ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่เข้าเขตแดนต้าหลีโดยผ่านด่านเหย่ฟู หลังเดินออกจากทางเดินเลียบหน้าผาและหุบเขาแห่งนั้น เฉินผิงอันสามคนก็เจอเข้ากับหน่วยทหารสืบความลับหน่วยหนึ่ง
ลมโชยมาพร้อมหิมะขาวโพลน สองฝ่ายยืนคุมเชิงกัน
เดิมทีคนส่วนใหญ่ในหน่วยลาดตระเวนสืบความลับของชายแดนต้าหลีกลุ่มนั้นหันหัวม้ากลับเงียบๆ ไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับมีม้าตัวหนึ่งฝ่าออกมาจากกลุ่ม ควบตะบึงมาหยุดอยู่ข้างเฉินผิงอัน ผู้ขี่คือคนหนุ่มที่มีใบหน้ามุ่งมั่น เปี่ยมไปด้วยการระแวงภัยและสำรวจตรวจตรา ในจุดลึกของดวงตาทหารลาดตระเวนชายแดนต้าหลีผู้นี้ยังมีความเฉียบขาดที่ในเวลานั้นเฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจอยู่ด้วย
เมื่อม้าตัวนี้พุ่งออกมา สหายคนอื่นของเขาก็กัดฟันตามมาด้วย ม้าหลายตัวที่ควบเข้ามาทำให้เกล็ดหิมะปลิวว่อนไปสี่ทิศ ลมหนาวโชยมาปะทะใบหน้า
เฉินผิงอันตะโกนด้วยภาษาทางการของต้าหลี “พวกเราคือคนของอำเภอหลงเฉวียน เพิ่งกลับมาจากแคว้นหวงถิง เข้าด่านมาจากทางหนิวจ้าหลัน”
ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ควักเอกสารผ่านด่านซึ่งที่ว่าการอำเภอต้าหลีเป็นผู้ออกให้ออกมาจากสาบเสื้อหน้าอก เดินทางนับพันนับหมื่นลี้ไปขอศึกษาต่อ บนเอกสารเต็มไปด้วยตราประทับของด่าน พื้นที่และแคว้นต่างๆ เมื่อเห็นว่านายทหารผู้นั้นจะพลิกตัวลงจากหลังม้า เฉินผิงอันก็ก้าวยาวๆ วิ่งเหยาะๆ ขึ้นหน้าไป ชูมือสูงส่งเอกสารให้ ร่างของทหารคนนั้นยิ่งขึงเกร็ง ม่านตาของคนทั้งกลุ่มหดตัวเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ทหารลาดตระเวนผู้นั้นค้อมตัวลงมารับเอกสารผ่านด่าน หลังอ่านอย่างละเอียดแล้วก็พลันยิ้มกว้าง มือข้างที่เดิมทีกำด้ามกาบไว้แน่นแอบยื่นไปด้านหลังแล้วทำมือให้คนทั้งกลุ่มรู้ว่าสถานการณ์ปลอดภัย นายทหารยังคงยืนกรานจะลงจากหลังม้า ยื่นเอกสารส่งคืน เฉินผิงอันรับเอามาอย่างระมัดระวัง นายทหารหนุ่มจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อากาศย่ำแย่ขนาดนี้ หากเจอปัญหาสามารถไปขอพักที่หอส่งสัญญาณไฟของพวกเราได้ ที่นั่นมีอาหารพร้อมสรรพ รอให้หิมะเบาลงค่อยเดินทางต่อก็ยังไม่สาย”
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความจริงใจของนายทหารจึงรีบกุมมือคารวะด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้าจะได้อาศัยโอกาสนี้ฝึกวิชาหมัดพอดี อาจจะยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังพอทนได้”
ต้าหลีนิยมนักสู้ ประเพณีนิยมความดุดันกล้าหาญ สร้างชื่อเสียงระบือไปทั่วทวีป
การที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนหยัดขนาดนี้ทำให้เหล่าทหารลาดตระเวนรู้สึกดีต่อเขาได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นหัวหน้าอาวุโสคนหนึ่งที่ใบหน้าหยาบกระด้างเรียบง่าย ปกติไม่ชอบยิ้มแย้มก็ยังอดคลี่ยิ้มอย่างชอบใจไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากัน ณ ตรงนั้น ทหารลาดตระเวนลงใต้ไปสำรวจตรวจตราตามหน้าที่ของตัวเองต่อ ส่วนเฉินผิงอันก็เดินทางขึ้นเหนือกลับบ้านเกิด
หัวหน้ากองทหารม้าหันกลับมามองแผ่นหลังของคนทั้งสามที่เดินทางขึ้นเหนือ หุบยิ้มแล้วหันหน้ามาตวาดสั่งสอนนายทหารคนนั้น “ทำตัวเป็นวีรบุรุษอะไรของเจ้า ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไง?! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีตื้นลึกหนาบางอย่างไร ลำพังสาวใช้ชายหญิงสองคนที่สวมเสื้อผ้าบางๆ ข้างกายเขาก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีตบะไม่ธรรมดา หาไม่แล้วจะทนรับความทรมานจากอากาศแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ก็เห็นสีหน้าสดชื่นของพวกเขาในระยะประชิดแล้ว เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ?
