อาเหลียงเคยหยอกหลี่ไหวว่าเป็นลูกกระต่ายที่เก่งแต่ในผ้าห่มตัวเอง พอไปอยู่ข้างนอกแล้วขี้ขลาด มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าหลี่ไหวเรียนรู้มาจากมารดาของเขา นี่ยังไม่ทันไปถึงภูเขาตงหัว ยังได้เห็นแค่ซุ้มป้ายของสำนักศึกษาซานหยา สตรีแต่งงานแล้วก็เริ่มหวาดกลัวเสียแล้ว ไม่เหลือความร้ายกาจของเจ้าแม่ปากจัดผู้ไร้เทียมทานในตรอกซอกซอยของเมืองเล็กอยู่อีกเลย
กลับเป็นผู้ชายของนางเสียอีกที่ยังคงเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง ไม่แตกต่างจากการขึ้นเขาลงห้วยทั่วไป หลี่หลิ่วบุตรสาวของเขาก็ไม่ต่างกัน ถึงเวลาที่ควรถามทางก็ถาม ควรขอบคุณก็ขอบคุณ ต่อให้เป็นชาวบ้านของเมืองหลวงต้าสุยที่ขึ้นชื่อเรื่องความเย่อหยิ่งหัวสูงในแถบเหนือของแจกันสมบัติทวีปที่พอเจอกับสาวน้อยงดงามอ่อนโยนแบบนี้ก็ยังต้องแสดงความเป็นมิตรอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าสำนักศึกษาซานหยาจะย้ายออกมาจากต้าหลี อีกทั้งยังถูกปลดจากตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล แต่ลาที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า จึงยังคงเป็นสถานที่วิเศษในใจและในสายตาของลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนในต้าสุยอยู่ดี
อีกทั้งการวางตัวของสำนักศึกษาก็ดีไร้ที่ติ ดังนั้นต่อให้คนทั้งสามจะสวมเสื้อผ้าเก่ามอซอ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความบ้านนอกยากจน แต่พอได้ยินว่าเป็นผู้ปกครองของนักเรียนในสำนักศึกษา ผู้คนจึงให้ความเกรงใจอย่างยิ่ง มีคนนำพวกเขาไปพักในสถานที่ซึ่งใช้รับรองแขกที่เดินทางมาไกลโดยเฉพาะของสำนักศึกษาก่อน จากนั้นก็พาพวกเขาไปหาหลี่ไหวที่ห้องเรียน พอรู้ว่าวันนี้หลี่ไหวไม่มาเรียนจึงพาไปยังหอพักของหลินโส่วอี แล้วก็ได้เจอเด็กชายซึ่งนั่งเล่นกิ่งไม้อยู่บนพื้นจริงดังคาด
การที่พวกเขาสามารถตรงมาที่นี่ได้โดยตรงก็เพราะ จะอย่างไรซะเด็กสามคนอย่างหลี่ไหวล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอริยะฉีอดีตเจ้าขุนเขา แถมเมื่อไม่นานมานี้ยังสร้างมรสุมยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ความเคลื่อนไหวของพวกหลี่ไหวในสำนักศึกษา นิสัยของแต่ละคนเป็นอย่างไร พฤติกรรมเป็นอย่างไร ความรู้มากน้อยแค่ไหน อาศัยอยู่ที่ใด ฯลฯ เป็นเรื่องที่รู้กันเกือบทุกคน
สำหรับเรื่องนี้ อาจารย์ส่วนใหญ่ในสำนักศึกษาที่ไม่ได้กุมอำนาจสำคัญมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอารมณ์ดีร้ายออกมาอย่างชัดเจนนัก หูสองข้างของพวกเขาทำเพียงรับฟัง ปากไม่ซักถามสอบเสาะ ใจคิดแต่จะสั่งสอนศิษย์ให้ดีเท่านั้น
