เฉินผิงอันวิ่งเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายหลี่ซีเซิ่งแล้วถามอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบาง “ทะเลาะกับคนอื่นครั้งแรกก็เจอกับผู้ฝึกกระบี่เลย อันที่จริงในใจก็ตระหนกอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานับว่าไม่เลว”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ตัวอ่อนกระบี่ที่มีลักษณะเป็นก้อนเงินซึ่งอยู่ในชายแขนเสื้อเขาก้อนนั้นกลับมานิ่งสงบดังเดิม หลังจากเฉาจวิ้นจากไป มันก็ไม่สั่นสะท้านแผ่ความร้อนแผดเผาอีก
เด็กชายชุดเขียวพลันกระโจนพรวดเข้ามากอดขาของเฉินผิงอัน “น่ากลัวเกินไปแล้วๆ! เดาไม่ผิดเลยสักนิดเดียว แค่เดินอยู่บนทางโดยไม่ระวังก็จะถูกคนตีตายแล้ว เมืองเล็กนี้อยู่ต่อไม่ได้ อยู่ต่อไม่ได้เด็ดขาด นายท่าน ท่านโปรดเมตตาปล่อยข้าไปฝึกตนที่ภูเขาลั่วพั่วเถอะ ข้ารับรอง ข้าสาบานว่านับแต่วันนี้ไปจะต้องตั้งใจฝึกตนทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุดพัก อย่าว่าแต่กินเมฆดื่มน้ำค้างเลย ต่อให้ต้องกินรากหญ้าเคี้ยวดินโคลนอยู่ในภูเขาลั่วพั่ว ข้าก็ยินดี!”
หลี่ซีเซิ่งหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงรีบพูดปลอบใจ “คนอย่างเฉาจวิ้นมีน้อยมาก แม้ข้าจะไม่เคยเดินออกไปจากเมืองเล็ก แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่า บุคคลที่ตบะสูงและนิสัยประหลาดอย่างเฉาจวิ้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นเกินไป”
เด็กชายชุดเขียวไม่ได้สนใจหลี่ซีเซิ่ง เอาแต่ขอร้องวิงวอนเฉินผิงอันไม่หยุด พอถูกเฉินผิงอันผลักหัวออกมาก็เปลี่ยนมาเป็นกอดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้แน่น แล้วทิ้งร่างเอนไปด้านหลัง ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยให้เฉินผิงอันเดินหน้าต่อ “นายท่าน ขอท่านโปรดเมตตา ขอร้องท่านล่ะ! หรือให้ข้าคืนหินดีงูธรรมดาให้ท่านหนึ่งก้อน ดีไหม?! นายท่าน ท่านรู้หรือไม่ ข้าเป็นคนขี้ขลาดมาก เวลาเดินทางตอนกลางคืนขาสองข้างยังสั่นพั่บๆ แล้วนี่เป็นไง? เราเพิ่งมาถึงเมืองเล็กนานแค่ไหนกันเชียว? พวกเราแค่เดินออกจากบ้าน ปราณกระบี่ก็บินสวบๆๆ อุตลุดไปหมด ข้ากลัวจริงๆ นะ…”
เฉินผิงอันได้แต่หยุดเดิน กล่าวอย่างจนใจ “เจ้าจำทางไปภูเขาลั่วพั่วได้งั้นรึ?”
