กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 170.2 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ

บทที่ 170.2 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ

ในวังหลวงต้าสุย ใต้หลุมใหญ่บนลานกว้างตำหนักอู่อิง

 

ขันทีเฒ่าลุกขึ้นยืนร่างโงนเงน มังกรและเจียวสีทองเล็กบางเก้าตัวไหลหายออกจากช่องทวาร กลับคืนสู่ค่ายกลกำแพงมังกรบนพื้นดินอีกครั้ง

 

ร่างของผู้เฒ่าอาบไปด้วยเลือดสด แต่สีหน้ากลับฮึกเหิมราวกับว่าได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากการต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะไม่มีวี่แววว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต แต่ก็เหมือนนักเล่นหมากล้อมขั้นเก้าที่อ่อนแอที่สุดได้ก้าวเดินอย่างมั่นคงจนฝีมือการเล่นเลื่อนขั้นถึงระดับแข็งแกร่งช่วงกลาง เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงไม่อาจรับมือกับชายที่อยู่เบื้องหน้าได้อยู่ดี ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่เอาปราณมังกรที่ล้ำค่าของสกุลเกาต้าสุยมาใช้ให้สิ้นเปลืองอีกต่อไปแล้ว

 

ผู้เฒ่ากลืนเลือดสดที่แล่นขึ้นมาในลำคอลงไป ยิ้มกว้างสง่างาม “ข้าแพ้แล้ว”

 

หลี่เอ้อร์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เมฆหมอกขมุกขมัว แสงอาทิตย์ฤดูหนาวที่ส่องลอดผ่านชั้นเมฆออกมาคล้ายจะบิดเบือนไปมาก นี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง

 

ผู้เฒ่ากล่าวขึ้นอีก “เจ้าก็แพ้เหมือนกัน”

 

หลี่เอ้อร์ถามยิ้มๆ “ใช้ค่ายกลกดขอบเขตข้า? กดข้าให้เหลือแค่ขอบเขตแปด?”

 

ขันทีเฒ่าตอบตามตรงไม่ปิดบัง “ใช้กำลังของทั้งเมืองล้อมจับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่แข็งแกร่งคนเดียว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ทว่าค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายอาจมหาศาลเกินไป แต่รับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดคนหนึ่งกลับง่ายดายอย่างมาก แม้จะต่างแค่ขอบเขตเดียว แต่ค่าตอบแทนที่ต้าสุยต้องจ่ายกลับลดน้อยลงไปมาก มากกว่าเดิมเยอะ”

 

ขันทีเฒ่ามองไปทางปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ฝีมือน่าหวาดกลัวแล้วเปิดเผยความในใจอย่างที่หาได้ยาก “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่หากเจ้าอยากพบฝ่าบาท ย่อมได้ เจ้ามีคุณสมบัตินั้น แต่ก็ไม่ควรสร้างเรื่องเอิกเกริกใหญ่โตถึงขนาดนี้ เพราะอย่างไรซะราชสำนักต้าสุยของพวกเราก็ยังมีหน้าตาให้ต้องรักษา”

 

หลี่เอ้อร์แสยะยิ้ม “ความหมายของเจ้าก็คือหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้ายังใหญ่สู้หน้าของต้าสุยพวกเจ้าไม่ได้ ใช่ไหม?”

 

ขันทีเฒ่าอึ้งตะลึงไปก่อนจะยิ้มจืดเจื่อน “จะพูดอย่างนี้ก็ได้”

 

หลี่เอ้อร์กลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ มหาสมุทรลมปราณจมลงเบื้องล่าง ก้าวเบาๆ ออกไปหนึ่งก้าว ชายฉกรรจ์ที่ไม่เคยใช้กระบวนท่าใดตลอดการต่อสู้ตั้งท่าหมัดโบราณอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

 

ปณิธานแห่งหมัดที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างเก่าแก่เรียบง่าย ดุดันเกินจะเปรียบ!