พอได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ไหวเงยหน้าขึ้น พอเห็นเงาร่างของคนทั้งสามที่คุ้นตาคุ้นใจ เขาก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อยนึกว่าตัวเองฝันไป ขยี้ตาตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่งถึงได้ทิ้งกิ่งไม้ลุกขึ้นยืน วิ่งห้อเข้ามา หันไปกุมมือคารวะขอบคุณอาจารย์ของสำนักศึกษาผู้มีท่าทางสุภาพอ่อนโยนก่อน จากนั้นถึงเงยหน้ามองพ่อแม่และพี่สาวตัวเองด้วยดวงตาแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก
ตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ข้างกายย่อมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็จำต้องยอมรับ แต่พอพ่อแม่มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายจริงๆ กลับรู้สึกว่าความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก
เพียงแต่ว่าหลี่ไหวคือเด็กที่ต้องเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อมาขอศึกษาต่อ ต่อให้อายุยังน้อย เห็นแม่น้ำภูเขาที่ยิ่งใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนมาพร้อมกับเฉินผิงอัน เดินทางตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ผลิมาจนถึงต้นฤดูหนาว จึงรู้จักเก็บอารมณ์ ไม่ได้โมโหโวยวายเหมือนตอนอยู่ในเมืองเล็ก และเพียงชั่วพริบตาก็อารมณ์ดีขึ้นมา ใช้มือปาดคราบน้ำตา เอ่ยถาม “พ่อแม่ หลี่หลิ่ว พวกท่านมาได้อย่างไร?!”
อาจารย์ผู้นั้นบอกลาจากไปด้วยรอยยิ้ม ไม่อยู่ขัดขวางครอบครัวที่ได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า
หลังจากอาจาร์สอนหนังสือท่าทางสุภาพท่านนั้นจากไป สตรีแต่งงานแล้วก็พลันรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก พุ่งเข้าโอบกอดหลี่ไหว พูดเสียงสะอื้น “ไหวจื่อของข้าทำไมถึงได้ทั้งผอมและดำขนาดนี้ โถ่เอ้ย ใจของแม่จะสลายแล้ว ต้องโทษพ่อเจ้าคนเดียว แก่ปูนนี้แล้ว เดินทางกันไปได้ตั้งไกล จู่ๆ กลับพูดว่าเป็นห่วงเจ้า กลัวเจ้าจะไม่มีเงินกินข้าว กลัวเจ้าป่วยไม่มีคนดูแล พวกเราสามคนปรึกษากันแล้วก็คิดว่าควรจะเดินทางมาดูเจ้าที่สำนักศึกษาสักหน่อย…”
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงคล้ายเหล็กแข็งกระด้างดำทะมึนก้อนหนึ่ง ตอนนี้เขายังคงแบกสัมภาระที่เหมือนภูเขาลูกย่อมเอาไว้ ยกมือเกาหัว พูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้าพูดแค่ประโยคเดียว แค่บอกว่าไม่รู้ว่าไหวจื่ออยู่ในสำนักศึกษาต้าสุยจะได้กินน่องไก่หรือไม่ แม่และพี่สาวเจ้าก็ร้องห่มร้องไห้เสียแล้ว ไม่ว่าปลอบอย่างไรก็ไม่ได้ผล ภายหลังพวกนางสองแม่ลูกก็เลย…”
สตรีแต่งงานแล้วที่ถูกแฉนั่งยองลงบนพื้น หันไปถลึงตาใส่ผู้ชายของตัวเองอย่างดุดัน “ไป๊ๆๆ ปากมากจริงนะเจ้า หากเจ้าไม่คิดถึงไหวจื่อก็ลงไปรอที่ตีนเขาคนเดียวเลยไป”
บุรุษยิ้มเซ่อซ่า แน่นอนว่าไม่ได้ลงเขาไปจริงๆ
สตรีแต่งงานแล้วนั่งยองบนพื้น ลูบศีรษะและแขนเล็กๆ ของบุตรชายแก้วตาดวงใจของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างสงสาร “ทำไมถึงได้ผอมขนาดนี้ล่ะ เพราะไม่ได้กินของดี นอนหลับไม่สบายใช่ไหม?”