เด็กชายชุดเขียวน้ำหูน้ำตาไหลพราก ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างหาได้ยาก “นายท่าน จนป่านนี้แล้ว ต่อให้ข้าจำไม่ได้ก็ต้องแกล้งทำเป็นจำได้อยู่ดี”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเอ่ยเบาๆ “นายท่าน ข้าจำทางได้”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “งั้นพวกเจ้าก็ไปพักอยู่ที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วชั่วคราวก่อนแล้วกัน แต่ต้องรับปากกับข้าว่าจะไม่ก่อเรื่อง ข้าจะรีบทำธุระทางนี้ให้เสร็จแล้วไปดูพวกเจ้าทันที ก่อนปีใหม่จะต้องไปภูเขาลั่วพั่วรอบหนึ่งให้ได้”
เด็กชายชุดเขียวโค้งตัวต่ำ “นายท่านช่างปราดเปรื่อง!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพูดเสียงแผ่ว “นายท่าน ข้าพาเขาไปส่งแล้วจะรีบกลับมา”
เฉินผิงอันยิ้ม “ไม่ต้อง เรือนไม้ไผ่เหมาะกับการฝึกตน เจ้าก็อยู่บนภูเขากับเขาด้วยนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวเขา หากเขากล้าผิดคำสัญญา แอบรังแกเจ้า ถึงเวลานั้นข้าจะเป็นคนจัดการเขาเอง”
เด็กชายชุดเขียวกระทืบเท้า “นายท่าน นังเด็กโง่ พวกท่านสองคนช่วยเห็นแก่ความดีของข้าบ้างได้ไหม? ข้าเป็นคนพูดจาไม่รักษาคำพูดหรือไง? ตลอดทั้งราชสำนักแคว้นหวงถิง ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเทพวารีอวี้เจี้ยนมีสหายที่รักษาคำพูดอยู่คนหนึ่ง? บอกว่าจะถอนรากถอนโคนก็ไม่เคยละเว้นแม้แต่คนเดียว บอกว่าจะเป็นบรรพบุรุษแล้วก็ไม่มีทางยอมเป็นหลานเด็ดขาด…”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “ร้ายกาจขนาดนั้นเชียวรึ”
เด็กชายชุดเขียวรีบหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำสีหน้าเขินอาย ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาโบกปัดเบาๆ “นายท่าน ข้าก็แค่แกล้งโม้อวดเก่งกับท่านไปอย่างนั้นเอง อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาดเชียว”
มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันกดศีรษะของเขาเอาไว้ อีกมือหนึ่งยื่นมาด้านหน้า “เอามา”
เด็กชายชุดเขียวงุนงงเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น “อะไร?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเตือนเบาๆ “ก่อนหน้านี้เจ้ารับปากนายท่านว่า ขอแค่ยอมให้เจ้ากลับภูเขาลั่วพั่ว เจ้าจะคืนหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งให้นายท่าน”
เด็กชายชุดเขียวเค้นรอยยิ้ม “นายท่าน ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าทำแบบนี้สิ”
เฉินผิงอันไม่ได้ดึงมือกลับ
เด็กชายชุดเขียวจึงได้แต่ควักหินดีงูก้อนที่เล็กที่สุดออกมาวางบนฝ่ามือของเฉินผิงอันแต่โดยดี
เฉินผิงอันยื่นหินดีงูก้อนนี้ส่งให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เอ่ยยิ้มๆ “พอไปถึงบนภูเขา ขอแค่เขาไม่รังแกเจ้า เจ้าก็สามารถใช้มันเป็นรางวัลมอบให้เขาได้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรับหินดีงูมาอย่างระมัดระวัง
เด็กชายชุดเขียวกอดแขนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแล้วพูดอย่างรีบร้อน “พวกเรารีบไปที่ภูเขาลั่วพั่วกันเถอะ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน!”
เด็กน้อยสองคนเพิ่งจะเลี้ยวออกไปจากตรอกหนีผิง เด็กชายชุดเขียวก็พลันหยุดเดิน ไม่รอให้เขาเปิดปากพูดอะไร เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็รีบโยนหินดีงูไปให้เขาด้วยความเร็วเหมือนฟ้าร้องแล้วคนไม่ทันยกมือป้องหู
เด็กชายชุดเขียวเก็บหินดีงูที่เสียไปแล้วได้กลับคืนมาอีกครั้ง พยักหน้าพูดยิ้มๆ “เด็กโง่เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้าแบกหีบหนังสือแล้วกัน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูส่ายหน้าอย่างแรง
เด็กชายชุดเขียวทอดถอนใจ “เจ้าน่ะมีชะตาชีวิตที่ต้องเหนื่อยยาก แต่ก็ดีที่เป็นคนโง่แล้วยังมีโชคของคนโง่”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มกว้าง
เด็กชายชุดเขียวยืดอกตั้ง “ไป นำทาง! กลับจวนของเรากัน!”
ทางฝั่งของตรอกหนีผิง ในเมื่อไม่ต้องไปบ้านของหลิวเสี้ยนหยางแล้ว เฉินผิงอันจึงเดินมาส่งหลี่ซีเซิ่งที่หน้าตรอก
หลี่ซีเซิ่งหยุดเดิน ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังเลือกจะกล่าวว่า “ประโยคที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ ฟังตอนนี้อาจจะเร็วเกินไป แต่ก็เหมือนที่ข้าเคยบอกให้เจ้าอ่านคำอธิบายประกอบที่เขียนไว้ในตำราซึ่งมอบให้เจ้าผ่านๆ คำพูดเหล่านี้เจ้าแค่ฟังผ่านๆ ก็พอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พี่ใหญ่หลี่ เชิญพูด”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้า “เคยได้ยินเรื่องม้าขาวมิใช่ม้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันเกาหัว “ตอนที่เดินทางไปขอศึกษาต่อ เป่าผิงเคยทะเลาะกับหลี่ไหวเรื่องนี้ แต่ข้ายิ่งฟังก็ยิ่งสับสน”
หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้ม ใช้ความคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องคิดลึก ข้าจะเปลี่ยนวิธีพูดก็แล้วกัน ทรายหนึ่งเม็ดบวกกับทรายหนึ่งเม็ด เท่ากับกี่เม็ด?”
เฉินผิงอันตอบอย่างฉงน “ก็ไม่ใช่สองเม็ดหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกว้าง “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นทรายหนึ่งกองรวมกับทรายหนึ่งกอง เท่ากับทรายกี่กอง?”
เฉินผิงอันตอบหยั่งเชิง “ยังคงเป็นหนึ่งกองกระมัง?”
หลี่ซีเซิ่งตบไหล่เฉินผิงอัน “เล่าลือกันว่าตอนที่อริยะในสมัยโบราณคิดค้นตัวอักษรขึ้นมา เทพและผีทั่วทั้งฟ้าดินต่างก็ร่ำไห้ด้วยความตกตะลึง แน่นอนว่านี่คือคุณความชอบอันใหญ่หลวง แต่เจ้าต้องเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง บางครั้งตัวอักษรก็เป็นสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นในโลกใบนี้ที่พวกเรารู้จักเช่นกัน ดังนั้นวันหน้าเมื่อเจ้าอ่านหนังสือ ไม่ต้องพยายามขบคิดตัวอักษรเหล่านั้นให้แตกทุกตัว หากเจอกับอุปสรรคก็ไม่สู้ลองถอยก่อนหนึ่งก้าว แล้วค่อยเดินหลายก้าวขึ้นสู่ที่สูง พยายามเดินขึ้นไปจุดสูงให้ได้ ถ้าไม่ขึ้นไปบนยอดเขาก็ไม่รู้ความต่างของพื้นราบ”
เฉินผิงอันฟังแล้วมึนงงไปหมด ปวดหัวแปลบๆ เหมือนตอนพลิกอ่าน ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ก่อนหน้านี้ที่รู้สึกว่าเบื้องหน้าไม่มีทางให้เดิน ด้านหลังไม่เหลือทางให้ถอย
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยปลอบใจ “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องรีบร้อน”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “เข้าใจแล้ว”
……
หลี่ซีเซิ่งที่ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งหายไปเดินกลับบ้านที่ตั้งอยู่บนถนนฝูลวี่เพียงลำพัง พอสาวใช้ในจวนเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงของคุณชายใหญ่ท่านนี้ต่างก็รู้สึกแปลกใจ คุณชายใหญ่โตมาจนป่านนี้ นอกจากจะติดตามผู้อาวุโสขึ้นเขาไปบนสุสานแล้วก็แทบจะไม่เคยออกนอกบ้าน แล้วทำไมพอนึกอยากออกไปเดินเล่นกับเขาสักที กลับมาถึงมีสภาพเละเทะเช่นนี้? คงไม่ได้ไปทะเลาะกับใครมาหรอกนะ?
