นักเล่านิทานได้ยินมาถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เปิดปากพูดยิ้มๆ “ครั้งนี้ถือว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน หลี่ไหวมีบิดาที่มีเหตุผลอย่างเจ้า อีกทั้งการที่หลี่ไหวได้มาเรียนที่เมืองหลวงต้าสุยล้วนเป็นความโชคดีของต้าสุยเรา เป็นเรื่องดี”
หลี่เอ้อร์งึมๆ งำๆ ด้วยความหงุดหงิด “ข้าพูดจาเกรงใจใครไม่เป็น เอาเป็นว่าวันนี้ข้าจะรออยู่ที่นี่ รอจนคนของตระกูลเหล่านั้นออกมาสู้กันสักรอบ ฝ่าบาท ขอแจ้งไว้ก่อนว่า ข้าต้องรีบกลับสำนักศึกษา อย่าให้คนพวกนั้นจงใจถ่วงเวลาข้า ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาก็อย่ามาโทษหากข้าจะไปเยือนพวกเขาทีละบ้าน”
ฮ่องเต้ต้าสุยหันไปขยิบตาให้เหมาเสี่ยวตง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน “กว่าเหรินจะให้คนไปแจ้งเดี๋ยวนี้”
เหมาเสี่ยวตงเดินตามไปด้านหลัง ออกมาจากตำหนักจรุงจิต ทิ้งหลี่เอ้อร์กับนักเล่านิทานไว้ด้วยกัน
ฮ่องเต้ต้าสุยรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ขณะที่เดินเคียงไหล่ไปกับผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่บ่นระเบียงก็กล่าวไปด้วยว่า “เหมาเหล่ามีอะไรจะแนะนำข้าหรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงตอบหน้ายิ้ม “ง่ายมาก ให้คนจากตระกูลทั้งหลายที่เป็นพวกต้นเรื่อง ไม่ว่าจะสู้เป็นหรือไม่เป็น…เอาเถอะ อันที่จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่เอ้อร์ก็ไม่มีใครสู้เป็นสักคนเดียว ให้พวกเขาทุกคนเข้าวังมาพร้อมกันแล้วยืนนิ่งๆ ก้มหน้ายอมรับผิดต่อหน้าหลี่เอ้อร์ พยายามทำท่าให้น่าสงสารประมาณว่าต่อให้ถูกตีก็ไม่โต้คืน เรื่องนี้ก็จะจบกันไป ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้เลย ด้วยนิสัยเรียบง่ายซื่อตรงของหลี่เอ้อร์ย่อมไม่มีทางลงมือแน่นอน”
ฮ่องเต้ต้าสุยหยุดเดิน อับอายจนพานเป็นโกรธ “เหมาเหล่า เจ้าบอกมาตามตรง วันนี้เจ้ากำลังรอดูกว่าเหรินขายหน้าอยู่ใช่หรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้าหัวเราะร่า “บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลี่ไหวมีบิดาอย่างเขา หากรู้แต่แรกข้าคงเข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เรื่องในวันนี้ฝ่าบาทย่อมต้องคิดพะวงติดอยู่ในพระทัย ไม่แน่ว่าในอนาคตวันใดอาจพานโกรธไปถึงสำนักศึกษา แบบนั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย”
ฮ่องเต้ต้าสุยโกรธจนกลายเป็นขำ “พานโกรธกะผีน่ะสิ กว่าเหรินหรือจะกล้า?”
เหมาเสี่ยวตงพลันหุบรอยยิ้มสนุกสนาน เอ่ยเตือนเสียงเบา “ฝ่าบาท เหมือนดั่งที่ผู้อาวุโสของฝ่าบาทกล่าวไว้ เหตุการณ์ในวันนี้แม้จะเป็นเรื่องไม่ดีที่ทำลายศักดิ์ศรีหน้าตา แต่หากมองไกลไปถึงอนาคตวันข้างหน้า นี่เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน!”
ฮ่องเต้ต้าสุยยิ้ม “กว่าเหรินไม่ได้เลอะเลือนขนาดนั้น!”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เอ่ยเย้า “หากฝ่าบาททรงเลอะเลือนจริงๆ ข้าหรือจะกล้าพาพวกนักเรียนมาอยู่ที่ต้าสุย”
ฮ่องเต้ต้าสุยกวักมือเรียกขันทีมาสั่งความ แล้วถามว่า “ครั้งนี้หลี่เอ้อร์ยอมเลิกราง่ายๆ เป็นเพราะแผนการอันแยบยลของเหมาเหล่า ส่วนอาจารย์สองท่านนั้นของหลี่ไหวก็มีคุณความชอบใหญ่หลวง กว่าเหรินไม่พูดตามมารยาทกับเหมาเหล่าแล้ว ต้องให้กว่าเหรินสั่งให้กรมพิธีการตบรางวัลอาจารย์สองคนนั้นหรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงปฏิเสธสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้อง!”