หลี่ไหวยิ้มกว้าง ทั่วร่างแผ่ความภาคภูมิใจ “กินอร่อย นอนก็หลับ สบายดียิ่งนัก ท่านแม่ ข้าจะบอกท่านให้ มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุยครั้งนี้ ข้าเดินตามพวกเฉินผิงอันอยู่ด้านหลัง เดินมาด้วยตัวเองตลอดทาง! เส้นทางยาวไกลนักล่ะ ตั้งหลายพันลี้แน่ะ เดินจากบ้านเกิดของพวกเรา มาถึงที่ภูเขาฉีตุนก่อน แล้วก็เมืองหงจู๋ แม่น้ำซิ่วฮวา ด่านเหย่ฟูชาวแดน แล้วก็ผ่านแคว้นหวงถิง…เห็นหรือไม่?”
เด็กชายถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วยกเท้าตัวเองขึ้นมา “รองเท้าแตะ เฉินผิงอันสานให้ข้า ทั้งแน่นหนาทั้งใส่สบาย ตอนหลังข้าอยากเรียนทำเอง แต่เฉินผิงอันไม่ยอม ท่านแม่ ท่านเดาดูสิว่าข้าเปลี่ยนรองเท้าแตะไปกี่คู่?”
พอคำถามนี้หลุดออกมา สตรีแต่งงานแล้วก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากอย่างอดไม่ไหวอีกต่อไป หลี่หลิ่วบุตรสาวรีบทรุดตัวนั่งยองลง กุมมือมารดาไว้เบาๆ
หลี่ไหวก็งุนงงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมมารดาถึงได้เสียใจขนาดนี้ เด็กชายผู้ฉลาดเฉลียวรีบเก็บรองเท้าแตะ กลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วความคิดดีๆ ก็บังเกิดขึ้น รีบพูดเสียงดัง “ท่านแม่ เข้าไปในห้องกันเถอะ ข้าจะให้พวกท่านได้ดูของดี!”
เข้ามาในหอพักของหลินโส่วอี หลี่ไหวก็ยกหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กขึ้นวางไว้บนโต๊ะ ยกมือสองข้างกอดอกเลียนแบบหลี่เป่าผิง ปรายตามองหลี่หลิ่วพี่สาวของตัวเอง แล้วจึงพูดด้วยท่าทางลำพองใจเลียนแบบเด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว “เป็นไง หีบหนังสือใบเล็กของข้า สวยหรือไม่? อิจฉาหรือไม่?”
หลี่ไหวยังไม่หยุด กล่าวจบก็สะพายหีบหนังสือใบเล็กขึ้นหลังอย่างคุ้นชิน เด็กชายที่สวมรองเท้าแตะแบกหีบหนังสือเดินวนไปรอบโต๊ะหนึ่งรอบ ทำเอาหลี่หลิ่วที่มองดูอยู่ทั้งสงสารทั้งตลก รีบช่วยปลดหีบหนังสือกลับมาวางลงบนโต๊ะ หยาดน้ำตาคลอในดวงตาของนาง ทว่าบนดวงหน้ารูปไข่ห่านสีชมพูอ่อนของนางกลับคลี่ยิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กสาวผู้งามมองดูคล้ายสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ
ชายฉกรรจ์พลันถามขึ้นว่า “ตลอดทางมานี้ไม่มีใครรังแกเจ้าใช่ไหม?”
หลี่ไหวส่ายหน้ายิ้ม “ไม่มี”
สตรีแต่งงานแล้วได้ยินประโยคนี้ก็โมโหปรี๊ด “ลูกชายถูกคนรังแกแล้วอย่างไร นิสัยไม่เอาถ่านอย่างเจ้า ตอนอยู่บ้านเกิดมีครั้งไหนบ้างที่ลูกชายถูกรังแกแล้วไม่ใช่แม่อย่างข้าที่ด่ากลับคืน เจ้าจะทำอะไรได้?”