หากคนทั้งสามเป็นสายลับของแคว้นศัตรูจริงๆ เจ้าวู่วามบุกขึ้นหน้าไปถามไถ่เหมือนครานี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเราตายกันหมด แม้แต่การส่งข่าวรายงานก็ยังต้องถูกถ่วงให้ล่าช้าด้วย!”
นายทหารหนุ่มตัวสั่นด้วยความขลาดกลัว แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “หัวหน้า พวกเราเป็นหน่วยสืบความลับระดับสองของชายแดน และนี่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของต้าหลี ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มาจากไหนก็ต้องทำตามกฎของกองทัพชายแดนพวกเราไม่ใช่หรือ? หากกล้าสังหารพวกเราจริงๆ เมื่อมีการตรวจสอบหลังจบเรื่อง พวกเขาก็มีแต่เสียกับเสีย หรือต่อให้ถอยไปพูดหมื่นก้าว ไม่ใช่ว่ายังมีท่านอ๋องอยู่หรอกหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครมีความสามารถมากพอจะงัดข้อกับท่านอ๋องได้”
หัวหน้าอาวุโสที่อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิตโมโหจัดจึงฟาดแส้ออกไป แต่ตีโดนความว่างเปล่าเหนือไหล่ของนายทหารหนุ่ม เสียงเบากว่าฟ้าผ่ายามฝนตกกระหน่ำหน่อยเดียวเท่านั้น เขาโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพ การกระทำเช่นนี้ของเจ้าเท่ากับท้าทายนายท่านผู้ฝึกลมปราณแล้ว รู้หรือไม่? ทำไมถึงไม่ยอมรับรู้เลยว่า ถ้าเจอกับแม่ทัพที่มีคุณธรรม อย่างมากเขาก็แค่ช่วยทวงเงินบำรุงขวัญให้เจ้าแค่ไม่กี่สิบตำลึง แต่หากไม่ใช่ผู้มีคุณธรรม เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย!”
สามารถกลายมาเป็นทหารหน่วยลาดตระเวนสืบความลับศัตรูระดับสองของกองทัพชายแดนต้าหลีได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นทหารกล้าที่ปรีชาสามารถแห่งต้าหลี ไม่มีใครที่เป็นโง่ นายทหารหนุ่มจึงรีบพูดแก้ไข “ท่านหัวหน้าโปรดระงับโทสะ วันหน้าเมื่อบุกไปยังรังของสกุลเกาต้าสุย ข้าจะใช้คุณความชอบทางทหารมาแลกเปลี่ยนเป็นสาวๆ ผิวนวลเนื้อนุ่มให้แก่ท่าน ท่านจะได้อารมณ์ดี…”
หัวหน้าผู้อาวุโสก่นด่า “เจ้าบ้า คุณความชอบทางทหารน้อยนิดแค่นั้นของเจ้ายังไม่พอจะยัดซอกฟันข้าผู้อาวุโสด้วยซ้ำ เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ไปลาดตระเวนต่อ! เบื้องบนสั่งมาแล้วว่าให้ระวังความวุ่นวายจากทางแคว้นหวงถิงให้ดี ยิ่งเป็นอากาศแบบนี้ยิ่งต้องระวังให้มาก ไม่ใช่กลัวว่าพวกเขาจะทะเล่อทะล่าเข้ามารนหาที่ตาย แต่สู้รบทำสงครามมานานหลายปีขนาดนี้ ล้วนเป็นกีบเท้าม้าของพวกเราที่เหยียบย่ำในบ้านของคนอื่น ไม่มีเหตุผลที่จะให้คนอื่นเหยียบย่ำเข้ามาในบ้านของพวกเรา”
นายทหารหนุ่มยิ้มหน้าเป็น “ทราบแล้วๆ ข้าจะนำไปเดี๋ยวนี้ รับรองว่าแม้แต่แมลงวันสักตัวก็จะไม่ปล่อยให้บินเข้าไปในหุบเขาสันหลังวัวที่อยู่เบื้องหน้าได้”
นายทหารหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ดึงหมวกหนังเตียวหนานุ่มที่ตอนนี้ค่อนข้างแข็งลงมา สลัดเศษน้ำแข็งที่เกาะหมวกออกแล้วควบม้าไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า
นายทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว “หัวหน้า ก่อนหน้านี้ชายแดนของสองแคว้นเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนั้น ได้ยินมาว่าในแคว้นหวงถิงเกิดแผ่นดินไหวพื้นดินปริแยก คนตายไปหลายคน ทางฝ่ายเรากลับไม่มีความเสียหายใดๆ นี่เป็นเพราะมีสาเหตุใดแอบแฝงหรือไม่? หัวหน้าท่านมีช่องทางข่าวสารเยอะ นายทหารอาวุโสหลายคนตอนนี้ล้วนเป็นใต้เท้ารองแม่ทัพกันหมดแล้ว ข้ารู้มาว่าก่อนหน้านี้ท่านตั้งใจไปดื่มเหล้ากับใครบางคน มีอะไรที่พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้ไหม?”
สีหน้าของหัวหน้าอาวุโสเคร่งขรึมไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่ยิ้มกว้าง สายตาฉายประกายร้อนแรง พูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “ไม่มีอะไรให้ต้องพูด ก็แค่อีกไม่นานพวกเราจะได้กินเนื้อแล้ว เป็นเรื่องดี!”
อีกด้านหนึ่ง เฉินผิงอันที่เดินฝ่าลมหิมะไปเบื้องหน้าเอ่ยเนิบช้า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้เห็นทหารม้าของต้าสุย พวกเขาคุ้มครองพวกเราจากชายแดนไปส่งถึงเมืองหลวง แต่เมื่อเทียบกับทหารม้าของต้าหลีแล้ว มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน…แต่ก็อธิบายไม่ถูก”
เด็กชายชุดเขียวกล่าวอย่างเกียจคร้าน “นายท่าน นี่ก็ง่ายจะตายไป กองทัพม้าต้าสุยคือหมาเฝ้าบ้านที่ถูกเลี้ยงไว้ในคฤหาสน์หลังใหญ่ แค่มองดูเหมือนร้ายกาจเท่านั้น แต่แน่นอนว่าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็น่าจะพอถูไถไปได้ แต่กองทัพม้าต้าหลีของพวกท่าน โดยเฉพาะกองทัพม้าชายแดนที่ถือว่าเป็นหมาป่ากัดคนไปทั่ว เขี้ยวเล็บจึงถูกลับให้แหลมคมมานานแล้ว หากเปลี่ยนเป็นทหารชายแดนของแคว้นหวงถิง เห็นพวกเราสามคนคงวิ่งหนีป่าราบไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังเหลือความกล้าเดินเข้ามาถาม”
เด็กชายชุดเขียวหาวหวอด จากนั้นก็พูดต่อว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียง เคยได้ยินสหายเทพวารีของข้าเล่าความลับเรื่องหนึ่งให้ฟัง เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทางทิศเหนือของต้าหลีมีกองทัพชายแดนกองหนึ่งเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา ด้วยความโมโห แม่ทัพใหญ่จึงรวมพลทหารยอดฝีมือหกพันนาย ตัวเขาเองและเลขาธิการฝ่ายบู๊ใต้บังคับบัญชาของเขา รวมถึงผู้ฝึกลมปราณติดตามกองทัพที่ยืมมาจากสหายให้ร่วมมือกันไล่ฆ่าฝ่ายตรงข้ามไกลถึงแปดร้อยกว่าลี้ ผู้ฝึกลมปราณสี่คนที่มีชื่อเสียงด้านความอำมหิตถูกพวกเขาฆ่าไปถึงสามคน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตกใจ “ในแคว้นหวงถิง ไม่ว่าจะเป็นทหารของท้องถิ่นหรือในยุทธภพด้านล่างภูเขาล้วนไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา การที่สกุลเฉาจือหลันยอมทุ่มเททุกความสามารถปลูกฝังบุตรชายคนเล็กก็เพราะหวังว่า เมื่อคนหนึ่งบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย ไม่จำเป็นต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกต่อไป”
“สกุลหงแห่งแคว้นหวงถิง ตั้งแต่บนยันล่างล้วนเละเทะไปหมด สงครามในอนาคต ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนเถื่อนต้าหลีได้”