หลี่ซีเซิ่งกลับไปถึงเรือนของตัวเอง เขาไปดูปูและปลาตะเพียนข้ามภูเขาที่ยังสุขสบายดีก่อน แล้วค่อยไปเปลี่ยนชุดใหม่ จากนั้นไปอ่านหนังสือในห้องหนังสือ ‘เจี๋ยหลู’ ครู่หนึ่ง สุดท้ายไปยังห้องห้องหนึ่งที่ใส่กุญแจไว้เป็นประจำ เขาไขกุญแจผลักประตูเปิด เมื่อหลี่ซีเซิ่งผู้เป็นเจ้าของห้องมองไป ในการมองเห็นของเขาล้วนเป็นชั้นวางร้อยสมบัติ (ชื่อชั้นวางที่มีช่องวางหลายช่อง) สูงใหญ่หลายชั้นตั้งแนบติดกับกำแพง ทว่าบนชั้นวางร้อยสมบัติกลับไม่มีของเล่นโบราณล้ำค่าหรือเครื่องปั้นงามประณีตที่ผลิตในเขตการปกครองหลงเฉวียนใดๆ วางอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นตราประทับสูงๆ ต่ำๆ ใหญ่เล็กไม่เท่ากัน วัสดุแตกต่างกันออกไป
ในห้องนอกจากชั้นวางร้อยสมบัติที่เต็มไปด้วยตราประทับแล้ว ก็มีแค่โต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกหนึ่งตัว บนโต๊ะวางตราประทับสามชิ้นที่ยังทำไม่เสร็จ วัสดุของพวกมันแบ่งออกเป็นเนื้อไม้ หยกเหลืองและทองสัมฤทธิ์ รวมไปถึงมีดแกะสลักฝีมือประณีตในกล่องใหญ่ และยังมีตำราโบราณหายากอีกหลายเล่ม
หลี่ซีเซิ่งปิดประตูเบาๆ เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะ ตราประทับสามชิ้นบนโต๊ะต่างก็ขาดตัวอักษรไปหนึ่งตัว ตราประทับทองสัมฤทธิ์สลักสามคำว่า ‘สยบสิ่งนอก’ ขาดคำว่ารีตตัวท้ายไปหนึ่งคำ ตราประทับหยกเหลืองสลักคำว่า ‘หลัก…แห่งสวรรค์’ ตรงกลางขาดคำว่าธรรม ตราประทับไม้สลักคำว่า ‘ขจีให้กำเนิดชีวิต’ ขาดคำว่าสีเขียวซึ่งเป็นคำแรกสุด
สลักตราประทับก็เหมือนกับการเขียนยันต์ พิถีพิถันในข้อที่ว่าต้องทำให้เสร็จรวดเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่ซีเซิ่งไม่ได้ถือคตินั้น
เขาไม่เพียงแต่ไม่หยิบมีดขึ้นมาสลักตัวอักษร กลับยังหลับตาลง เริ่มนอนหลับ ลมหายใจทอดยาวเหมือนสายน้ำไหลริน แม้จะสายเล็กแต่ไหลยาว
ในห้องเล็กๆ เหมือนกลายเป็นอีกดินแดนหนึ่ง
……
เฉินผิงอันกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษ แล้วพบว่ากระบี่ไม้ไหวที่วางไว้บนโต๊ะเอียงผิดไปจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่ออก
แม้ในใจของเฉินผิงอันจะสั่นสะท้านรุนแรง แต่เขากลับยังนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอย่างไม่กระโตกกระตาก
—————————-