยังไม่มีค่ามากพอให้ราชครูแสดงความเมตตา ผ่อนผันอนุโลมให้บ้าง?”
“คนที่ชอบหลอกลวงคนอื่นเป็นอาจิณเช่นพวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าการหยั่งเชิงแบบนี้คือเรื่องปกติ เมื่อก่อนข้าก็เป็นเหมือนกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างไปจากเดิมแล้ว” ชุยฉานหรี่ตา “อาจารย์ของข้าเพิ่งจะสอนหลักการอย่างหนึ่งให้ บางครั้งเจ้าก็ไม่ควรเดินออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกตี”
ชุยฉานโน้มตัวไปข้างหน้า มองใบหน้าเหี่ยวย่นที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างแล้วแค่นเสียงเย้ยหยัน “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองมีคุณสมบัติให้โดยสารรถม้าคันเดียวกับข้า? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ร่างจริงของเจ้า เจียวน้อยผอมแห้งแก่ชราที่อยู่บนแท่นฝนหมึกของศาลมังกรซุ่มนั้น ตอนนี้ได้ตกมาอยู่ในมือของข้าแล้ว?”
ผู้เฒ่ายิ้มขื่น “ใต้เท้าราชครู เหตุใดต้องทำถึงขั้นนี้? ระหว่างพันธมิตรกัน ต่อให้มีข้อขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องถึงขั้นทำลายรากฐานมหามรรคาหรอกกระมัง?”
ผู้เฒ่าหุบยิ้ม สายตาฉายประกายโหดเหี้ยมเย็นชาอันเป็นสันดานดั้งเดิม “เดิมคือเรื่องงดงามที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ใต้เท้าราชครูไม่กลัวว่าปลาตายตาข่ายขาด? ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ (เปรียบเปรยว่าทุกอย่างที่ทำมาเสียเปล่า ไม่ได้อะไรเลย) หรอกหรือ?”
ชุยฉานจ้องดวงตาที่ยังไม่สลายเวทอำพรางตาคู่นั้นของผู้เฒ่าเขม็ง ถ้อยคำที่เอ่ยยิ่งเฉียบคม ทว่าจังหวะกลับเนิบช้าราบเรียบประหนึ่งแม่น้ำกว้างขวางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งซุกซ่อนพลังทั้งหมดอยู่ใต้ผิวน้ำ “เจ้าไม่คู่ควรที่จะเอ่ยหลักการของพวกเจ้าให้ข้าฟัง เจ้าต่างหากที่ต้องตั้งใจใคร่ครวญหลักการของข้าชุยฉาน เข้าใจหรือไม่? หลังจากนี้ข้าจะใช้เวทสายฟ้าบรรพกาลโจมตีมังกรเฒ่าที่นอนหลับอยู่บนแท่นฝนหมึก ซึ่งก็คือร่างจริงของเจ้า จนกระทั่งสลายตบะของเจ้าไปได้ประมาณสามร้อยปีถึงจะหยุดมือ เพราะฉะนั้นเจ้าเห็นหรือไม่ ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจเจ้าพันทางน้อยของเจ้าเลย และถึงท้ายที่สุดเจ้าก็จะพานไปโกรธเขาเองอยู่ดี”
สายตาของเจียวเฒ่าเต็มไปด้วยปราณสังหาร ตวาดกร้าวเสียงทุ้ม “ชุยฉาน! เจ้าอย่ารังแกกันมากเกินไปนัก!”
ชุยฉานหัวเราะดังลั่น “รังแกกันมากเกินไป? สัตว์เลื้อยคลานแก่ๆ อย่างเจ้าก็เป็นคนด้วยหรือ? พวกเจ้าทั้งตระกูลล้วนไม่ใช่คน ดูพฤติกรรมของเจ้า แล้วก็ไปดูสันดานลูกพันทางของเจ้าสิ ยังจะเรียกว่ามีเกียรติได้ไหม? โดยเฉพาะบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของทำเนียบตะวันม่วงข้างนอกนั่น แค่เห็นอวี๋ลู่ที่ทั่วร่างมีปราณมังกรเข้มข้นก็แทบจะเดินไม่ไหวแล้วเห็นไหม? คนอย่างครอบครัวพวกเจ้า ต่อให้ข้ากล้าประคองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงมาก แต่พวกเจ้าจะนั่งอยู่บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคงหรือไง?!”
ชุยฉานชูสองนิ้วประกบติดกันแล้วส่ายอยู่ด้านหน้าตัวเอง “พวกเจ้าใช้ไม่ได้”
ไม่รอให้เจียวเฒ่าเอ่ยคำใด ชุยฉานก็ใช้สองนิ้วชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “ออกไป เห็นเจ้าแล้วรกลูกหูลูกตา ภายในสามวัน หากข้าไม่ได้คำตอบที่พอใจ ข้าก็จะไม่ตอบอะไรกลับไปอีกแล้ว ถึงเวลานั้นเจ้าก็มาสังหารข้าได้เลย”
เจียวเฒ่าเงียบงันไปนาน ในที่สุดก็ค้อมตัวคารวะแล้วถอยออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทะเลสาบหัวใจของชุยฉานแทบจะไม่มีริ้วคลื่นใดๆ กระเพื่อมไหว และยิ่งไม่ใช่แสร้งทำเป็นแข็งนอกอ่อนใน
เมื่อรถม้าหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วขยับเคลื่อนหน้าต่ออีกครั้ง ชุยฉานหลับตาลง อารมณ์ห้าวเหิว
มุมปากของชุยฉานตวัดโค้ง พึมพำเบาๆ “สาม”
ในห้องโดยสารมีลมเย็นสายหนึ่งพัดมาอย่างไร้วี่แวว พื้นผิวอาภรณ์สีขาวแขนกว้างบนร่างเด็กหนุ่มคล้ายมีสายน้ำไหลริน
ข้างทาง หลังจากที่ผู้เฒ่าเดินลงมาจากรถม้าก็พูดคุยยิ้มแย้มกับพวกเด็กๆ สองสามคำ จากนั้นก็หยุดยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง สายตาจ้องมองคนทั้งกลุ่มเดินออกไปนอกเมือง
บุรุษชุดดำและสตรีสุภาพสง่างามเดินลงมาจากรถม้าด้านหลัง คนทั้งสองรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ผู้เฒ่าจ้องมองรถม้าคันนั้นอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดผู้เฒ่าดึงสายตากลับมาอย่างห่อเหี่ยว ไม่เพียงไม่พบเจอช่องโหว่ใดๆ กลับกันคือยังเห็นภาพเหตุการณ์น่ากลัวจนไม่อยากเชื่อสายตา
ข้ามขอบเขต!
ผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อหันหน้ากลับมามองบุตรชายบุตรสาว ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ขาดไปแค่คนเดียว ถือว่าครอบครัวอยู่เกือบครบหน้า พ่อดีใจมาก”
เห็นได้ชัดว่าสตรีที่เป็นบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของทำเนียบตะวันม่วงมีสัมผัสที่เฉียบไวยิ่งกว่า อาจเป็นเพราะอาศัยใบบุญของอักษรคำว่าทะเลสาบ สัตว์ประเภทเจียวและมังกรจึงมีเวทลับที่ใช้ลอบมองความเคลื่อนไหวของทะเลสาบหัวใจสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นติดตัวมาตั้งแต่เกิด นางตระหนักได้ว่าสภาพจิตของเจียวเฒ่าไม่ค่อยปกติ จึงทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ กลายร่างเป็นสายรุ้งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ หมายเผ่นหนีออกไปจากเมือง แต่นางกลับลืมไปว่า ความต่างระหว่างตนกับบิดา ไม่ได้ต่างแค่ช่วงวัยเท่านั้น
ไฟโทสะของผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อสูงท่วมเทียมฟ้า ไม่สนแล้วว่าเมืองแห่งนี้จะได้รับผลกระทบหรือไม่ อีกอย่างอย่าว่าแต่เมืองเล็กๆ แห่งนี้เลย ต่อให้เป็นตลอดทั้งแคว้นหวงถิงจะมีคุณสมบัติอะไรมาพูดว่าเป็นสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซุ่ม? แมวน้อยงูน้อยอาจจะมีอยู่จริง แต่ไหนเลยจะทำให้เจียวเฒ่ากริ่งเกรงได้ ตอนนี้การยกทัพบุกลงใต้ของต้าหลีเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เดิมทีเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องอำพรางตัวตนอีกต่อไป ทว่านี่ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขากับต้าหลีเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งต่อกันเสียก่อน
การที่คราวนี้เขาทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นจนเกิดปัญหาแทรกซ้อน ได้สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ราชครูชุยฉาน อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะผู้เฒ่าตื่นตระหนกมากเกินไป สภาพจิตใจมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ หลุดการควบคุมตัวเอง เมื่อเทียบกับบุตรชายคนเล็กอย่างเทพวารีแม่น้ำหันสือแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะอย่างไรซะตอนที่เขากับชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหูอยู่บนยอดเขาหน้าผาแกะสลักด้วยกันก็เคยเห็น “บ่อสายฟ้า” บ่อนั้นกับตาตัวเองมาก่อน ซิ่วไฉเฒ่าที่แค่โบกมือก็ทำให้พวกเขาหลุดออกมาจากบ่อสายฟ้า หลังจบเรื่องกลับมีตัวอักษรสีทองเป็นพรวนปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือมากกว่าเดิม
ในจดหมายลับของจวนมหาวารีที่บุรุษชุดดำส่งออกไปได้พูดถึงราชครูต้าหลีที่เป็นหนุ่มน้อย เล่าการกระทำทุกอย่างของชุยฉานให้บิดารับรู้อย่างละเอียด ยังบอกด้วยว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่เหลือขอบเขตใดๆ ตบะก็หายสิ้น อันที่จริงเทพวารีแม่น้ำหันสือไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายใดๆ แค่หวังให้บิดามาช่วยหยั่งเชิงอีกฝ่ายสักหน่อย ดูว่าจะช่วยให้จวนมหาวารีกอบโกยผลประโยชน์ได้มากกว่าเดิมหรือไม่ เพราะอย่างไรซะจวนมหาวารีก็ไม่กล้างัดข้อกับชุยฉานอยู่แล้ว อีกอย่างต่อให้ฆ่าชุยฉานแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อต้าหลียกทัพลงใต้ นั่นก็ไม่เท่ากับถึงช่วงเวลาที่จวนมหาวารีจะพินาศวอดวายหรอกหรือ?
บุรุษชุดดำถามเสียงสั่น “ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น? พี่หญิงใหญ่ทำเรื่องอะไรผิดงั้นหรือ?”
—–