 

ขันทีเฒ่าที่ระดับลดลงสู่ขอบเขตแปดเบิกตากว้างอย่างตะลึงพรึงเพริด

 

จากนั้นเมฆหมอกที่ปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงก็เริ่มลดตัวลงต่ำ

 

ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางทุกคนในเมืองหลวงและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขึ้นไปต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการโคจรลมปราณในร่างติดขัดไม่ราบรื่น

 

และยิ่งมีนักเล่านิทานตกอับไร้แซ่ไร้นามไร้สัญชาติคนหนึ่งที่เผยสีหน้าประหลาดใจ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็วางไม้ปลุกสติ (ไม้ท่อนสี่เหลี่ยมที่สมัยโบราณใช้เคาะโต๊ะในศาลเวลาพิจารณาคดีเพื่อแสดงอำนาจอันน่าเกรงขาม) ในมือลง กล่าวขออภัยหนึ่งคำ ไม่สนใจเสียงด่าขรมของคนฟัง เดินจ้ำอ้าวออกจากเพิงเล่านิทานที่สร้างขึ้นชั่วคราว ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปทางวังหลวงด้วยอารมณ์หนักอึ้ง เด็กสาวที่ทำหน้าที่ดีดผีผาให้กับนักเล่านิทานเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย ถามเสียงเบา “อาจารย์ มีอะไรหรือ?”

 

ผู้เฒ่าตอบเสียงเบาเช่นกัน “มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าบุกเข้าไปในวังหลวงต้าสุยเรา เกรงว่าอาจารย์คงต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักหน่อยแล้ว”

 

เด็กสาวอุ้มผีผาไว้ในอ้อมอก เอียงศีรษะ ยิ้มไร้เดียงสา “อาจารย์ ท่านเป็นถึงนักพรตใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ด อีกอย่างท่านยังเป็นผู้ที่ได้รับการปรนนิบัติดูแลเป็นอันดับหนึ่งของต้าสุยเรา จึงไม่ถูกพันธนาการจากค่ายกลปกป้องเมือง ใช้ขอบเขตสิบเอ็ดเล่นงานขอบเขตแปด ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย”

 

ผู้เฒ่าที่หลังค่อมเล็กน้อยถอนหายใจ “ใครบอกกว่าสิบเอ็ดเล่นงานแปดจะต้องไม่ดีเสมอไป หากสามารถทำให้คนผู้นั้นฝ่าคอขวดไปได้ ขีดกำจัดของค่ายกลก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป บวกกับที่ถึงแม้ว่าขอบเขตของอาจารย์จะเป็นสิบเอ็ด แต่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือนักการทหารที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า อาจารย์อย่างข้าไม่เคยเก่งด้านการสังหารเลย นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ยุ่งยากมากที่สุด”

 

เด็กสาวที่รู้เรื่องวงในของการฝึกตนทำสีหน้าตะลึงงาน ใบหน้าของนางขาวซีดในฉับพลัน น้ำเสียงสั่นระริก “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ต้องระวังตัวนะเจ้าคะ!”

 

นักเล่านิทานอืมรับหนึ่งที กระทืบเท้าเบาๆ ฝุ่นผงคลุ้งตลบรอบร้านจนบริเวณโดยรอบมืดฟ้ามัวดิน รอจนฝุ่นสลายหายไป ก็ไม่เห็นเงาร่างของผู้เฒ่าหลังค่อมอีกแล้ว

 

……

 

หลี่เอ้อร์ก้าวเท้าลงไปบนความว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เรือนกายแข็งแกร่งกำยำเผยกายอยู่บนลานกว้างตำหนักอู่อิงอีกครั้ง

 

จากขอบเขตแปดขั้นสูงสุดแหวกฝ่าปราการมหามรรคาไร้รูปลักษณ์ที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินไปตลอดทาง จนกระทั่งกลับคืนสู่ขอบเขตเก้าอีกครั้ง!

 

จากนั้นก็ไต่ทะยานสู่ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด!

 

สุดท้ายเมื่อชายฉกรรจ์หลับตาลง เขาก็ปล่อยหมัดออกมาช้าๆ พลางเอ่ยเบาๆ “จงเปิดให้ข้า!”

 

รอบด้านคล้ายมีโซ่พันธนาการจำนวนนับไม่ถ้วนปริแตกพร้อมกัน ความว่างเปล่าข้างกายชายฉกรรจ์ปรากฎรอยร้าวสีดำมืดหลายเส้นที่ตัดสลับกัน

 

พายุลมกรดก่อตัวขึ้นรอบทิศโดยมีหลี่เอ้อร์เป็นจุดศูนย์กลาง

 

หอบเอาฝุ่นผงเศษหิน เศษอิฐจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนคว้าง

 

พื้นราบของลานกว้างตำหนักอู่อิงกระเด้งม้วนตลบ!

