แม้ว่าการลงมือครั้งสุดท้ายของฉีจิ้งชุนจะถูกอริยะฝ่ายต่างๆ อำพรางความลับสวรรค์ไว้อย่างรวดเร็ว แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เพียงแต่ได้เห็นจุดเริ่มต้นของศึกใหญ่ครั้งนั้น ยังสัมผัสได้ถึงท่วงทำนองของการต่อสู้ที่ยังเหลือค้างอยู่ ต่อให้กว่านางจะตระหนักได้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหลือเพียงริ้วคลื่นแผ่กระเพื่อมหลังจากคลื่นยักษ์ตีกระทบชายฝั่งผ่านไปแล้ว แต่นั่นก็ยังทำให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงตะลึงพรึงเพริดเป็นเท่าตัว ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้จิตใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงยืนหยัดในการมุ่งสู่มรรคาแห่งเต๋ามากขึ้น
ใต้หล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ยอดฝีมือยิ่งใหญ่ถึงปานนั้น เหตุใดข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงไม่เดินไปดูที่ตรงนั้นเพื่อให้เห็นกับตาตัวเอง?
นักพรตยิ้มบาง “ไม่ต้องคิดมากถึงขนาดนั้น น้ำลดหินย่อมผุดขึ้นมาเอง”
หลังจากนั้นนักพรตที่ถือว่ามีลำดับสูงอย่างถึงที่สุดในทวีปแห่งหนึ่งก็ออกเดินเชื่องช้า ใช้ความคิดอย่างสบายอุราอยู่ริมบ่อบัว
นักพรตครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุดในโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นทำไมฝนถึงตก ทำไมมนุษย์ถึงเป็นสัตว์ประเสริฐ ทำไมถึงมีข้างขึ้นข้างแรม ทำไมถึงมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เป็นต้น การที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องราวน่าเบื่อหน่ายซึ่งทุกคนเคยชินคิดว่าเป็นเรื่องปกติเหล่านี้ก็เพราะว่าหากเจ้าคุยเรื่องพวกนี้กับคนอื่น จะคุยไม่ได้นาน
เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองตามไปไกลๆ ถอนหายใจให้กับตัวเองที่สู้ไม่ได้
ไม่เกี่ยวกับความต่างด้านขอบเขต ไม่เกี่ยวกับความต่างของวัยวุฒิ
แต่อยู่ที่ว่าอาจารย์อาน้อยซึ่งยังหนุ่มแน่นผู้นั้นเดินไปบนมหามรรคาได้ไกลมากจนคนอื่นยากจะมองเห็นแผ่นหลังของเขา ดังนั้นจึงเกิดความละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้
…….
ซื้อเหล้ากาหนึ่งจากร้านขายสุราข้างทาง เว่ยจิ้นเทเหล้าส่วนหนึ่งลงในฝ่ามือ ลาขาวตัวนั้นก้มดื่มอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ชาวบ้านของที่นี่ได้พบเห็นโลกกว้างมามาก อย่าว่าแต่ลาดื่มเหล้าเลย ต่อให้ลาตัวนั้นพูดได้ พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
เว่ยจิ้นดึงมือกลับแล้วเริ่มดื่มเหล้าของตัวเอง เดินออกมาจากร้านเหล้าแล้วเขาก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย เจ้าลาเดินเอื่อยๆ ตามมาด้านหลัง
พอเดินออกมาจากเมืองที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาของสำนักโองการเทพ เว่ยจิ้นที่เห็นตัวเองเป็นคนในยุทธภพมาโดยตลอดก็ยังไม่ยอมขี่กระบี่บิน เขาดื่มเหล้าจนตัวเองเมามาย ปีนขึ้นไปนั่งโงนเงนอยู่บนหลังลา ปล่อยให้มันพาตนเดินไปตามใจชอบ
ภูเขาแม่น้ำสลับหมุนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
สุดท้ายมาถึงเฟิงหยางเมืองหลวงของแคว้นหนันเจี้ยน เว่ยจิ้นเองก็เหมือนคนทั่วไปก็ต้องส่งมอบหนังสือเดินทางหน้าประตูเมืองก่อน แล้วถึงได้เดินจูงลาเข้าไปในตัวเมือง
เว่ยจิ้นที่ทั่วร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราพยายามย้อนคิด จำได้ว่าตนมีเพื่อนในยุทธภพที่ถูกคอคนหนึ่งอยู่ในเมืองเฟิงหยาง เมื่อเจ็ดแปดปีก่อนเคยเป็นสหายร่วมเดินทางกัน ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเคยบอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของประมุขพรรคขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเฟิงหยาง เว่ยจิ้นจึงถามทางไปยังพรรคที่มีชื่อว่าจ้าววายุ เว่ยจิ้นจำได้ว่าคนผู้นั้นเคยพูดเสียดสีตัวเอง บอกว่าบรรพบุรุษของเขาช่างไม่มีความรู้ ถึงได้ไม่พิถีพิถันในตั้งชื่อพรรคเอาเสียเลย เว่ยจิ้นจึงปลอบใจเขาไปว่า ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปมีตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ใหญ่มาก สืบทอดกันมานับพันปี รากฐานลึกล้ำ เป็นผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่ง กองกำลังเทียบเคียงได้กับหนึ่งแคว้น แต่กลับถูกบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งพรรคตั้งชื่อว่าหมัดเทพไร้เทียมทาน นั่นต่างหากถึงเรียกว่าน่าสงสาร ทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลอง เทพเซียนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน เหล่าลูกศิษย์ในพรรคต่างก็ขายหน้าจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
เว่ยจิ้นเดินไปข้างหน้าช้าๆ ข้างทางมีแผงดูดวงอยู่แผงหนึ่ง เพราะกิจการซบเซา นักพรตหนุ่มสวมชุดเต๋าครอบกวานเต๋าจึงกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะพลางเอ่ยสั่งสอนเด็กขี้มูกยืดที่ถือถังหูลู่ในมือคนหนึ่งไปด้วย “โลกใบนี้เฮงซวยอย่างมาก แต่เจ้าก็ไม่ควรมองว่าคนดีที่มีน้ำใจ ยินยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบคนอื่นเป็นคนโง่เพียงเพราะสาเหตุนี้”
นักพรตเต๋าเพิ่มน้ำหนักเสียง “อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นคนโง่ รู้หรือไม่?”
เด็กชายสีหน้าไร้อารมณ์สูดน้ำมูก น้ำมูกที่เหมือนมังกรเขียวสองตัวออกจากถ้ำจึงหดกลับเข้าไปในถ้ำเกินครึ่งตัว จากนั้นเขาก็เลียถังหูลู่หนึ่งที
นักพรตเริ่มร้อนใจ “พูดเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ มัวกินถังหูลู่อะไรอยู่”
เด็กชายยังคงไม่สะทกสะท้าน เอียงศีรษะกินถังหูลู่ของตัวเองต่อไป
นักพรตหนุ่มเอ่ยด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยความหวังดี “เฮ้อ เจ้าลูกหมาคนนี้นี่นะ ไม่มีสติปัญญาบ้างเสียเลย นักพรตผู้ต่ำต้อยอุตส่าห์พยากรณ์ให้เจ้าด้วยความหวังดี คำทำนายก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าเกิดมาเป็นคู่สร้างคู่สมกับแม่นางน้อยข้างบ้าน นักพรตผู้ต่ำต้อยไม่เก็บเงินเจ้า นี่ยังไม่ถือว่ามีคุณธรรมอีกหรือ? ทำไมเจ้าไม่รู้จักซาบซึ้งบุญคุณเสียบ้าง? แค่ถังหูลู่ไม้เดียวเท่านั้น จะมีค่าสักกี่อีแปะกันเชียว? เมียในอนาคตยังสู้ไม่ได้เลยหรือ?”
จู่ๆ เด็กชายที่ทำหน้าทึ่มทื่อมาตลอดเวลากลับหัวเราะคิกๆ “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง”
จากนั้นเด็กชายก็หมุนตัวกลับแล้วกระโดดเด้งซ้ายเด้งขวาจากไป ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “กินถังหูลู่อร่อยจังเลย”
นักพรตหนุ่มตบโต๊ะอารมณ์เสีย “โลกหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ใจคนก็ไม่บริสุทธิ์ดังเดิม!”
เว่ยจิ้นเดินยิ้มผ่านไป แล้วทันใดนั้นเขาก็พลันหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมา ย้อนนึกถึงเครื่องแต่งกายของนักพรตหมอดูคนนั้นรอบหนึ่งแล้วเว่ยจิ้นก็เกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้
ทว่านักพรตผู้นั้นกลับเปิดปากพูดยิ้มๆ ขึ้นมาเสียก่อน “ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน ไยไม่มาพบหน้ากันเล่า?”
เว่ยจิ้นจูงลาเดินจากไป
นักพรตหนุ่มพูดน่าสงสาร “ชีวิตลำบากยากแค้น เหตุใดคนของแคว้นหนันเจี้ยนถึงได้แปลกประหลาดกันอย่างนี้? ประเพณีนิยมก็ไม่บริสุทธิ์เรียบง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว!”
เขานั่งกลับลงไปบนม้านั่งอย่างขุ่นเคือง อาบแดดเฝ้ากระบอกเซียมซีบนโต๊ะ มือทั้งคู่ซ้อนกันไว้ที่ท้ายทอย โยกลำคอไปข้างหน้าทีข้างหลังทีจนกวานบนศีรษะไหวโยนตามไปด้วย พึมพำกับตัวเองเบาๆ “น่าเบื่อ น่าเบื่อจริงๆ”
มีสตรีสาวหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปลุกความกล้าให้ตัวเองได้แล้วก็ถามว่า “ท่านนักพรต ช่วยทำนายดวงเนื้อคู่ได้หรือไม่?”
นักพรตหนุ่มรีบนั่งตัวตรง “ย่อมได้อยู่แล้ว หากไม่ใช่เซียมซีดีไม่รับเงิน!”
เด็กสาวที่งดงามด้วยวัยสาวอึ้งตะลึง จากนั้นก็หันตัวเดินกลับหลัง ในใจคิดว่านี่มันหลอกลวงกันชัดๆ ไม่ใช่หรือ ต้องเป็นพวกนักต้มตุ๋นหน้าไม่อายในยุทธภพแน่นอน คิดแล้วก็คงจะใช่ นักพรตของแคว้นหนันเจี้ยนเรา ไหนเลยจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ ตนไม่ควรเห็นแก่ของถูก เรื่องแต่งงานสำคัญอย่างมาก ควรจะไปหานักพรตดูดวงที่แท้จริงที่ตรอกผิงเฟิงจะดีกว่า ราคาอาจจะแพงสักหน่อย แต่ก็คงดีกว่าถูกหลอก จากนั้นนางก็รู้สึกขัดใจเล็กน้อย เพราะอันที่จริงนักต้มตุ๋นคนนั้นหล่อมากเลยทีเดียว ทำไมถึงเป็นคนไม่ดีไปได้นะ?
นักพรตหนุ่มใช้สองมือขยี้ใบหน้าแรงๆ พูดเสียงห่อเหี่ยว “ชีวิตนี้หมดสิ้นแล้ว คนเราเมื่อแก่โทรม โชควาสนาก็ถดถอย ต่อให้ในอดีตเคยเป็นวีรบุรุษก็ยังไม่อาจได้ทุกอย่างสมใจปรารถนา กรรมตามสนองนั้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย”
สุดท้ายนักพรตหนุ่มถอนหายใจ “วิญญูชนที่ดีสามารถใช้เหตุผลที่เหมาะสมมาหลอกลวงคนอื่น ในเมื่อเจ้าเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยย่อมไม่รังแกกันมากเกินไป”
บ่นไปก็เก็บแผงไปด้วย นักพรตหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับงานในมือพูดกับตัวเองในใจ “ภูเขาสูงแม่น้ำไหลยาว ถ้าอย่างนั้นพวกเราไว้พบกันใหม่?”