บุรุษหดคอพูดเสียงเบา “ก็นั่นมันที่บ้านเกิด เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ล้วนนิสัยไม่เลวร้าย ให้ทำลายความปรองดองคงไม่ดี เพราะสุดท้ายก็ต้องเป็นเจ้าภรรยาที่อึดอัดลำบากใจ”
สตรีแต่งงานแล้วตบโต๊ะ “ยังจะกล้าเถียง! เจ้าหลี่เอ้อร์คิดจะก่อกบฏหรือไร? หรือรู้สึกว่าเดินทางออกจากบ้านแล้วความรู้เพิ่มขึ้น คิดจะทิ้งลูกเมีย เปลี่ยนไปหาเมียใหม่ที่สาวและสวย?”
บุรุษกล่าวจนใจ “จะทำอย่างนั้นได้ยังไง”.
สตรีแต่งงานแล้วโมโหหนัก “นั่นก็เพราะเจ้ามีใจคิดเป็นโจรแต่ไม่กล้าทำตัวเป็นโจร รู้ว่าผู้หญิงคนอื่นไม่ชายตาแลเจ้า คราวก่อนพวกเราเจอนางปีศาจขายาว สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้น แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนสำรวมอยู่ในกรอบคุณธรรม เจ้าไม่ได้แอบมองนางรึ? น่าขายหน้าจริงๆ นังผู้หญิงอัปลักษณ์ นมมีเนื้อไม่ถึงสองตำลึงยังจะกล้ามาเทียบความงามกับข้า?”
บุรุษทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด นั่งยองบนพื้นแล้วถอนหายใจ กลุ้มจริงๆ
นางปีศาจเฒ่าบนภูเขาผู้นั้นมองดูแล้วยังสาว แต่ในความเป็นจริงกลับมีอายุเจ็ดแปดร้อยปีแล้ว จะดีจะชั่วก็เป็นถึงปีศาจที่ฝึกบำเพ็ญตนจนถึงขอบเขตเก้า หากข้าไม่มองนางสักครั้ง ให้นางได้รู้หนักเบาและความร้ายกาจของข้า นางคงฆ่าคนเอาเนื้อมากินแล้ว หากพวกเจ้าสองแม่ลูกไม่อยู่ข้างกาย ข้าคงต่อยให้นางตายด้วยหมัดเดียวไปนานแล้ว
แต่เรื่องสกปรกโสมมพวกนี้ เขาจะกล้าพูดให้ลูกเมียฟังได้อย่างไร
ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองอยู่บนพื้นลืมปลดสัมภาระลง ดังนั้นจึงมองดูเหมือนเขานั่งพิงภูเขาลูกเล็กๆ อยู่
สตรีแต่งงานแล้วคำรามเดือดดาล “ยังไม่รีบเอาของออกมาอีก ทำไม ตัดใจให้ลูกชายไม่ลงงั้นรึ? จะเก็บไว้ให้นางปีศาจจิ้งจอกที่อยู่ข้างนอกหรือไง!”
หลี่เอ้อร์รีบลุกขึ้นยืน เปิดห่อสัมภาระ หยิบเอาอาหาร เสื้อผ้าและหนังสือกองโตวางลงบนโต๊ะ
หลี่ไหวถามอย่างแปลกใจ “บ้านของเรามีเงินขนาดนี้เชียวหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “พ่อเจ้าเป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ พวกเราออกจากบ้านเดินทางไกลในครั้งนี้ ระหว่างทางพ่อเจ้าเจอสมุนไพรส่วนหนึ่งจึงเอาไปขาย ได้เงินมาไม่น้อย เป็นครั้งแรกที่แม่ได้เห็นทองด้วยนะ สีทองอร่ามแวววาว แค่มองก็เบิกบานใจ ตอนนี้แม่เก็บทรัพย์สินไว้ได้บางส่วนแล้ว แต่เจ้าอย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน ทรัพย์สินส่วนนั้นเก็บไว้ให้เจ้าแต่งภรรยาในอนาคต”
หลี่ไหวมองพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา “เอาไว้เป็นสินเดิมให้พี่สาวข้าก่อนเถอะ ข้าไม่รีบ”
สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงขุ่น “ลูกสาวที่แต่งงานก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เกิดมาก็ขาดทุนแล้ว จะเก็บไว้ให้นางทำไม?”