 

เมื่อหลี่เอ้อร์เก็บหมัดยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

 

พายุหมุนที่สูงเทียมฟ้าลูกนั้นก็สลายไปในบัดดล

 

ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยที่ยืนอยู่กลางลานกว้างลืมตาขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เบาจนไม่ได้ยิน “ความรู้สึกของขอบเขตสิบโปร่งสบายจริงๆ ดีกว่าตอนกินน่องไก่ที่ลูกชายเหลือไว้เล็กน้อย”

 

……

 

ฮ่องเต้ต้าสุยที่ยืนรอข่าวอยู่ใต้ชายคามองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ของสำนักศึกษาซานหยาสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาหา เอ่ยเสียงดังว่า “ฝ่าบาทสามารถหยุดมือได้แล้วพะย่ะค่ะ”

 

ลมเย็นพัดผ่านไปข้างกาย นักเล่านิทานหลังค่อมยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ถอนหายใจพูดเสียงเบา “หากยังคิดจะสู้กันต่อไปก็มีแต่ต้องตัดใจยอมให้ครึ่งเมืองถูกรื้อถึงจะได้”

 

และในทะเลสาบหัวใจของฮ่องเต้ต้าสุยเสียงร้อนใจของขันทีชุดงูหลามดังกระเพื่อมขึ้น “คนผู้นั้นถึงกับฉวยโอกาสนี้ฝ่าทะลุขอบเขตสิบ! ฝ่าบาทไม่ควรใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกแล้วพะย่ะค่ะ!”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยไม่มีอาการลนลาน เพียงปลงอนิจจังจากใจจริง “แม้ว่าจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่า ภาพการต่อสู้ตรงลานกว้างตำหนักอู่อิงจะต้องยิ่งใหญ่อลังการมากแน่นอน”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยหมุนตัวกลับมา ถึงขั้นกุมมือทำความเคารพ ก้มหน้าพูดกับนักเล่านิทานผู้นั้นอย่างนอบน้อม “บุรพาจารย์ได้โปรดออกหน้าเชิญคนผู้นั้นมาที่นี่ด้วยเถิด”

 

เหมาเสี่ยวตงก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ เอ่ยโน้มน้าว “ฝ่าบาท ข้าไปเองจะเหมาะสมกว่า คนผู้นั้นคือบิดาของเด็กคนหนึ่งในสำนักศึกษาพวกเรา ได้ยินว่าบุตรชายถูกคนรังแกอย่างอเนจอนาถ ถึงได้โมโหหนัก ดึงดันจะมาพูดคุยเหตุผลกับฝ่าบาทที่วังหลวงให้ได้ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทไม่ยินดีพบเขา ตอนนั้นเขาถูกบีบจนฝ่าทะลุขอบเขต กลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์คนที่สามของแจกันสมบัติทวีปได้แล้ว พลังอำนาจกำลังไต่สู่จุดสูงสุด ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมหยุดมือง่ายๆ”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยกล่าวยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนให้เหมาเหล่าไปที่นั่นสักรอบ กว่าเหรินจะไปรออยู่ในตำหนักจรุงจิต”

 

รอจนผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่พุ่งกายจากไป นักเล่านิทานท่านนั้นถึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “การกระทำในครั้งนี้ สมเหตุแต่ไม่สมผล เป็นท่านที่ผิด”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ผู้น้อยทำผิดก่อน และมรสุมก่อนหน้านี้ก็เป็นต้าสุยที่ทำผิดก่อน ความผิดสองอย่างรวมกัน…”

 

แล้วฮ่องเต้ต้าสุยก็ยกยิ้มขมขื่น “ท่านบุรพาจารย์ เรื่องคราวนี้ค่อนข้างลำบากทีเดียว”

 

นักเล่านิทานสูงวัยสวมเสื้อผ้าที่ซักสะอาดจนซีดขาวยิ้มบางๆ “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากท่านไม่ยอมรับผิดจากใจจริงก็ต้องสู้กับเขาให้รู้ดำรู้แดงไปเลย แน่นอนว่าไม่ประหยัดแรงกาย แต่ไม่ต้องเหนื่อยใจ ท่านไม่ต้องคิดมากแล้ว”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยยิ้มอย่างเข้าใจ “ยังคงเป็นท่านบุรพาจารย์ที่คิดได้รอบคอบ”

