ตอนที่เฉินผิงอันกลับไปถึงบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกำลังถือไม้กวาดกวาดลานบ้าน เด็กชายชุดเขียวนอนฟุบอยู่บนขอบอ่างน้ำ กำลังอ้าปากกว้างใส่ผิวน้ำ ยังอยู่ห่างอีกสองจั้ง แต่กลับมีสายน้ำไหลทวนขึ้นมาข้างบนแล้วถูกเด็กชายชุดเขียวสูบเข้าไปในปาก ภาพนี้ไม่ต่างจากมังกรสูบน้ำ
เฉินผิงอันนั่งลงบนธรณีประตู เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเห็นว่านายท่านของตัวเองดูแปลกไป จึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไรที่เป็นการรบกวนอย่างคนเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี อันที่จริงลานบ้านถูกหร่วนซิ่วทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้านมากแล้ว เพียงแต่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกว่าหากไม่ทำอะไรสักหน่อย จิตใจก็ยากที่จะสงบ จะรู้สึกผิดต่อนายท่านที่มอบหินดีงูให้ตนอย่างใจกว้าง
เฉินผิงอันใจลอยไปไกล แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องของซ่งจี๋ซินที่ชุยตงซานเคยพูดถึงขึ้นมาได้จึงลุกขึ้นยืน หยิบกุญแจบ้านพวงที่ซ่งจี๋ซินแอบโยนทิ้งไว้ในลานบ้านของตนก่อนจะออกไปจากเมืองเล็ก วิ่งไปเปิดประตูหน้าบ้านและประตูบ้านของบ้านที่อยู่ติดกัน แล้วก็เห็นว่าบนโต๊ะมีหนังสือสามเล่มวางเรียงซ้อนกันไว้ได้แก่หนังสือ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ‘หลี่เยว่’ และ ‘กวานจื่อ’
เฉินผิงอันยกเก้าอี้มานั่งแล้วเปิดหนังสือ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ออกอ่าน
ช่วงครึ่งหลังของการเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อมีชุยตงซานมาร่วมเดินทาง จึงมักจะได้ยินเขาท่องตำราอยู่เป็นประจำ และนั่นถึงทำให้เฉินผิงอันได้รู้ถึงความไม่ธรรมดาของ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ หากอ่านแค่ชื่ออย่างผิวเผิน อาจจะรู้สึกว่านี่คือหนังสือที่มี ‘ความรู้น้อยมาก’ แต่ฟังจากคำพูดของชุยตงซานเวลาที่พูดคุยกัน สำหรับในโรงเรียนและในบรรดาอาจารย์ผู้สอนหนังสือบนโลกมนุษย์ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ไม่มีทางถูกมองเป็นตำราสำหรับเด็กประถมวัยแน่นอน คาดว่าคงมีแค่อาจารย์ฉีเท่านั้นที่สามารถนำความคิดและสติปัญญาของปราชญ์เมธีที่ลึกซึ้งยากจะทำความเข้าใจมาถ่ายทอดด้วยภาษาง่ายๆ เป็นเหตุให้พวกหลี่เป่าผิงไม่เคยรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’
เฉินผิงอันไม่ได้เอาหนังสือทั้งสามเล่มกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษของตน หลังเปิดอ่าน ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ไปได้สิบกว่าหน้าก็รู้สึกว่าด้วยความรู้เท่าหางอึ่งของเขา แค่จะเข้าใจอย่างครึ่งๆ กลางๆ ยังเป็นไปไม่ได้ หากจะให้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกมึนงงหัวโต เหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ไม่มีที่ให้หยัดยืน
เฉินผิงอันจึงได้แต่ปิดหนังสือ หยิบตัวอ่อนกระบี่สีเงินก้อนนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ กำไว้ในฝ่ามือเบาๆ แล้วนั่งเหม่อเหมือนตอนนั่งอยู่บนธรณีประตูบ้านตัวเองก่อนหน้านี้