เด็กสาวเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย นางนิสัยอ่อนโยนมีน้ำอดน้ำทนมาตั้งแต่เด็ก ข้อนี้เหมือนบิดาของนาง ไม่เหมือนหลี่ไหวเลย ครอบครัวสี่คนนี้จึงมีชีวิตพึ่งพากันและกัน ลูกชายเหมือนแม่ ลูกสาวเหมือนพ่อ น่าสนใจไม่น้อย
หลี่ไหวส่ายหน้า “ท่านแม่ หากท่านเป็นอย่างนี้ ต่อให้วันหน้าพี่สาวแต่งงานกับคนที่ดี ก็ยังต้องถูกรังแกอยู่ดี ท่านน่ะโชคดีที่ได้เจอคนซื่อสัตย์อย่างท่านพ่อข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามใจท่านหมด หาไม่แล้วหากท่านถูกท่านพ่อรังแก ด้วยนิสัยของพวกท่านลุง ยังจะหวังพึ่งพาคนบ้านเดิมได้หรือ? มีแต่จะเพิ่มความโมโหให้ท่าน ความโมโหทำให้คนป่วยได้ ท่านแม่ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
สตรีแต่งงานแล้วสะอึกจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เด็กสาวเม้มปากลอบยิ้ม
สตรีแต่งงานแล้วจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากของบุตรชาว พูดเสียงสะบัด “หนอย โตแล้ว รู้จักช่วยพูดแทนแม่แล้วรึ?”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ หันไปมองพี่สาวที่อยู่ข้างกาย ยิ้มชั่วร้าย “หลี่หลิ่ว ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ได้ช่วยเจ้าหาพี่เขยดีๆ ได้หลายคนเลย…”
เด็กสาวกะพริบดวงตาเรียวยาวฉ่ำน้ำคู่นั้นปริบๆ ท่าทางมึนงงเล็กน้อย
สตรีแต่งงานแล้วตบป้าบเข้าที่ศีรษะบุตรชาย โกรธจนกลายเป็นขำ “พูดอะไรของเจ้า! พี่สาวเจ้าแต่งให้ได้แค่คนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าหากแต่งให้กับคนไม่ดี ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากใจ ก็สามารถหย่าได้แล้วค่อยว่ากันใหม่ แต่ผู้หญิงคนหนึ่งห้ามแต่งกับหลายสามี”
หลี่ไหวหัวเราะชั่วร้าย “หลี่หลิ่ว ตอนนี้ข้าพักอยู่กับหลินโส่วอีด้วยนะ”
สตรีแต่งงานแล้วสงสัย “หลินโส่วอีที่บิดาเป็นขุนนางอยู่ในจวนผู้ตรวจการน่ะรึ?”
หลี่ไหวพยักหน้ารับ “เขานั่นแหละ คนที่แย่งพี่สาวข้ากับต่งสุ่ยจิ่งน่ะ ตอนนี้ร้ายกาจนักล่ะ แถมยังดีต่อข้า เมื่อก่อนตอนเรียนอยู่ในโรงเรียน ข้ายังเกลียดขี้หน้าเขาอยู่บ้าง ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนดีมาก แค่เย็นชาไปหน่อย ไม่ค่อยดีความอดทนนัก สู้เฉินผิงอันอาจารย์อาน้อยในอนาคตของข้าไม่ได้”
เด็กสาวรับฟังเงียบๆ
—–