 

ผู้เฒ่าตบไหล่ฮ่องเต้ต้าสุยพลางปลอบใจ “นั่งบนบัลลังก์มังกร สวมชุดคลุมมังกรเท่ากับรัดแผ่นดินทั้งผืนไว้ติดกับตัว เรื่องผิดพลาดบางเรื่องย่อมเลี่ยงไม่ได้ หากข้านั่งอยู่ในตำแหน่งของท่านก็ไม่มีทางทำได้ดีกว่า ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ตอนนั้นข้าไม่สนใจความเห็นของคนส่วนใหญ่ เลือกเจ้าขึ้นครองราชย์ ตอนนี้ข้าก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองทำถูกแล้ว”

 

รออยู่นานจนเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ฮ่องเต้ต้าสุยที่ยืนรออยู่บนระเบียงใต้ชายคานอกตำหนักจรุงจิตถึงได้เห็นว่าข้างกายเหมาเสี่ยวตงมีชายฉกรรจ์หน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเดินก้าวยาวๆ มาพร้อมกับเขา

 

รอยยิ้มของเหมาเสี่ยวตงเหยเก “ฝ่าบาท เขาเชื่อหลี่เอ้อร์ คือบิดาของหลี่ไหวนักเรียนในสำนักศึกษาซานหยาของพวกเรา เขายืนกรานว่าจะต้องมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้จงได้ บอกว่าบินไปบินมาอยู่ในบ้านคนอื่นไม่ใช่ท่าทีที่ควรมีเมื่อต้องการพูดคุยเหตุผลกับคนอื่น”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

 

ทว่านักเล่านิทานที่หัวใจขมวดเกร็งอยู่ตลอดเวลากลับรู้สึกโล่งอก

 

เดินเข้าไปในตำหนักจรุงจิตด้วยกัน ในห้องมีแค่สี่คน ต่างคนต่างนั่งลง ฮ่องเต้ต้าสุย นักเล่านิทาน รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา หลี่เอ้อร์บิดาหลี่ไหว

 

หลี่เอ้อร์เปิดปากพูด “อยากพบฝ่าบาท ไม่ง่ายเลย”

 

บรรยากาศพลันเคร่งเครียดขึ้นมาในชั่วพริบตา

 

ขนาดฮ่องเต้ต้าสุยก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

 

ยังดีที่หลี่เอ้อร์เป็นฝ่ายพูดเข้าประเด็นเสียเอง “คนที่รังแกบุตรชายของข้ามีอยู่ห้าหกตระกูลซึ่งรวมตระกูลนายพลเอกหัน สกุลฉู่หนานซี ฮวายหย่วนโหว ขอฝ่าบาทโปรดบอกให้บรรพบุรุษของตระกูลเหล่านี้ออกจากภูเขามาสู้กับข้าหลี่เอ้อร์ตัวต่อตัว หากพวกเขารู้สึกว่าข้ารังแกคนอื่น ไม่เป็นไร พวกเขามาพร้อมกันได้เลย สมบัติอาคมหรืออาวุธอะไรก็ยืมมาจากมิตรสหายให้มากๆ แค่ต้องรบกวนให้ฝ่าบาทช่วยหาสถานที่เงียบสงบขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อที่พวกเราทั้งสองฝ่ายจะได้สู้กันอย่างเต็มที่ หากไม่ได้จริงๆ จะไปนอกเมืองก็ได้”

 

เหมาเสี่ยวตงกลั้นยิ้ม เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

 

นักเล่านิทานถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เหมาเสี่ยวตงเหลือกตามองบนตอบกลับไป

 

ฮ่องเต้ต้าสุยปากอ้าตาค้างเล็กน้อย ถามเบาๆ “ต้องสู้กันอีกครั้งถึงจะได้?”