เพียงแต่ว่าไม่นานเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธความคิดนี้ “ยาก”
……
ชายแดนทางทิศใต้ของต้าหลี ลมหิมะพัดหวีดหวิว หนึ่งเด็กโตสองเด็กเล็กเดินอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอย่างยากลำบาก เพื่อประคองให้การเดินนิ่งสำเร็จในรวดเดียว การหายใจของเขาจึงยิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่หายใจเหมือนมีมีดจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด จนสีหน้าของเฉินผิงอันเขียวคล้ำทุกขณะ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่แบกหีบหนังสือใบใหญ่เอ่ยถาม “นายท่าน ระวังจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามนะ ในตำราบอกว่ายิ่งเร่งรีบยิ่งช้า วันนี้นายท่านใช้เวลาเดินนิ่งนานกว่าปกติมากแล้ว”
เฉินผิงอันแค่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร หาไม่แล้วลมปราณที่เก็บสะสมมาเฮือกนั้นจะสลายหายไปสิ้น
เด็กชายชุดเขียวที่จงใจเดินรั้งท้ายตะโกนขึ้นมาว่า “เด็กโง่”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันกลับไปมอง เห็นเขาโบกมือให้ตน แถมยังแอบทำมือบอกให้เงียบเสียงด้วย
เดิมทีนางไม่คิดจะสนใจ แต่เด็กชายชุดเขียวถลึงตาดุดันใส่ ทำเอานางตกใจจำต้องชะลอฝีเท้าลง และไม่นานก็กลายเป็นว่าพวกเขาสองคนเดินเคียงบ่ากัน
เด็กชายชุดเขียวสีหน้ามืดทะมึน ไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเลยต้องเงียบตามไปด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้ายอมรับผิดกับนายท่านดีไหม?”
เด็กชายชุดเขียวเต้นผาง ไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้ง แต่ก็ไม่ลืมกดเสียงให้เบา “ยอมรับผิด?! น้ำของแม่น้ำทั้งสายไหลเข้าไปในสมองงูหลามไฟโง่ๆ ของเจ้าแล้วหรือไง?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก
เด็กชายชุดเขียวลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าว่านายท่านจะจดจำความแค้น เลยคลางแคลงใจในตัวข้าหรือไม่?
นางส่ายหน้า “นายท่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก”
เขาทำหน้าไม่เชื่อถือ “จริงรึ?”
“จริง!”
ตอนแรกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยังเต็มไปด้วยความมาดมั่น แต่แปบเดียวก็แอบเติมอีกสองคำ “กระมัง?”
เด็กชายชุดเขียวโมโหมาก แผ่กลิ่นอายของความฉุนเฉียวออกมาจากทั่วร่าง ใจอยากจะเผยร่างจริงแล้วพุ่งชนผนังภูเขาสองด้านให้แหลกเป็นจุล แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟัน เค้นรอยยิ้มแข็งทื่อออกมา “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปโขกหัวยอมรับผิดกับนายท่าน!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูทำหน้างง “อะไรนะ?”
แต่ไปได้ไม่นานเด็กชายชุดเขียวก็กลับมาด้วยสีหน้าหงอยซึม
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”
เด็กชายชุดเขียวพยายามข่มกลั้นไฟโทสะที่สุมแน่นอยู่เต็มอก “เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”
สุดท้ายเขานั่งแปะลงไปบนพื้น พูดหน้าตาห่อเหี่ยว “นายท่านถึงขนาดไม่กล้าเปิดปาก ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เจ้าว่ามันน่าโมโหมั้ยล่ะ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมองแผ่นหลังที่เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ค่อยหันกลับมามองเด็กชายชุดเขียวที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วนางก็ทรุดตัวลงนั่งยอง “ข้าพอจะรู้ความคิดของนายท่านอยู่บ้าง เจ้าอยากฟังหรือไม่? หากไม่อยาก ข้าก็จะไม่พูด แต่หากเจ้าอยากฟังก็ต้องรับปากว่า ฟังแล้วจะไม่โกรธ แล้วก็ห้ามกินข้าด้วย!”
เด็กชายชุดเขียวตอบรับอย่างหงุดหงิดเพราะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้น “รับปาก รับปากทุกเรื่องเลย เจ้าพูดมาเถอะ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแอบฟ้องเด็กชายชุดเขียวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากความตั้งใจเดิมของเจ้าคือทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นรู้ว่าการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้นไม่ง่าย ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ถูกแล้ว ไม่แน่ว่านายท่านอาจจะเต็มใจขอโทษเจ้าด้วยซ้ำ แต่หากเจตนาของเจ้าเป็นเพียงแค่เพราะรู้สึกว่ามันสนุกจึงพูดจาทำร้ายจิตใจคน ต่อให้สุดท้ายแล้วเรื่องที่เจ้าทำไปเป็นเรื่องดี แต่นายท่านก็ยังคงรู้สึกว่า…ไม่ถูกต้อง เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดเหลวไหลของข้าเอง อาจจะไม่ถูกต้อง อาจจะไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงของนายท่านเสมอไป อันที่จริงข้ารู้สึกว่าทางที่ดีที่สุดเจ้าควรคุยกับนายท่านเอง”
เด็กชายชุดเขียวฟังแล้วก็อึ้งงัน จากนั้นพึมพำว่า “แน่นอนว่าข้าต้องรู้สึกสนุกอยู่แล้ว วันหน้าเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นหรือตายแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูระอาใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รู้จะช่วยเจ้ายังไงแล้ว”
เด็กชายชุดเขียวพลันถาม “แล้วเจ้ารู้สึกว่าข้าผิดหรือไม่?”
นางทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เขาแค่นเสียงเย็น “พูดมาตามตรง!”
นางขยับเปลี่ยนทิศทาง หันหีบหนังสือใบเล็กไปหานายท่านของตัวเอง ส่วนตัวนางหลบอยู่ด้านหลังหีบหนังสือราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะสามารถพูดตามความจริงได้อย่างสบายใจ “ข้ารู้สึกว่า นายท่านไม่ผิดแน่นนอน แต่เจ้าเองก็ไม่ต้องสนใจความคิดของนายท่านมากเกินไป เพราะอันที่จริงนายท่านเองก็ไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะสนใจความคิดของเขาหรือไม่ หากคิดแบบนี้ได้ เรื่องราวก็จะง่ายดายมากขึ้น”
เด็กชายชุดเขียวคิดตามแล้วพยักหน้ารับ “พูดต่อสิ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง “อีกอย่าง พวกเราต่างก็เป็นผู้ฝึกตน ขอบเขตยังสูงกว่านายท่านมาก หากเจ้าฝึกตนได้เร็วกว่าดีกว่า ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งนายท่านอาจจะรู้สึกว่าตัวเองผิด เพราะอย่างไรซะนายท่านก็เคยบอกกับข้าเองว่า หากมีเรื่องใดที่เขาทำไม่ถูกต้อง เราต้องบอกเขาตามตรง นายท่านไม่ได้คิดว่าเหตุผลของเขาจะต้องถูกต้องตลอดกาล นี่ก็คือนิสัยของนายท่านที่ข้าชอบมากที่สุด!”
พูดมาถึงช่วงสุดท้าย สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ของความชอบใจ
เด็กชายชุดเขียวค้อนตาคว่ำใส่นาง “ข้าบอกกับเจ้าตั้งนานแล้วว่า การฝึกตนอาศัยพรสวรรค์ ไม่ได้อาศัยความขยัน”
“อีกล่ะ มิน่าเล่านายท่านถึงได้ไม่ชอบเจ้า” เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูลุกขึ้นยืน สาวเท้าเร็วๆ ไล่ตามเฉินผิงอันไป
เด็กชายชุดเขียวยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เพียงไม่นานหิมะลูกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น เขาจับมันยัดเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆ อย่างใส่อารมณ์
เขาเดินพลางครุ่นคิดไปด้วย
ทั้งอยากจะต่อยให้นายท่านที่ยังเป็นเด็กหนุ่มซึ่งน่าเบื่ออย่างถึงที่สุดผู้นั้นตายไปด้วยหมัดเดียว เอาให้จบสิ้นกันไป ผิดแล้วก็ผิดให้ถึงที่สุด
แต่ขณะเดียวกันก็อยากจะละเมิดต่อความตั้งใจเดิมของตนด้วยการก้มหน้ายอมรับผิด แต่เขาไม่อาจเปิดปากได้ ด้วยไม่เต็มใจจะกลายเป็นคนน่าเบื่อเหมือนกับเจ้าเด็กบ้านนอกผู้นั้น
เขาอดหันหน้ากลับไปมองด้านหลังไม่ได้
เด็กชายชุดเขียวคิดถึงบ้านเกิดของตัวเองแล้ว
อยู่ที่นี่ รวมตนเข้าไปด้วยก็ยังมีแค่สามคนเดียวดาย เขาไม่มีเพื่อนที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันแม้แต่คนเดียว
ที่บ้านเกิดยังมีเหล้าถ้วยใหญ่ให้ดื่ม มีเนื้อก้อนใหญ่ให้กิน ที่นั่นมีสหายนั่งกันเต็มห้องโถง มีบุญคุณตอบแทนบุญคุณ มีความแค้นชำระแค้น
ที่นั่นไม่มีการแบ่งผิดถูก ไม่มีหลักการเฮงซวยของคนชั่ว ไม่มีนายท่านที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี ทำให้เขาหมดสนุก
—–