ฮ่องเต้ต้าสุยสงสัย “ทำไมล่ะ?”
เหมาเสี่ยวตงกล่าวเสียงหนัก “ฝ่าบาทต้องรู้เรื่องหนึ่ง นี่ก็คือหลักการที่แท้จริงของสำนักศึกษาซานหยาเรา จำเป็นหรือที่ต้องให้ต้าสุยมอบของรางวัล? สิบปีร้อยปีข้างหน้า สำนักศึกษาซานหยาของเราก็ยังจะสืบทอดความรู้ สั่งสอนผู้คนเช่นนี้เพื่อปลูกฝังอบรม ปกป้องเมล็ดพันธ์ปัญญาชนที่แท้จริงให้กับต้าสุย”
ใจของฮ่องเต้ต้าสุยสั่นสะท้าน ราวกับว่าเพิ่งได้รู้จักผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้าเป็นครั้งแรก
นิสัยหวาดระแวงเล็กๆ ของคนเป็นจักรพรรดิที่หลงเหลืออยู่ในใจ ในที่สุดก็สลายเกลี้ยง
ฮ่องเต้ต้าสุยถอยหลังไปหนึ่งก้าว กุมมือคารวะเป็นครั้งที่สองของวัน “เราขอขอบคุณสำนักศึกษาซานหยาแทนแผ่นดินต้าสุยไว้ ณ ที่นี้ก่อนเลย!”
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่ได้เบี่ยงหลบการคารวะ แม้มองดูคล้ายจะล้ำเส้นฐานะของตัวเองไปมาก ทว่าเขากลับรับพิธีคารวะที่ยิ่งใหญ่จากกษัตริย์พระองค์หนึ่งเอาไว้ กล่าวด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “เหมาเสี่ยวตงน้อมรับไว้แทนสำนักศึกษาซานหยาอย่างเปิดเผย”
……
ตอนที่หลี่เอ้อร์ออกมาจากวังหลวง เขาเดินอยู่กลางระเบียงผนังที่เชื้อพระวงศ์ใช้กับเหมาเสี่ยวตงด้วยความรู้สึกเหมือนว่าถูกผู้เฒ่าข้างกายตลบหลัง จึงอารมณ์บูดไม่น้อย
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยยิ้มๆ “ยอมรับผิดก็พอแล้ว เจ้ายังคิดจะต่อยให้พวกเขาต้องถูกหามออกมาจากวังหลวงจริงๆ หรือไง วันหน้าลูกชายเจ้ายังต้องเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาอีกนาน เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าก็ต้องเห็น ตอนนี้ให้พวกเขาเป็นฝ่ายยอมรับผิดด้วยตัวเอง บวกกับฮ่องเต้ต้าสุยอีกคนที่คิดว่าตัวเองติดค้างน้ำใจของเจ้าหลี่เอ้อร์ครั้งใหญ่เทียมฟ้า ไม่ใช่ว่าดีมากหรอกหรือ?”
หลี่เอ้อร์ถอนหายใจ “แค่คิดว่าพวกนี้คงความจำไม่ดีนัก แถมข้ายังไม่อาจอยู่ในสำนักศึกษาตลอดไป วันหน้าหวังว่าท่านเหมาเหล่าจะให้การดูแลพวกหลี่ไหวมากๆ”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “สมควรต้องทำอยู่แล้ว อีกอย่างไม่ใช่ว่ายังมีบุรพาจารย์สกุลเกาของมณฑลอี้หยางผู้นั้นอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งปรากฏกายอยู่ในระเบียงกำแพง ผงกศีรษะคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว หลี่เอ้อร์ครั้งนี้เจ้ายอมถอยหนึ่งครั้ง ต้าสุยย่อมยินดีมอบความจริงใจให้เจ้าเป็นสองเท่าตัว”
หลี่เอ้อร์พยักหน้า “หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”
เหมาเสี่ยวตงถามยิ้มๆ “หลี่เอ้อร์ เจ้าที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าแล้ว เหตุใดถึงยังใช้ชีวิตอัตคัดขัดสนขนาดนั้น? ตอนนี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแล้ว อยู่ในสามอันดับแรกของมรรคาแห่งการต่อสู้ในบุรพแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งพลังการต่อสู้ต้องนำหน้าซ่งจ่างจิ้งอย่างแน่นอน เจ้าไม่คิดจะบอกคนในครอบครัวบ้างหรือ อย่างน้อยก็ให้พวกเขาได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “ให้ภรรยาข้าได้สวมเสื้อผ้าสวยๆ สวมกำไลทองปักปิ่นเงิน ให้หลี่หลิ่วมีเครื่องประทินโฉมกองใหญ่ ให้หลี่ไหวได้กินเนื้อปลาเนื้อหมูทุกวันจะดีต่อพวกเขาจริงๆ หรือ? ข้าไม่คิดอย่างนั้น”
เหมาเสี่ยวตงพูดยุแหย่ “แล้วถ้าภรรยากับบุตรชายบุตรสาวเจ้ารู้สึกว่าดีเล่า?”
หลี่เอ้อร์ยังคงส่ายหน้า “มีคนไม่อนุญาตให้ข้าทำเช่นนั้น นี่คือข้อหนึ่ง ส่วนข้อสองคือตัวข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก เอาแค่ญาติพี่น้องทางฝั่งบ้านเดิมภรรยาข้าที่ทำเรื่องชั่วร้ายมาเกือบครบหมดทุกอย่าง ถึงเวลาข้าจะทำอย่างไร? ต่อยพวกเขาให้ตาย? อธิบายเหตุผลกับพวกเขา? เขาจะฟังหรือ? ไม่ใช่ว่าต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่างหรอกหรือ สุดท้ายก็มีแต่ภรรยาข้าที่ต้องเสียใจที่สุด ครอบครัวตัวเองตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนบ้านเดิม แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้สภาพครอบครัวจะดีก็ไม่ดีไปได้สักเท่าไหร่”
เมื่อเก็บพลังอำนาจที่น่ากริ่งเกรงทั้งหมดลงไป หลี่เอ้อร์สู้ผู้ชายธรรมดาสักคนหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บุคลิกไม่มั่นใจ ทว่าสีหน้าเวลาพูดจากลับไม่เหมือนคนไม่เอาถ่านในเมืองเล็กที่จะทำอะไรก็มีแต่ความกระดากอายอีกแล้ว “แม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่ใหญ่แค่ก้นมาตลอดเวลา แต่ข้าก็ยังพอจะเข้าใจหลักการง่ายๆ แค่นี้ ครอบครัวหนึ่งใช้ชีวิตกันอย่างมั่นคงสงบสุข ไม่มีใครต้องหิวโหย ลูกเมียอยากกินเนื้อก็ได้กินเนื้อ เปรี้ยวปากเมื่อไหร่ข้าก็ได้ดื่มเหล้า แค่นี้ก็ดียิ่งกว่าอะไร”
หลี่เอ้อร์มองไปยังทัศนียภาพของเมืองหลวงที่อยู่นอกกำแพงระเบียง ประโยคหนึ่งที่เขาเก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดมันออกมา
ต่อให้ข้าจะเป็นคนไร้ประโยชน์จริงๆ แต่ตอนนี้ในใจของบุตรชาย ข้าหลี่เอ้อร์คือบิดาคนหนึ่งที่ใช้ได้ ไม่ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากข้าหลี่เอ้อร์รู้เรื่องนี้แล้ว ข้ามีความสุขมากแค่ไหน?
พอหลี่เอ้อร์คิดมาถึงตรงนี้ก็เอ่ยลา ขยับร่างวูบเดียวก็หายตัวไป รีบร้อนกลับไปยังสำนักศึกษาบนภูเขาตงหัว
นอกจากคิดถึงพวกนางสามแม่ลูกแล้ว อีกอย่างก็คือเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับบุตรชาย ตอนนี้เขาหลี่เอ้อร์สามารถลงมือได้แล้ว
……
เหมาเสี่ยวตงถอนหายใจ “หลี่เอ้อร์นับว่าใช้ชีวิตได้อย่างชาญฉลาด คนฉลาดหลายคนล้วนสู้เขาไม่ได้”
นักเล่านิทานยิ้ม “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบก่อนอายุครบหกสิบปี จะเป็นคนโง่จริงๆ ได้อย่างไร?”
ทว่าต่อมาผู้เฒ่าหลังค่อมกลับทอดถอนใจ “แต่ว่าดูจากตอนนี้ ยังคงเป็นซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีที่มีพลังการต่อสู้อ่อนด้อยที่สุดในบรรดาคนทั้งสามที่มีหวังมากที่สุดว่าจะเลื่อนไปสู่ขอบเขตนั้นได้ ซึ่งไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่เพราะซ่งจ่างจิ้งอายุน้อยที่สุด”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้าเห็นด้วย “จิตใจแห่งการฝึกวิถีวรยุทธ์ของซ่งจ่างจิ้งยอดเยี่ยมมาก น่ากลัวยิ่งกว่าอายุน้อยๆ ของเขาเสียอีก”
ผู้เฒ่าหลังค่อมถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะพูดถึงตอนที่คนผู้นั้นปรากฎกายในวังหลวงของต้าหลีด้วยท่าทีที่พร้อมบดขยี้ทุกสิ่งให้พินาศ แต่ซ่งจ่างจิ้งกลับกล้าที่จะสู้ไม่ถอยไม่กลัวตายกระมัง?”
เหมาเสี่ยวตงถามกลับยิ้มๆ “เจ้าคงกำลังคิดกระมังว่าหอป๋ายอวี้ของต้าหลีเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่?”
จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งสองที่มีประสบการณ์โชกโชนลูกเล่นแพรวพราวเดินเคียงบ่ากันไป ต่างคนต่างทอดสายตามองไปที่อื่น
……
ตอนที่หลี่เอ้อร์กลับมาถึงที่พัก พวกเขาแม่ลูกกำลังกินข้าว หลินโส่วอีเอาอาหารกล่องใหญ่สองกล่องออกมาวางเต็มโต๊ะ สตรีแต่งงานแล้วกับหลี่ไหวนั่งบนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน หลี่หลิ่วกับหลินโส่วอีนั่งตรงข้ามกัน ยังเหลือม้านั่งอีกหนึ่งตัวที่เว้นว่างไว้ให้ชายฉกรรจ์ที่ยังไม่กลับมาเสียที
หลี่เอ้อร์ที่สองมือว่างเปล่าเดินมาถึงหน้าประตูแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของ เพราะหลินโส่วอีอยู่ด้วย สตรีแต่งงานแล้วจึงได้แต่ทิ้งสายตาบอกให้รู้ว่าเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า หลี่เอ้อร์ถูมือนั่งลงแล้วพบว่ามีเหล้าหนึ่งไห จึงมองหลินโส่วอีแล้วเอ่ยถาม “ดื่มด้วยกันหน่อยไหม?”
หลินโส่วอีสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะก่อนพยักหน้ารับ “ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง จะดื่มเป็นเพื่อนกับท่านอาหลี่สักเล็กน้อยแล้วกัน”
หลี่เอ้อร์ยิ้มกว้าง “ดื่มเหล้าไม่เก่ง จะได้อย่างไร”
สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงสะบัด “ทำไมจะไม่ได้? ในบ้านมีผีขี้เหล้าอยู่คนหนึ่งยังไม่พองั้นรึ?”
หลินโส่วอีเป็นคนฉลาดถึงปานนั้น พลันขยับข้อมือจนเกือบทำให้ถ้วยสีขาวใบใหญ่ที่เตรียมจะส่งไปรับเหล้าหล่นลงบนโต๊ะ เด็กหนุ่มเย็นชาที่เวลาปกติไม่ค่อยชอบพูด ตอนนี้กลับยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง
หลี่เอ้อร์เองก็ถูกภรรยาทำให้ตกใจจนตัวสั่น เกือบจะทำไหเหล้าหลุดมือ
หลี่ไหวกัดน่องไก่มันเยิ้มเต็มคำ พูดงึมงำฟังไม่ชัด “ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาซื้อเหล้าดีๆ ให้ท่านที่ตีนเขา เดี๋ยวข้ายืมเงินจากหลินโส่วอี แล้วหลังจากนี้ค่อยให้เฉินผิงอันช่วยใช้คืนแทนข้า ท่านแค่ดื่มให้สบายใจก็พอ”
หลี่เอ้อร์คลี่ยิ้มกว้าง แล้วถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที ราวกับว่าได้รับพระราชโองการประทานเมตตาจากบุตรชาย เมื่อดื่มเหล้าตามพระราชโองการ แม้ดื่มต่อหน้าภรรยาก็ไม่ต้องหวาดหวั่นอีกต่อไป
เมื่อหันมาหาบุตรชาย สตรีแต่งงานแล้วกลับพูดจายิ้มแย้มชื่นบาน “เหล้านั้นซื้อได้ แต่ซื้อที่ถูกที่สุดก็พอแล้ว ให้บิดาเจ้าดื่มเหล้าดีๆ ออกจะสิ้นเปลืองเกินไป”
หลี่เอ้อร์รินเหล้าให้หลินโส่วอีเกินครึ่งถ้วย แล้วค่อยรินให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มที่ยังค้างอยู่บนใบหน้า “ใช่ๆ เอาแค่ถูกๆ ก็พอ ไม่ต้องเป็นเหล้าดี”
หลี่ไหวกลอกตามองสูง “ท่านแม่ ท่านช่างบงการ เอาแต่ใจตัวเองขนาดนี้ ไม่กลัวบ้างหรือว่าวันใดท่านพ่อจะหนีไปกับนางจิ้งจอกน้อยเข้าจริงๆ?”
สตรีแต่งงานแล้วเลิกคิ้วใส่ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สายตาแฝงแววสังหาร “เขากล้ารึ? อีกอย่างก็ต้องมีคนเอาถึงจะได้ ถูกไหม?”
ชายฉกรรจ์รีบดื่มเหล้าอึกใหญ่แล้วพยักหน้า “ใช่ๆๆ ไม่มีใครเอา”
สตรีแต่งงานแล้วตบโต๊ะ “ไม่มีคนเอาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในใจเจ้ามีความคิดชั่วร้ายอยู่หรือเปล่าก็อีกเรื่อง บอกมา! มีหรือไม่มี?!”
ชายฉกรรจ์รีบวางถ้วยขาวใบใหญ่ ยืดเอวตั้งตรง พูดรับรอง “ไม่มีแน่นอน!”
จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ปรายตามองไปยังหลินโส่วอีที่นั่งดื่มเหล้าอย่างสำรวม ก่อนจะหันไปพูดกับบุตรสาวของตนด้วยรอยยิ้ม “หลิ่วเอ๋อร์ วันหน้าต้องหาคนซื่อสัตย์มาแต่งงานด้วย รู้หรือไม่ จะได้ไม่ต้องถูกรังแก”
เด็กสาวพยักหน้ารับน้อยๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางทำเพียงแค่ส่งยิ้ม แต่ยังเอื้อมตัวคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งที่เลาะก้างออกแล้ววางไว้ในจานของหลี่ไหว
หลินโส่วอีได้แต่แอบเหลือบมองเด็กสาวด้วยหางตา เพิ่งจะดื่มเหล้าไปจิบเล็กๆ ก็ตาฉ่ำเหมือนคนเคลิบเคลิ้มเมามาย
คล้ายกำลังมองภาพภูเขาและแม่น้ำที่งดงามที่สุดในโลก
……
วันที่สอง หลี่ไหวแอบไปซื้อเหล้าดีมาไหบิดาของเขาหนึ่งกา ลากบิดาไปที่ริมทะเลสาบ นั่งยองอยู่ข้างๆ มองเขาดื่มเหล้าพลางเอ่ยกำชับเสียงเบา “เหล้ากานี้แพง ท่านพ่อเอามาดื่มก่อน ส่วนกาที่ถูกเอาไปวางไว้ในห้องแล้ว ถึงเวลากินข้าวค่อยดี ท่านแม่จะได้ไม่ตำหนิท่าน”
หลี่เอ้อร์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กระดกดื่มอย่างเต็มคราบ
ชายฉกรรจ์รู้สึกว่านี่ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าได้เลื่อนเป็นขอบเขตที่สิบมากนัก
ชายฉกรรจ์ถามซื่อๆ “คงจะแพงมากสินะ?”
เด็กชายใช้สองมือเท้าคางมองบิดาของตัวเอง ยิ้มกว้างสดใส ตอบไม่ตรงคำถาม “ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ ข้าอยู่ในสำนักศึกษาก็มีความสุขดี จริงๆ นะ พวกท่านมาเยี่ยมข้า ข้าดีใจมากเลย”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ ได้แต่ก้มหน้าดื่มเหล้าเพราะเกรงว่าน้ำตาจะไหลออกมา
เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานรีบร้อนกลับมา ดูเหมือนว่าจะลืมไปเจอกับไช่จิงเสินอีกคนหนึ่ง รอดื่มเหล้าเสร็จแล้ว คราวนี้เขาจะไม่พูดหลักการเหตุผลอะไรแล้ว อัดสักรอบก่อนค่อยว่ากัน
—–