 

หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างขับข้องใจ “เดิมทีที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อสู้กับท่าน แต่เพราะฝ่าบาทไม่ยอมปรากฏตัว ดึงดันจะให้สู้กันให้ได้ ข้าก็เลยได้แต่สู้กับพวกท่าน คนที่ข้าจะต่อสู้ด้วยจริงๆ นั้นคือพวกคนที่รังแกบุตรชายของข้า แม้จะบอกว่าเด็กๆ ทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ ต่อให้หลี่ไหวถูกเด็กร่วมหอพักวัยเดียวกันต่อยตี ข้าที่เป็นบิดาจะสงสารบุตรชายแค่ไหนก็ไม่มีทางพูดอะไรแน่ แต่ควรหรือที่พวกเขาจะเกเรกันขนาดนี้ อาศัยว่าชาติตระกูลของตัวเองดีจึงรู้สึกว่าสามารถรังแกคนอื่นได้ ขอโทษสักคำก็ไม่มี แม้แต่ของที่ขโมยไปก็ยังไม่เอามาคืน?”

 

หลี่เอ้อร์กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเครียดขรึม “หากต้าสุยของพวกเจ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาสู้กันต่อ ข้ารู้ว่ารากฐานของต้าสุยลึกล้ำ ไม่กลัวความลำบากยุ่งยาก แต่ข้าหลี่เอ้อร์กลับแปลกใจนัก หากขุนนางของต้าสุยเฮงซวยอย่างนี้เหมือนกันหมด วันหน้าหลี่ไหวบุตรชายข้าต้องมาเรียนอยู่ในสถานที่แบบนี้จะกลายเป็นคนยังไง?”

 

หลี่เอ้อร์หันไปมองนักเล่านิทานผู้นั้นโดยตรง “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านถือว่าเป็นคนหนึ่งที่สู้ได้ ส่วนคนที่สวมชุดแดงก่อนหน้านี้ถือว่าสู้เป็นแค่ครึ่งหนึ่ง”

 

ผู้เฒ่าหลังค่อมที่กำลังดื่มชาเกือบจะสำลักน้ำชา

 

ฮ่องเต้ต้าสุยเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ กว่าเหรินสามารถนำความไปบอกตระกูลเหล่านั้น ให้ผู้อาวุโสของพวกเขาออกจากภูเขา เพียงแต่ฝ่ายของฮวายหย่วนโหวอาจจะมีปัญหาเล็กน้อย แม้ว่าฮวายหย่วนโหวจะได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้น แต่บรรพบุรุษตระกูลเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นคนธรรมดา เรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ก็ยังไม่ได้”

 

เห็นได้ชัดว่าหลี่เอ้อร์เตรียมพร้อมสำหรับปัญหาข้อนี้มาก่อนแล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฮวายหย่วนโหวจ่ายเงินจ้างคน ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยถาม “ต้องการให้ตระกูลเหล่านั้นขอโทษหลี่ไหวกับสาธารณชนหรือไม่?”

 

หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “เป็นนายท่านผู้เฒ่ากันทั้งนั้น เรื่องอะไรจะต้องให้มาขอโทษเด็กคนหนึ่ง ไม่จำเป็น อีกอย่างข้าเองก็ไม่ต้องการให้บุตรชายเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างไม่สงบสุข ข้าก็แค่ไม่ชอบใจพฤติกรรมของตระกูลเหล่านั้นก็เท่านั้น หลังจากสู้กันเสร็จแล้วค่อยให้พวกคนแก่กลับบ้านไปสั่งสอนอบรมเด็กๆ ของตัวเอง แค่นี้ก็พอแล้ว”

 

ฮ่องเต้ต้าสุยผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย “อาจารย์หลี่เอ้อร์มีเหตุผลอยู่บนความถูกต้องอย่างแท้จริง หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ กว่าเหรินควรจะพบเจ้าตั้งนานแล้ว”

 

หลี่เอ้อร์รีบโบกมือ “ข้าไม่ใช่อาจารย์อะไรทั้งนั้น เหมาเหล่าต่างหากที่ใช่ อาจารย์สองคนในสำนักศึกษาที่สอนหลี่ไหวที่เป็นฝ่ายมาพูดคุยกับพวกเราสี่คนเป็นครึ่งๆ วันนั่นก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริงเหมือนกัน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีมารยาท นั่นต่างหากถึงจะเป็นบัณฑิตตัวจริง”

 

เหมาเสี่ยวตงอมยิ้มไม่พูดอะไร

 

การให้เกียรตินี้นับว่าใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีกนะเนี่ย

 

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท