ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดสีแดงมีเอกลักษณ์ยืนหรี่ตางีบหลับอยู่ตรงอาคารเหวินเจิ้งที่ตั้งอยู่กลางภูเขา
หลังจากฮ่องเต้เสด็จมาเยือนด้วยพระองค์เองในครานั้น สายลับทั้งหมดก็ถูกถอนออกไปจากภูเขาตงหัว แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสักคนก็ยังได้แต่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาตงหัวเท่านั้น ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในสำนักศึกษาง่ายๆ นี่คือความเคารพที่ต้าสุยมอบให้แก่สำนักศึกษาซานหยา หรือจะพูดอีกอย่างก็คือความเชื่อใจที่ฮ่องเต้ต้าสุยมีต่ออาจารย์ผู้เฒ่าเหมาเสี่ยวตง
ในโถงเหวินเจิ้ง ควันธูปถูกจุดขึ้นเพื่อบูชาอริยะสามท่านสายของสำนักศึกษาซานหยาแห่งนี้ ตรงกลางสุดแน่นอนว่าต้องเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ บรรพาจารย์ที่เหล่าลูกศิษย์ทุกคนของลัทธิขงจื๊อใต้หล้าเคารพเลื่อมใส ถัดมาเป็นภาพของเหวินเซิ่งที่ปกปิดตัวตน จากนั้นจึงเป็นภาพของฉีจิ้งชุนเจ้าขุนเขาคนแรก
เด็กหนุ่มชุดขาวส่งเอกสารผ่านทางที่หน้าประตูสำนักศึกษาตรงตีนเขาแล้วเดินมาตลอดทางจนถึงที่นี่ พอยื่นหน้าเข้าไปมองในห้องโถงใหญ่ก็ตัดสินใจว่าให้ตายก็จะไม่เดินเข้าไป เขาที่ยืนอยู่นอกธรณีประตูพูดอย่างขุ่นเคือง “เหมาเสี่ยวตง เจ้าคิดจะทำให้ข้าสะอิดสะเอียนหรือคิดจะทำร้ายข้ากันแน่? วันนี้เจ้าต้องพูดมาให้ชัดเจน หากข้าไม่พอใจจะปัดก้นเดินจากไปเสียเดี๋ยวนี้ และวันหน้าก็จะไม่มาภูเขาลูกนี้ให้ขวางหูขวางตาเจ้าอีก!”
เหมาเสี่ยวตงยังคงหลับตา เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “หากเจ้าไม่เข้าไปจุดธูปไหว้ก็ต้องอธิบายเรื่องราวมาให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นหากข้ามองเจ้าแค่ครั้งเดียว ข้าจะยอมเป็นหลานของเจ้าเลย”
ชุยฉานนั่งแปะลงบนธรณีประตู “ต่อให้เจ้าเต็มใจเป็นหลานข้า นั่นก็ต้องดูว่าข้าจะยอมรับหรือไม่ จุ๊ๆ ก็ไม่รู้ว่าปีนั้นใครกันที่ร้องไห้ขี้มูกยืดขอเรียนหมากล้อมกับข้า จากนั้นก็เล่นกันมาหมื่นปี สุดท้ายยังคงเป็นข้าที่ยอมต่อให้สองเม็ด แต่ก็ยังถูกข้าพิฆาตจนหน้าเขียว มือสองข้างสั่นระริก อยากจะถือตัวหมากค้างไว้ไม่วาง ถ่วงเวลาไปอีกสักร้อยปี”
เหมาเสี่ยวตงกล่าวเสียงเฉยชา “หมากล้อมเป็นเพียงแค่วิถีเล็กๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น”
ชุยฉานเสียดสี “ ‘หมากล้อมคือทักษะอย่างหนึ่ง แต่เป็นเพียงแค่ทักษะขนาดเล็กเท่านั้น’? โอ๊ะโอ ใครเล่าที่ไม่รู้ว่าในบรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งไม่เป็นโล้เป็นพายกลุ่มนั้น เจ้าเหมาเสี่ยวตงมีความรู้ห่วยแตกหละหลวม แต่ข้อดีที่สุดคือเคารพครูบาอาจารย์เชื่อฟังคำสั่งสอน ปรนนิบัติซิ่วไฉเฒ่าได้ดียิ่งกว่าปรนนิบัติบิดาแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก แต่ทำไมถึงเริ่มนับถือหลักการของอริยะลัทธิอื่นแล้วเล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งอริยะท่านนี้ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของซิ่วไฉเฒ่าด้วย ทำไม เรียนรู้วิชาหมากล้อมจากข้าเลยจะเรียนวิธีการเป็นคนจากข้าด้วยรึ?”
เหมาเสี่ยวตงที่หลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลาหัวเราะเสียงเย็น “หากข้ายังพูดหลักการบิดเบี้ยวกับเจ้าอีกครึ่งคำ ข้าจะยอมเป็นลูกชายเจ้า”
ชุยฉานกลอกตาหนึ่งรอบ “ข้ามาเยือนภูเขาตงหัวในครั้งนี้ก็เพราะไม่มีบ้านให้กลับ มาขอพักอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้เจ้าเหมาเสี่ยวตงเป็นถึงเจ้าขุนเขาผู้สูงส่ง ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งก็ผ่านไปได้แล้ว ไม่อยากเห็นหน้าข้าก็ไม่ต้องมองสิ ตาเจ้าไม่เห็นใจย่อมไม่รำคาญ ข้าเองก็มีอิสระเสรี ทุกคนต่างเปรมปรีดิ์”
เหมาเสี่ยวตงหลุดหัวเราะพรืด “ด้วยนิสัยไร้ผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้าของเจ้า เกรงว่าผ่านไปได้ไม่กี่วัน สำนักศึกษาก็คงถูกเจ้าสร้างความพินาศจนต้าสุยต้องสั่งรื้อทิ้ง หากเจ้าจะงัดข้อกับต้าสุย ข้าไม่ขัดขวาง แต่เจ้าอย่าคิดจะมาสร้างเรื่องก่อราวที่ภูเขาตงหัวแห่งนี้ สำนักศึกษาก็คือสำนักศึกษา คือสถานที่ที่อบรมความรู้ปลูกฝังคุณธรรม ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าชุยฉานมาขี้เยี่ยวแถมยังไม่เช็ดก้นได้ตามใจชอบ!”
ชุยฉานขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้รับจดหมายลับฉบับนั้นของข้าหรือไง? ฉบับที่ข้างในมีตัวหมากเม็ดหนึ่งน่ะ”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ได้รับก็จริง แต่ไม่ได้เปิดออก ต้องรีบโยนทิ้งเข้าไปในเตาไฟ จากนั้นก็วิ่งไปล้างมือ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว”
ประโยคนี้พูดได้ระคายหูมาก แต่ชุยฉานกลับไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นยืนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ ยิ้มหน้าเป็น “เสี่ยวตงเอ๋ย ที่ข้ามาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมีแผนการชั่วร้ายอะไรจริงๆ แต่มาเพื่อตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี มีเวลาว่างก็ไปนอนอาบแดด เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเจ้า แล้วก็ถือโอกาสดูแลเด็กจากต้าหลีกลุ่มนั้นด้วย”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเฮอๆ “เชื่อเจ้า? ถ้าอย่างนั้นข้าก็เป็นบรรพบุรุษของเจ้า”
คราวนี้ชุยฉานกลัดกลุ้มเล็กน้อย ชี้นิ้วไปที่จมูกตัวเอง “เป็นบรรพบุรุษของข้าแล้วยังไง? เป็นเรื่องเลวร้ายนักหรือ? เจ้าได้เปรียบตั้งเท่าไหร่?”
เหมาเสี่ยวตงกระตุกมุมปาก “หากเป็นบรรพบุรุษของเจ้าจะไม่ต้องโมโหจนแม้แต่ฝาโลงก็ปิดไว้ไม่อยู่งั้นหรือ? แน่นอนว่าข้าไม่อยากเป็น”
ชุยฉานเดือดดาล “เหมาเสี่ยวตง! เจ้าควรจะพอได้แล้วนะ!”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หลับตาส่ายหน้า “ไม่ได้”
ชุยฉานชี้หน้าเหมาเสี่ยวตง “อยากมีเรื่องหรือไง?”
เหมาเสี่ยวตงพลันลืมตา พลังอำนาจพุ่งทะยานนั่นพรั่นพรึง ประหนึ่งเทพจินกังหน้าตาดุดันที่อยู่ในวัด “มีเรื่องก็ดีน่ะสิ ก่อนหน้านี้อยู่ต้าหลี สู้เจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าจะยอมต่อให้เจ้าเลย!”
ชุยฉานกะพริบตาปริบๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นหลานข้าแล้ว หลานต่อยตีกับปู่คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง?”
เหมาเสี่ยวตงยื่นมือไปกดไม้บรรทัดที่ห้อยไว้ตรงเอว “หลังจากตีเจ้าตายแล้ว ข้าค่อยจุดธูปไหว้เจ้าก็แล้วกัน”
ชุยฉานรีบยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “หยุดก่อนๆ ซิ่วไฉเฒ่ากับฉีจิ้งชุนต่างก็ฝากคำพูดมาให้เจ้าผ่านข้า เจ้าฟังก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เหมาเสี่ยวตงหรี่ตาลง ปราณสังหารในร่างหนักอึ้งเปี่ยมล้นสุดประมาณ เมื่อเทียบกับวินาทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้วมีแต่จะทบทวี ไม่มีลดน้อยลง “ระวังจะเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของเจ้าเอง”
ริมฝีปากของชุยฉานสั่นระริก
หลังจากฟังเสียงที่ดังขึ้นในใจจบ เหมาเสี่ยวตงก็จ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีตบะแค่ขอบเขตห้า โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ของชุยฉานที่ถูกเขาจ้องนิ่งนานเป็นพิเศษ การที่ดวงตาทั้งคู่ของมนุษย์ถูกเรียกว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจก็เพราะ หากจะบอกว่าสภาพจิตใจเป็นดั่งทะเลสาบ ถ้าเช่นนั้นลูกตาดำก็เป็นดั่งตาน้ำพุในบ่อลึก เมื่อร่างกายซื่อตรงจิตวิญญาณย่อมใสltvkf เมื่อจิตใจชั่วร้าย สายตาย่อมขุ่นมัว
หากอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแห่งเก่าที่ต้าหลี แล้วเจอกับราชครูชุยฉาน เหมาเสี่ยวตงคงไม่มีทางกระทำสิ่งที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ เพราะความต่างระหว่างขอบเขตของคนทั้งสองวางไว้ให้เห็นตรงนั้น และความต่างของสองขอบเขตนั้นก็มากดุจก้อนเมฆกับก้อนโคลน ต่อให้เขามองนานแค่ไหนก็มองต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ออก ทว่าตอนนี้สถานการณ์พลิกกลับ เปลี่ยนมาเป็นเขาเหมาเสี่ยวตงที่ขอบเขตสูงกว่าจึงสามารถเหยียดตามองลงต่ำ แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์อยู่บ้าง ที่สำคัญคือพวกเขาเคยเป็นคนชาวบุ๋นของอริยะสายเดียวกันมาก่อน จึงมองกันได้ชัดเจนกว่าคนอื่นๆ
เหมาเสี่ยวตงเก็บสายตากลับคืนมาแล้วก้าวยาวๆ จากไป
ชุยฉานถามยิ้มๆ “เจ้าจะไปไหนน่ะ? ไม่คุยกันต่ออีกหน่อยหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงแค่นเสียงเย็น “รีบไปล้างตา ไม่อย่างนั้นคงระคายเคืองแย่!”
ชุยฉานใช้นิ้วมือดีดสาบเสื้อตัวเอง กล่าวอารมณ์ดี “หนังหุ้มเด็กหนุ่มร่างนี้ของข้างามล่มชาติล่มเมืองอย่างแท้จริง”
เหมาเสี่ยวตงหยุดฝีเท้า คิดจะหมุนตัวกลับไปลงไม้ลงมือตีคน เพราะอย่างไรซะผู้เฒ่าก็อยากจะอัดเจ้าตะพาบที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นี้ให้ตายมานานไม่ใช่แค่สิบยี่สิบปีแล้ว
ในชายแขนเสื้อของชุยฉานมีแสงสีทองบางเฉียบเส้นหนึ่งบินออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ขณะเดียวกันเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “เจ้าจะลงมือตีคนแล้วจริงๆ หรือ? อริยะลัทธิขงจื๊อของพวกเราใช้คุณธรรมขัดเกลาผู้คน วิญญูชนใช้เหตุผลสยบผู้คน แม้จะบอกว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงติดร่างแหเดือดร้อนเพราะสำนัก จนถึงวันนี้ก็ยังมีสถานะเป็นแค่นักปราชญ์ แต่ก็ไม่มีคำกล่าวใดบอกว่านักปราชญ์จะต้องถลกแขนเสื้อทะเลาะกับคนอื่นนะ”
เหมาเสี่ยวตงก้าวยาวๆ จากไป
ชุยฉานรีบสาวเท้าเร็วๆ ก้าวตาม มือสองข้างไพล่หลัง ท่าเดินล่องลอยดุจเทพเซียน ยังคงพูดตอแยไม่เลิก “พวกหลี่เป่าผิงที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาทำให้ในสำนักศึกษาวุ่นวายจนหมากระโดดไก่บินเลยหรือเปล่า?”
เหมาเสี่ยวตงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช่”
สีหน้าชุยฉานมืดคล้ำ “คงไม่ใช่ว่ามีคนคิดจะฆ่าไก่ให้ลิงดูหรอกกระมัง?”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเสียงเย็น “ข้ายังนึกว่าเป็นฝีมือของราชครูอย่างเจ้าที่ผลักดันอยู่อย่างลับๆ พยายามจะยุแยงให้สำนักศึกษาแตกแยกกับต้าสุย ทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีหาบันไดลงไม่ได้ จะได้ตัดขาดควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาซานหยาอย่างสิ้นเชิงเสียอีก”
ชุยฉานกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยกมือขึ้นเกาหัว พูดพลางหัวเราะแห้งๆ “ตาแก่ในเมืองหลวงทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ได้จริง แต่ข้ากลับทำไม่ได้ ข้าในตอนนี้เป็นคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำดีกับผู้อื่นตลอดเวลา เปลี่ยนจากดีเป็นเลว…เอ้ย ไม่ใช่ เป็นจากเลวเป็นดีมานานมากแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงถอนหายใจ เงยหน้ามองไปทางศาลาที่อยู่บนยอดเขาตงหัว น้ำเสียงไม่หนัก แต่กลับยืนกรานเด็ดเดี่ยว “ชุยฉาน หากเจ้ากล้าทำเรื่องที่ทำร้ายสำนักศึกษา แค่ครั้งเดียว ข้าจะลงมือสังหารเจ้าทันที”
ชุยฉานไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย “ตามใจเจ้าๆ แค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอ ไหนเจ้าลองเล่ามาก่อนสิว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ข้าอนาถกว่าเจ้ามากนัก ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ นะ ใต้หล้านี้จะมีใครน่าสมเพชมากไปกว่าข้าอีก? เสี่ยวตงหากตอนไหนเจ้าอารมณ์ไม่ดี ข้าสามารถเล่าให้เจ้าฟังได้ รับรองว่าเจ้าจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด แต่จำไว้ว่าต้องเอาเหล้ามาด้วยหลายๆ ไห ฮ่องเต้ต้าสุยไม่ใช่คนขี้เหนียว ต้องประทานเหล้าดีๆ มาให้เจ้าไม่น้อยแน่นอน”
เหมาเสี่ยวตงปรายตามองเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยสายตาประหลาด แล้วจึงส่ายหน้า เดินหน้าต่ออีกครั้งพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง
โดยเฉพาะศึกครั้งสุดท้ายในหอหนังสือที่อวี๋ลู่รับมือกับคนสองคน ผลคือทั้งสองฝ่ายต่างก็เจ็บหนัก คนทั้งสามเดินเข้าไป หนึ่งคือนักปราชญ์หนุ่มขอบเขตถ้ำสถิต หนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทร และอีกหนึ่งคือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุด แต่สุดท้ายล้วนถูกห้ามออกมากันทุกคน
คราวนี้ต่อให้เป็นรองเจ้าขุนเขาอย่างเหมาเสี่ยวตงก็ไม่อาจปิดข่าวใหญ่เทียมฟ้านี้ไว้ได้
คืนนั้นเจ้ากรมพิธีการต้าสุยที่ยังสวมชุดขุนนางกับขันทีในวังหลวงท่านหนึ่งที่สวมชุดลายงูหลามสีแดงสด บวกกับนักพรตขอบเขตสิบที่แฝงตัวอยู่ใกล้กับภูเขาตงหัวต่างก็พากันมาเยือนที่ภูเขา
เพียงแต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับคนทั้งสาม เหมาเสี่ยวตงกลับเอ่ยเพียงว่าเขาจะมอบคำอธิบายเรื่องนี้ให้กับฮ่องเต้ต้าสุยด้วยตัวเอง คนอื่นๆ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอ๋องเจ้าแคว้นหรือเจ้ากรมก็ล้วนไม่มีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือใส่สำนักศึกษา อันที่จริงคนทั้งสามไม่ได้คิดจะมาซักไซ้เอาความผิดเลยแม้แต่น้อย ทว่าเหมาเสี่ยวตงกลับยังคงไม่รับไมตรี ท่าทีแข็งกระด้างอย่างถึงที่สุด ทำให้คนทั้งสามรู้สึกเหมือนมาเจอเข้ากับตะปูตัวใหญ่เทียมฟ้า
ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนนั้นคิดจะลงมือทันที โชคดีที่ขุนนางฟ้ากรมพิธีการห้ามไว้ทัน ครั้นจึงรีบร้อนลงเขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกัน
ในกลุ่มของคนที่ลงจากภูเขามีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าและหลี่ฉางอิงสองคนเพิ่มมาด้วย ตอนนี้พวกเขาเดินเองได้แล้ว แต่สีหน้าย่ำแย่สุดขีดคล้ายคนป่วยหนักยังไม่หายดี
สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วยสถานะอะไร?”
ชุยฉานตอบอย่างไม่ลังเล “หากเจ้าได้อ่านจดหมายลับของข้าก็จะรู้ว่าสามารถเปิดเผยตัวตนของอวี๋ลู่หรือเซี่ยเซี่ยคนใดคนหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยหลิงเยว่จากสำนักบนภูเขาอันดับหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลู ถ้าเลือกนาง ข้าก็จะเผยตัวตนด้วยสถานะผู้อาวุโสในสำนักของนาง แต่หากเลือกอวี๋ลู่ ข้าก็จะเป็นหนึ่งในคนเฝ้าประตูที่แฝงตัวอยู่อย่างลับๆ ในวังหลวงของราชวงศ์สกุลหลู วางใจเถอะ ทั้งสองตัวตนนี้ข้าล้วนเตรียมตัวมาไว้นานแล้ว ไม่มีช่องโหว่ใดๆ”
เหมาเสี่ยวตงยังคงไม่วางใจ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “หน่วยสืบรายงานลับของต้าสุยไม่ได้แย่ไปกว่าต้าหลี แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าสุยเป็นมิตรที่ดีกับราชวงศ์สกุลหลูมาหลายยุคหลายสมัย…”
ประโยคเดียวของชุยฉานทำให้ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่เอ่ยอะไรอีก “ข้าคือใคร?”
ก่อนที่คนทั้งสองจะจากกัน เหมาเสี่ยวตงที่สะสมความแค้นมานานก็สบถด่าอย่างอดไม่ไหว “เจ้าเป็นใคร? เจ้าก็คือลูกชายข้าไงล่ะ!”
ชุยฉานร้องอั๊ยหนึ่งทีแล้วตะโกนเรียกอย่างชื่นบาน “พ่อ!”
เหมาเสี่ยวตงอึ้งตะลึง ก่อนจะขบฟันดังกรอดด้วยความโมโห แล้วร่างก็เปล่งแสงวูบหายวับไปโดยตรง
ชุยฉานตะโกนไล่หลัง “เด็กกลุ่มนั้นอาศัยอยู่ที่ไหน พ่อบอกข้าสักคำเถอะ!”
กลางดึกเงียบสงัด ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ชุยฉานเหลือกตามองบน “ข้าไล่เคาะถามตามบ้านไปทีละหลังก็ได้ ใครกลัวกันเล่า”
ในโถงเหวินเจิ้ง เหมาเสียวตงที่จากไปได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง เขายืนอยู่ในห้องโถง หลังจากจุดธูปสามดอกกราบไหว้รูปภาพเสร็จก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าเสียใจ “อาจารย์ ศิษย์พี่ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เข้าใจ! ข้ารู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็เทียบกับพวกท่านสองคนไม่ได้ ในเมื่อพวกท่านทำอย่างนี้ก็แสดงว่าต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง แต่…”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่กล่าวมาถึงตรงนี้ บนใบหน้าที่เหี่ยวย่นด้วยผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานก็คล้ายจะมีน้ำตาไหลริน กล่าวขมขื่น “แต่ในใจข้ารู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย”
—–