สองครั้งที่เดินผ่านสะพานหินโค้ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ลางสังหรณ์ทำให้เฉินผิงอันตระหนักได้ว่านางจะหายตัวไปเป็นเวลาหกสิบปีเต็มเพื่อลับคมกระบี่กับแท่นสังหารมังกรครึ่งก้อนนั้นให้คมกริบจริงๆ ส่วนข้อที่ว่าแท่นสังหารมังกรถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนตั้งแต่แรก โดยต้องแบ่งให้กับกองกำลังสามฝ่ายอย่างหร่วนฉง ศาลลมหิมะและเขาเจินอู่ การที่นางทำแบบนี้ จะสร้างปัญหาหรือไม่ เฉินผิงอันไม่อาจคาดการณ์ได้ และยิ่งไม่สามารถยื่นมือเข้าแทรก
ค่ำคืนที่มีพายุหิมะในฤดูหนาวของปีนั้น มีเด็กสาวเป็นลมหมดสติอยู่หน้าบ้านของตน เฉินผิงอันช่วยนางเอาไว้ สุดท้ายนางกลับกลายไปเป็นสาวใช้ของซ่งจี๋ซิน เปลี่ยนชื่อจากหวังจูเป็นจื้อกุย สุดท้ายยังเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับซ่งจี๋ซินที่ตัวตนแท้จริงคือองค์ชายต้าหลี
ที่ว่าการของผู้ตรวจการงานเตาเผา กรอบป้าย ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ หน้าสะพาน บ่อโซ่เหล็กที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น ต้นไหวโบราณที่ทุกใบล้วนมีการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษ สุสานเทพเซียน ภูเขาเครื่องปั้นเก่าแก่…
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงงูเจ้าที่และมังกรข้ามแม่น้ำทั้งหลายที่อยู่ในเมืองเล็ก
ยุ่งเหยิงวุ่นวาย
มิน่าเล่าหยางเหล่าโถวถึงบอกว่า ต้องมีสักวันที่เจ้าเฉินผิงอันจะค้นพบว่าเมืองเล็กแห่งนี้ใหญ่มากแค่ไหน
นึกถึงผู้เฒ่าร้านยาที่ยึดคติการซื้อขายอย่างยุติธรรมผู้นั้น สีหน้าของเฉินผิงอันก็หมองลง พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หนึ่งที กำตัวอ่อนกระบี่ที่อยู่ในฝ่ามือแน่นโดยไม่รู้ตัว หลังลุกขึ้นยืนก็เก็บตัวอ่อนกระบี่ไว้ในกระเป๋าตรงชายแขนเสื้อ เดินออกไปจากบ้านที่ซ่งจี๋ซินทอดทิ้งแล้วหลังนี้ ตอนที่กลับมาถึงบ้านของตัวเอง เฉินผิงอันมอบกุญแจบ้านของหลิวเสี้ยนหยางให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู บอกให้พวกเขาสองคนย้ายไปอยู่ที่นั่น เพราะอย่างไรซะบ้านที่ตรอกหนีผิงหลังนี้ก็คับแคบเกินไป
เด็กชายชุดเขียวยังดื่มน้ำบ่อไม่อิ่ม จึงลุกขึ้นจากอ่างน้ำอย่างอิดออด แล้วจู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามว่า “นายท่าน ท่านไม่ได้เอาหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งแลกกับขวดเฮง…ขวดมหัศจรรย์เหล่านั้นของข้าหรอกหรือ ในเมื่อท่านสนิทสนมกับแม่นางหร่วนขนาดนี้ ทำไมไม่มอบขวดเมฆหมอก ขวดแสงจันทร์ให้นางเป็นของขวัญเล่า? นายท่าน ด้วยประสบการณ์ที่ผงาดอยู่ในยุทธภพอย่างโชกโชนมาหลายร้อยปีของข้า สตรีใต้หล้านี้ ไม่ว่าจะมีสถานะสูงส่งแค่ไหนก็ล้วนชอบของฉูดฉาดสวยงามกันทั้งนั้น จะไม่ดีกว่าแผ่นไม้ไผ่ผุๆ แผ่นหนึ่งหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกๆ อย่างเจ้าเล่ห์ “ทำไม หรือนายท่านตัดใจยกขวดวิเศษเหล่านั้นให้หร่วนซิ่วไม่ลง? ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอแนะนำนายท่านสักสองสามคำ หร่วนซิ่วเป็นถึงบุตรสาวโทนของอริยะสำนักการทหาร ต่อให้นายท่านมอบขวดหนึ่งหมื่นใบให้นางจนหมดตัว ก็ยังเป็นการค้าที่ได้กำไรอยู่ดี!”