เด็กชายชุดเขียวยื่นมือสองข้างออกมาสร้างลูกหิมะโปร่งใสครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ขว้างมันไปไกลๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเกียจคร้าน “กองทัพชายแดนต้าหลีก็เละตุ้มเป๊ะพอควร โดยเฉพาะเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่ตายกันไปเกินครึ่ง สรุปคือเหตุการณ์นั้นลุกลามใหญ่โตมาก ฮ่องเต้ต้าหลีทรงพิโรธอย่างหนัก เรียกตัวแม่ทัพฝ่ายบู๊ขั้นสามชั้นเอกผู้นั้นกลับเมืองหลวงทันที แล้วสั่งลดขั้นเขาให้เป็นนายทหารชั้นต่ำรวดเดียว นี่ถึงได้พอทำให้สำนักเบื้องหลังผู้ฝึกลมปราณทั้งสี่คนนั้นหายโมโหได้บ้าง เพียงแต่ได้ยินมาว่าผ่านไปได้แค่ไม่กี่ปี ชาวบู๊ที่เฝ้าพิทักษ์สมรภูมิรบทางชายแดนทิศเหนือผู้นั้นก็มาปรากฎตัวอยู่ที่ด่านเหย่ฟูชายแดนทิศใต้ อีกทั้งเพียงไม่นานก็ได้ยศเดิมกลับคืน กองทหารของเขาก่อนหน้านี้ก็ยิ่งได้อวยยศด้วยตำแหน่งทรงเกียรติโดยขึ้นเป็นหนึ่งใน ‘ทัพม้าเหล็ก’ กองใหม่ของต้าหลี คนของกองทัพชายแดนไม่เพียงแต่กลับมามีจำนวนเต็มดังเดิมอย่างรวดเร็ว ยังมีม้าตัวใหญ่ระดับหนึ่งและนายทหารระดับหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ก็มีหน้ามีตายิ่งนัก”
เฉินผิงอันนึกถึงสำนักศึกษาซานหยาขึ้นมา พึมพำกับตัวเองว่า “ขออย่าให้มีสงครามเลย”
เด็กชายชุดเขียวพลันขว้างหิมะลูกหนึ่งขึ้นไปยังจุดสูง จากนั้นก็ขว้างหิมะลูกที่สองออกไปโจมตี ทั้งสองลูกกระทบกันแตกกระจาย “ลูกธนูขึ้นสายแล้ว จะไม่ยิงไม่ได้ ข้าว่าศึกใหญ่ล่มแคว้นครั้งนี้คงหนีไม่พ้น ที่สำคัญคือต้องดูว่าต้าสุยจะเอาถ่านหรือไม่ แต่หากป๋ายอวี้จิงของต้าหลีร้ายกาจอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ข้าว่ากองกำลังบนภูเขาส่วนมากของต้าสุยที่เดิมทีเป็นฝ่ายได้เปรียบคงจะเลือกรักษาตัวรอดไว้ก่อน เพราะคงไม่มีใครเต็มใจอยากถูกกระบี่ที่บินออกจากหอป๋ายอวี้จิงพุ่งเข้ามาสังหารถึงในจวนที่มีค่ายกลใหญ่คุ้มกันในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แบบนั้นเรียกว่าตายตาไม่หลับจริงๆ ใครเล่าจะยินดีทดลองสัมผัสกับพลังสังหารของกระบี่บินจากป๋ายอวี้จิง? ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ ผู้ฝึกลมปราณก็ยิ่งรักตัวกลัวตายมากเท่านั้น เอาเป็นว่าสหายเทพวารีบอกกับข้าว่า ขอแค่กระบี่บินของป๋ายอวี้จิงมีพลานุภาพได้สักครึ่งหนึ่งอย่างที่เล่าลือกันมา เขาจะเป็นฝ่ายยอมยกธงขาวเอง และดูจากพฤติกรรมของราชสำนักต้าหลีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังรักษาตำแหน่งเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเขาเอาไว้ได้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสีหน้ามึนงง “ป๋ายอวี้จิงคืออะไร? ยังมีกระบี่บินพุ่งออกมาได้ด้วย?”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ดีดนิ้วเบาๆ ลูกหิมะก็ดีดเข้าที่หน้าผากของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “สวบทีเดียว กระบี่บินเล่มหนึ่งก็จะพุ่งออกจากป๋ายอวี้จิงที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลีด้วยความเร็วเท่าเทียมกับเซียนกระบี่พสุธาห้าขอบเขตบนขี่กระบี่บิน พริบตาเดียวก็ข้ามผ่านพันขุนเขาหมื่นวารี ทะลุทะลวงกะโหลกศีรษะของเด็กโง่ๆ อย่างเจ้า สนุกไหมล่ะ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกสองมือกุมหน้าผาก ตกใจไม่ใช่น้อย
เด็กชายชุดเขียวพูดเยาะเย้ย “แค่ตบะเท่าขี้เล็บของเจ้า จะสังหารเจ้ายังต้องใช้กระบี่บินจากป๋ายอวี้จิงด้วยหรือ? เจ้าเป็นเด็กโง่นั้นไม่ผิด แต่ราชสำนักต้าหลีไม่โง่สักหน่อย ตอนนี้เป้าหมายที่กระบี่บินสิบกว่าเล่มในป๋ายอวี้จิงเพ่งเล็งล้วนเป็นพวกตะพาบแก่ๆ ที่มุดหัวอยู่ใต้น้ำของเขตแดนต้าสุย ข้าเดาเอาว่าในบรรดาผู้ฝึกลมปราณที่มีคุณสมบัติพอให้ติดอันดับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของต้าสุยจะต้องมีคนแอบหลบหนีออกจากต้าสุยเพื่อเลี่ยงหายนะเป็นแน่”
แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่ได้เอ่ยแทรก แต่กลับรู้สึกว่าข้อสรุปและการคาดเดาส่วนใหญ่ของงูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงมีเหตุผลและมีหลักฐาน จึงรับฟังอยู่เงียบๆ และจดจำทุกถ้อยคำไว้ขึ้นใจ นั่นจึงทำให้เฉินผิงอันยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมคนที่มองปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ถึงได้เต็มใจทำตัวเป็นแพะรับบาปแทนเทพวารีที่มีเจตนาชั่วร้ายตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงบ้านเกิด?
หรือจะเป็นเงาดำใต้โคมไฟ? (คล้ายสำนวนเส้นผมบังภูเขา)
เฉินผิงอันไม่ได้เปิดปากถาม จะอย่างไรซะนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของอีกฝ่าย
เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งรับลมหิมะที่โชยมาปะทะใบหน้าเป็นระลอกไปเงียบๆ
ฝึกเดินนิ่งของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาท่ามกลางหิมะตกหนักที่สูงถึงเข่าจำต้องชะลอความเร็วลง เดินตั้งแต่ทางเลียบหน้าผามาถึงที่นี่ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ เฉินผิงอันก็ต้องใช้พละกำลังและแรงใจมากกว่าเวลาปกติเป็นสิบเท่าตัว
ตั้งแต่ภายในยันภายนอกทั่วทั้งร่างของเฉินผิงอันเหมือนจะจับก้อนเป็นน้ำแข็ง เป็นเหตุให้พอมาถึงช่วงหลังไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันจงใจใช้การโคจรลมปราณสิบแปดหยุด ลมปราณมหัศจรรย์ที่เหมือนมังกรไฟลาดตระเวนชายแดนเส้นนั้นก็ว่ายวนไปทั่วกายเขาด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ช่วยให้เฉินผิงอันพอจะประคับประคองลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นไม่ให้ร่วงหล่นลงไปข้างล่าง
ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้าออกล้วนเป็นความเจ็บปวดที่บาดลึกถึงกระดูก
เด็กชายชุดเขียวมองเขาแล้วก็ให้ปวดหัว รู้สึกเหลือเชื่อ พรสวรรค์ย่ำแย่ก็ช่วยยอมรับชะตากรรมได้หรือไม่? คนอื่นเดินบนเส้นทางการฝึกตนวันเดียวได้พันลี้ แต่เจ้าเฉินผิงอันต้องเสียเวลาเป็นเท่าตัวกับเรื่องนี้ทุกวัน มันน่าอายนะรู้ไหม
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับมองดูด้วยความสงสารปานจะขาดใจ
————————–