เฉินผิงอันที่ช่วยจับหีบหนังสือให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะพายดีๆ ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ามองไม่ออกรึว่าช่างหร่วนไม่ชอบข้า?”
เด็กชายชุดเขียวย้อนนึกถึงสถานการณ์ตอนนั้นอย่างละเอียด ดูเหมือนว่านายท่านอริยะหน้าบูดผู้นั้นจะปฏิบัติต่อเฉินผิงอันอย่างไม่ร้อนไม่หนาวจริงๆ เด็กชายชุดเขียวจึงรีบช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้ทันที “เขาตาบอดหรือไง ถึงได้มองไม่เห็นว่าอนาคตของนายท่านปูด้วยผ้าแพร นายท่านอย่าโมโหเลยนะ โมโหแล้วไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่คุ้มกัน…”
แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าหร่วนฉงคือเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้ เมื่อเขาอยู่ที่นี่ก็เหมือนฮ่องเต้ที่นั่งบนบัลลังก์มังกร สถานที่แห่งนี้ก็ย่อมต้องเป็นผืนแผ่นดินของฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงครอบครองวิชาอภินิหารมากมายที่ผู้อื่นมิอาจจินตนาการได้ถึง เด็กชายชุดเขียวรีบตบบ้องหูตัวเอง “คำพูดของเด็กไม่ควรถือสา คำพูดของเด็กไม่ควรถือสา นายท่านอริยะงีบหลับ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น หากได้ยินก็โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองเลยนะ…”
เด็กชายชุดเขียวถามอีก “แต่จะมอบขวดให้กับหร่วนซิ่วหรือไม่ แล้วเกี่ยวอะไรกับอริยะหร่วนชอบหรือไม่ชอบนายท่านด้วยเล่า?”
เฉินผิงอันอธิบายง่ายๆ “หากข้ามอบขวดให้นางก็ต้องมอบให้ทั้งหมด ถึงเวลานั้นแม่นางหร่วนหอบขวดมากมายกลับบ้าน เป็นไปได้มากว่าช่างหร่วนจะพบเข้า แบบนั้นมีแต่จะยิ่งทำให้เขาเกลียดขี้หน้าข้ามากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นเข้าใจผิดคิดว่าข้าคิดไม่ซื่อ อีกอย่างถ้าแม่นางหร่วนทะเลาะกับบิดานาง ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องดี”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้ารับอย่างกระจ่างแจ้ง “นายท่านคิดได้รอบคอบยิ่งนัก”
ใบหน้าของเด็กชายชุดเขียวเต็มไปด้วยความตกตะลึง “นายท่าน อะไรที่เรียกว่าเข้าใจผิดคิดว่าท่านคิดไม่ซื่อ ก็เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือว่าท่านคิดไม่ซื่อกับหร่วนซิ่วจริงๆ?”
“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า!”
เฉินผิงอันตบเข้าที่ท้ายทอยเด็กชายชุดเขียว ทำเอาเขาเซคะมำออกไปนอกธรณีประตู เด็กชายชุดเขียวจึงถือโอกาสวิ่งไปที่ลานบ้าน ยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านแล้วหันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่ “นายท่านอย่าได้คิดฆ่าคนปิดปากเชียว ข้ารับรองว่าจะปิดปากให้แน่นสนิทเหมือนปิดปากขวด สนิทยิ่งกว่าคำว่าผิง (ผิงแปลว่าขวดหรือแจกัน) ของหลี่เป่าผิง สนิทยิ่งกว่าปากขวดของขวดเร่าเหลียงเสียอีก!”
เฉินผิงอันยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกไม่มีหน้าไปพบผู้คนแล้ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมองไปทางตรอกหนีผิงนอกประตูบ้าน แล้วก็เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์ ครั้งแรกคือตอนที่ได้สัมผัสกับปราณวิญญาณอันเปี่ยมล้นของเขตการปกครองหลงเฉวียน ครั้งที่สองคือได้เห็นคุณสมบัติแห่งขุนเขาที่ซุกซ่อนอยู่ในภูเขาลั่วพั่วลูกนั้น ครั้งที่สามคือตอนได้พบกับเว่ยป้อผู้หล่อเหลาสง่างาม ครั้งที่สี่ก็คือได้เห็นเรือนไม้ไผ่งดงามที่สามารถรวบรวมโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำ
ตอนนี้คือครั้งที่ห้า สิ่งที่ปรากฎในคลองจักษุของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคือบัณฑิตผู้มีชีวิตชีวาคนหนึ่งที่ร่างเหมือนจะลอยได้ เขายืนอยู่ในตรอกเล็กที่มืดสลัว ภาพเหตุการณ์นี้จึงเหมือนนางกำลังมองดวงตะวันที่โผล่พ้นจากขอบฟ้า
บุรุษชุดเขียวคนนั้นยิ้มตาหยีถามว่า “เป่าผิงของข้าทำไมหรือ?”
ร่างของเด็กชายชุดเขียวแข็งเกร็งทันที หันหน้ากลับไปมองอย่างแข็งทื่อ พอเห็นว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาก็กวาดตามองซ้ายมองขวา ไม่เห็นคนอื่นอีก ในใจพลันบังเกิดความสงสัย เพราะเมื่อลองดูองค์ประกอบทุกอย่างถี่ถ้วนแล้ว บัณฑิตคนในท้องที่ตรงหน้าผู้นี้ไม่เห็นมีอะไรที่มหัศจรรย์เลยนี่นา
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาแรงๆ งูหลามไฟที่เติบโตมาในหอหนังสือของสกุลเฉาจือหลันค้นพบว่าประกายรัศมีเรืองรองทั้งหมดคล้ายจะหายไปจากร่างบัณฑิตผู้นี้ในฉับพลัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นแค่บุรุษในท้องที่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
เด็กชายชุดเขียวเรียนรู้จากความผิดพลาดมาก่อนแล้ว ต่อให้มองความพิเศษอะไรจากชายหนุ่มไม่ออกก็ยังไม่พูดจาเรื่อยเปื่อยเหลวไหล เพียงหัวเราะคิกๆ แกล้งโง่ “หลี่เป่าผิงเป็นเพื่อนดีที่สนิทสนมกับนายท่านข้า ดังนั้นข้าจึงเลื่อมใสชื่นชมแม่นางน้อยคนนั้นมาก ไม่ทราบว่าเจ้าคือ?”
“พี่ใหญ่หลี่ ท่านมาได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันเดินมาที่หน้าประตูบ้าน เป็นคนเปิดเผยปริศนาเสียอีก ด้วยเกรงว่าเด็กชายชุดเขียวจะก่อเรื่องอะไรอีก
หลี่ซีเซิ่งกล่าวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้าลืมบอกไปว่า ตำแหน่งว่างเปล่าหลายแห่งในหนังสือที่มอบให้เจ้าก่อนหน้านั้นมีคำอธิบายและคำถามที่ข้าเขียนไว้ ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกดำเป็นการทำความเข้าใจของข้าเอง ส่วนตัวอักษรหมึกแดงเป็นคำถามที่ข้าหวังว่าจะได้สอบถามจากนักปราชญ์ต่อหน้า ที่ข้ามาก็เพราะอยากบอกเจ้าว่า เจ้าอย่าเพิ่งไปสนใจตัวอักษรพวกนั้น หากไม่อ่านได้เป็นการดี หากอ่านไปแล้วก็ปล่อยผ่านไป อย่าได้เอาความคิดของข้าไปทำให้เจ้าเข้าใจความหมายดั้งเดิมของหนังสือผิดเด็ดขาด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะจำไว้”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มแล้วหันไปมองเด็กชายชุดเขียว เอ่ยเสียงเบา “ล้อกันเล่นนั้นไม่เป็นไร แต่ต้องจำไว้ว่าพูดมากไปอาจนำมาซึ่งผลเสีย ตัวอักษรแต่ละคำบนโลกใบนี้ล้วนมีพลัง ตัวอักษรประกอบกันเป็นวลี วลีรวมกันเป็นประโยค ประโยครวมกันเป็นบทความ มหามรรคาซ่อนอยู่ในนี้”
เด็กชายชุดเขียวแหงนหน้าจ้องมองบัณฑิตที่จู่ๆ ก็โผล่มาตาไม่กะพริบ ในหัวสมองมีแต่คำเย้ยหยันเหยียดหยาม เพียงแค่เพราะเขาข่มกลั้นเอาไว้ด้วยความทรมาน คำเหล่านั้นจึงไม่ได้หลุดออกไปจากปากก็เท่านั้น หากไม่เป็นเพราะเพิ่งจะได้บทเรียนจากร้านตีเหล็กมาหมาดๆ เด็กชายชุดเขียวก็อยากจะเปิดปากถามนักว่าในเมื่อเจ้าชอบสั่งสอนคนอื่นขนาดนี้ ทำไมไม่ไปเป็นอริยะในสำนักศึกษา ในสถาบันศึกษาของลัทธิขงจื๊อเสียเลยล่ะ?
ราวกับว่าหลี่ซีเซิ่งมองทะลุความคิดของเด็กชายชุดเขียวได้ในปราดเดียว หรืออาจถึงขั้นได้ยินเสียงในหัวใจเขาด้วยซ้ำ จึงยิ้มอ่อนโยนและอธิบายอย่างอดทน “ลัทธิพุทธมีคำกล่าวถึงลำดับขั้นตอน ลัทธิเต๋ามีคำอธิบายถึงการเดินไปบนบันไดสวรรค์ทีละก้าว เดินไปบนสะพานอมตะทีละขั้น ลัทธิขงจื๊อของพวกเราก็มีกฎการทำตามขั้นตอน ค่อยๆ พัฒนาไปเบื้องหน้า ดังนั้นข้าต้องเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ก่อน ส่วนเรื่องที่ว่าวันหน้าจะได้เป็นอริยะของลัทธิขงจื๊อหรือไม่นั้น ยังห่างไกลเกินไป มิกล้าวาดฝันเกินตัว”
เด็กชายชุดเขียวเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง ไม่กล้ามองบัณฑิตคนนั้นอีก รีบหันหน้ากลับมามองเฉินผิงอันอย่างขอความช่วยเหลือ สีหน้าของเขาเศร้ารันทดราวกับว่าไม่เหลืออะไรในชีวิตให้ต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ถึงขนาดไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
เหมือนกำลังฟ้องนายท่านของตัวเองว่า เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว คนท่าทางธรรมดาคนหนึ่งเดินมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่กลับเป็นถึงอริยะสำนักการทหาร คราวนี้คนธรรมดาคนหนึ่งมายืนอยู่ในตรอกก็ดันกลายมาเป็นวิญญูชน? นักปราชญ์? ที่สามารถมองความคิดของตนออก
ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าจะมีคนธรรมดาคนหนึ่งเดินมาต่อยตนให้ตายด้วยหมัดเดียวหรือเปล่า?
————————–