หลังจากที่เฉินผิงอันหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ตรงหน้าบันไดระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ในที่สุดเด็กชายชุดเขียวก็ยอมปล่อยมือเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ฝ่ายหลังวิ่งพรวดเข้าไปหาเฉินผิงอัน น้ำตานองเต็มใบหน้า ร้องไห้จนหน้าลายเป็นแมวน้อย นางจับชีพจร ตรวจดูทิศทางการเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณเฉินผิงอันพลางหันไปพูดสะอึกสะอื้นกับเด็กชายชุดเขียว “ทำไมเจ้าต้องห้ามข้าด้วย เจ้ามันคนเนรคุณ ใจทมิฬหินชาติ…หากนายท่านตายไป ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า…”
สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวนิ่งสนิทดุจผิวน้ำ “บอกว่าเจ้าโง่ เจ้ายังไม่ยอมรับ ทะเล่อทะล่าเข้ามารบกวนการโคจรลมปราณของเฉินผิงอัน เจ้าจะถูกปราณกระบี่ขุมนั้นมองเป็นศัตรู ไม่เพียงแต่มันจะเล่นงานเจ้าเสียอ่วม ยังจะส่งผลกระทบต่อโอกาสพิสูจน์มรรคาของเฉินผิงอันด้วย และนั่นแหละที่จะทำให้เขาตายจริงๆ โชควาสนาดีๆ จะถูกเจ้าทำให้กลายเป็นหายนะเอาได้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจ “ทั้งร่างของนายท่านมีแต่เลือด นายท่านใกล้จะตายแล้ว คราวนี้เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม? ข้าไม่ได้โง่! เจ้าละโมบอยากได้หินดีงูของนายท่าน นายท่านไม่ควรพาเจ้ากลับมาด้วย เจ้ามันไร้จิตสำนึกสิ้นดี นายท่านดีต่อพวกเราถึงเพียงนี้…”
เด็กชายชุดเขียวกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งยองบนราวระเบียงไม้ไผ่ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เฉินผิงอันจะตายหรือไม่ เจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ ตบะน้อยนิดของเจ้าจะไปเข้าใจกะผีอะไร”
เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาลงเรื่อยๆ เพราะนางค้นพบว่าลมปราณสองขุมในร่างของเฉินผิงอันซึ่งตอนแรกวุ่นวายและพลุ่งพล่านอย่างชัดเจน ค่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะมั่นคงขึ้น เหมือนน้ำในภูเขาที่มาเจอกัน แม้ว่าตอนแรกน้ำจะกระทบกับหินจนก่อให้เกิดคลื่นพันชั้นซัดรุนแรง มองดูเหมือนอันตรายอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสงบนิ่งมั่นคง จิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนรุนแรงเพราะได้รับความเจ็บปวดก็ถูกปลอบโยนให้สงบลงไปด้วย เปลี่ยนจากเสียงโหยหวนเมื่อแรกเริ่มมาเป็นเสียงครวญครางเบาๆ
เฉินผิงอันหลับลึกมาก ใบหน้าดำเกรียมที่บิดเบี้ยวค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติ สุดท้ายเหมือนทารกน้อยในห่อผ้าอ้อมที่หลับสนิทอย่างเป็นสุข
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดีใจอย่างถึงที่สุด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พูดกับเด็กชายชุดเขียวเบาๆ ว่า “นายท่านไม่เป็นอะไรแล้ว แค่หลับจริงๆ แล้ว”
เด็กชายชุดเขียวเหลือกตาใส่ ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินเล่นเหมือนเห็นราวระเบียงเป็นทางเดิน
เด็กชายชุดเขียวเดินไปเดินมาอยู่บนราวระเบียง ใช้ความคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆ อันที่จริงเขาเองก็แค่พอจะรู้เรื่องคร่าวๆ อย่างพร่าเลือนเท่านั้น หลังจากนี้ควรจะจัดการกับเฉินผิงอันอย่างไร เขาก็ไม่กล้าตัดสินใจแล้ว เขาอยากได้หินดีงูของเฉินผิงอันนั้นไม่ผิด แต่จะให้ทำเรื่องชั่วช้าในขณะที่อีกฝ่ายตกอยู่ในอันตราย ก็นับว่าดูถูกเขาที่เป็นสหายรักของเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงเกินไป เขายินดีต่อยให้เฉินผิงอันตายด้วยหมัดเดียวแล้วค่อยแย่งชิงหินดีงูที่กองกันเหมือนภูเขาขนาดย่อมมาอย่างเปิดเผย ดีกว่าจะทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้น
ออกมาอยู่ในยุทธภพต้องมีคุณธรรมกันบ้าง
นี่คือกฎเกณฑ์ในยุทธภพที่เขายึดมั่นปฏิบัติมาโดยตลอด
มีครั้งหนึ่งสหายเทพวารีดื่มเหล้าจนเมามายได้พูดกับเขาประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีเหตุผล “คุณธรรมในยุทธภพจะมีมากเกินไปไม่ได้ แต่ก็ควรจะยึดมั่นอยู่บ้าง หากไม่มีเสียเลย ต่อให้เป็นมังกรที่แท้จริง ไม่ช้าก็เร็วต้องจมน้ำตายอยู่ในยุทธภพ”
เด็กชายชุดเขียวใจหายวาบ จากนั้นเบื้องหน้าของเขาก็ดำมืด พอเงยหน้ามองจึงเห็นว่ามีเทพเซียนชุดขาวคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างกายตน อีกฝ่ายกำลังก้มหน้ามองตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกวนโอ๊ย
เจ้าคนที่ชื่อเว่ยป้อยิ้มบางๆ ให้เด็กชายชุดเขียว “งูน้ำน้อย เจ้าไม่คิดจะฆ่านายท่านของตัวเอง ทำให้ข้าแปลกใจมาก”
เด็กชายชุดเขียวเกลียดใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหล่อเหลาผู้นี้มากที่สุด ราวกับว่าคนทั้งสองเกิดมาก็เป็นศัตรูทางธรรมชาติต่อกัน โดยเฉพาะเมื่อเว่ยป้อที่อยู่สูงกว่าหลุบตามองต่ำพูดหยอกเย้าตน เขาจึงอดหลุดปากด่าไปไม่ได้ “ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสไม่ได้เย่อแม่เจ้า ทำให้ข้าเสียใจมาถึงทุกวันนี้!”
ชายแขนเสื้อของเว่ยป้อสะบัดไหว เขากระโดดลงมาจากราวระเบียงอย่างสง่างาม ระหว่างนั้นยังตบศีรษะเล็กของเด็กชายชุดเขียวเบาๆ พลางหัวเราะระรื่น “เกเรจริง”
มองดูเหมือนเป็นการตบเบาๆ แต่ถึงกับทำให้ขาทั้งสองข้างของเด็กชายชุดเขียวที่ถูกตบแหกอ้า ล้มเผละลงไปนั่งบนราวระเบียง เจ็บจนเขาต้องเอามือกุมก้น แยกเขี้ยวหรา
หากเปลี่ยนไปอยู่สถานที่แห่งอื่น ต่อให้เป็นภูเขาทองแดง ภูเขาเหล็กก็ถูกเขานั่งทับจนถล่มลงมาได้ แต่เรือนไม้ไผ่ขนาดเล็กแห่งนี้กลับแข็งแรงทนทานผิดจากปกติ
เว่ยป้อนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ยกมือข้างหนึ่งจับข้อมือของเขา ชีพจรของอีกฝ่ายหนักแน่น ถือว่าเป็นลางดี
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามเบาๆ “เว่ยเซียนซือ (เซียนซือเป็นคำเรียกเซียนซึ่งแสดงถึงความเคารพ) ต้องย้ายนายท่านของข้าเข้าไปไว้ในห้องหรือเปล่า?”
เว่ยป้อเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าเป็นเจียวหลง เกิดมาก็มีภูมิต้านทานต่ออากาศหนาวเหน็บและร้อนระอุได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนัก อันที่จริงเรือนไม้ไผ่แห่งนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือหน้าหนาวอบอุ่น หน้าร้อนเย็นสบาย ต่อให้เป็นแค่คนธรรมดา แต่หากถอดเสื้อผ้าอยู่ในเรือนไม้ไผ่วันที่หิมะตกหนักก็ไม่มีทางรู้สึกหนาวถึงขั้วกระดูก ดังนั้นปล่อยให้นายท่านของเจ้านอนหลับอยู่ตรงนี้ อย่าไปขยับเขยื้อนเขาจะดีกว่า”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบโค้งคำนับขอบคุณเว่ยป้อ
เว่ยป้อไม่เห็นสำคัญกับเรื่องนี้ เพียงถามยิ้มๆ “เฉินผิงอันได้นำเสื้อผ้าสะอาดมาเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูส่ายหน้า “นายท่านขึ้นเขามาครั้งนี้คงไม่ได้คิดจะอยู่นาน ในตะกร้าสะพายหลังจึงไม่มีเสื้อผ้าใส่มาด้วย”
เว่ยป้อขมวดคิ้ว มองเสื้อผ้าบนร่างของเฉินผิงอันที่เหมือนเพิ่งไปจุ่มเลือดมา หากเขาตื่นมาแล้วยังสวมชุดนี้คงไม่เหมาะนัก จึงพูดแนะนำ “พวกเจ้าจะไปซื้อเสื้อผ้าที่เมืองเล็กก็ดี หรือจะไปเอาเสื้อผ้าของเขาที่ตรอกหนีผิงก็ได้ รีบไปรีบกลับ อีกไม่นานเฉินผิงอันก็น่าจะตื่นแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วเตรียมจะจากไป
เด็กชายชุดเขียวจ้องเว่ยป้อเขม็งด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ข้าไม่เชื่อใจเจ้า”
เว่ยป้อคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยู่ที่นี่”
เด็กชายชุดเขียวโยนทองก้อนหนึ่งให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “นอกจากซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้นายท่านแล้ว พวกเราสองคนก็ต้องมีชุดใหม่ด้วย”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มตอบ “ข้าไม่ต้องใช้หรอก”
เด็กชายชุดเขียวตีหน้าเคร่ง “ข้าก็แค่พูดกับเจ้าไปตามมารยาทเท่านั้น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางวิ่งปรู๊ดลงจากเรือนไม้ไผ่ ดิ่งลงเขาไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็นั่งอยู่บนราวระเบียง หันหลังให้กับเฉินผิงอันที่นอนและเว่ยป้อที่นั่งอยู่บนพื้น ความคิดของเขาล่องลอยไปไกล
เฉินผิงอันนอนหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มกว่าจะตื่น หลังจากอาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมชุดใหม่ เขาก็รู้สึกสดชื่นไปทั้งกาย ไม่ได้สวมรองเท้าสานเหมือนเวลาปกติ เขาเปลือยเท้ายืนอยู่กลางระเบียงชั้นสองของหอไม้ไผ่ ฝ่าเท้าของเขาเต็มไปด้วยรอยด้านชั้นหนาเหมือนหินเหล็ก รอยด้านแรกที่ได้มาตอนเด็กเพราะถูกรองเท้าสานเนื้อหยาบเสียดสี ภายหลังเริ่มหนาขึ้นทีละนิดเพราะย่ำเดินเหยียบหินกรวดและหนามต้นไม้บนภูเขา
บนมวยผมของเฉินผิงอันยังปักปิ่นหยกสีขาวชิ้นนั้นเอาไว้ บนปิ่นสลักตัวอักษรเล็กแปดตัวที่เขาแกะสลักเองกับมือ
เขาโอบกระบี่ไม้ไหวมาไว้ในอ้อมอก ทอดสายตามองเหม่อไปทางทิศใต้
เว่ยป้อที่จากไปย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาเอายาบางส่วนกลับมาด้วย บอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยต้ม ยานี้นำมาใช้บำรุงพลังต้นกำเนิดและให้ความอบอุ่นแก่เฉินผิงอัน เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง จึงคิดจะลงมือเอง แต่ให้ตายนางก็ไม่ยอมให้เขาทำ ดวงหน้าเล็กๆ สีแดงก่ำนั้นขมวดมุ่นจนยับย่น ท่าทางน่าสงสารราวกับว่าพายุฝนกำลังจะโหมกระหน่ำ เฉินผิงอันไม่อาจทนมองได้ จึงได้แต่วางมืออย่างไม่สบายใจนัก
เด็กชายชุดเขียวเดินเตร่ไปทั่วทิศ คล้ายราชาแห่งแคว้นที่เดินสำรวจดินแดนของตัวเอง วันนี้เขาขึ้นไปบนภูเขา บนยอดเขามีศาลเทพภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในจัดวางรูปปั้นเทพภูเขาประหลาดที่มีศีรษะเป็นสีเหลืองทอง ตัวศาลยังก่อสร้างไม่เสร็จ ยังเหลือเก็บงานช่วงท้ายอีกเล็กน้อย ดังนั้นที่นี่จึงมีขุนนางของกรมโยธาธิการต้าหลี นักพรตที่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักให้มาช่วยงาน บวกกับชาวบ้านร่างกำยำของเมืองเล็กและชาวบ้านผู้ลี้ภัยอยู่ปะปนกันมั่วไปหมด
เวลานี้เว่ยป้อยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “จะดีจะชั่วก็ไม่เจ็บตัวเปล่าเพราะการปะทะที่วุ่นวายครั้งนั้น ในที่สุดก็ใกล้จะขยับเข้าขอบเขตสามแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก เดิมทีนึกว่าอย่างน้อยยังต้องรออีกสามถึงห้าปี”
“คุยกันได้ยาก น่าเบื่อ ไปล่ะ”
เว่ยป้อหลุดหัวเราะพรืด โคลงศีรษะเดินจากไป คราวนี้เขาไม่ได้บินไปบินมา แต่เดินเอื่อยเฉื่อยลงจากเรือนไม้ไผ่ไปทีละก้าว
หลังจากร่างของเว่ยป้อหายไป เฉินผิงอันก็ตบไปที่หัวใจตัวเองแล้วพูดพึมพำ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ค่อยเต็มใจ ไม่อยากอยู่กับข้า”
เสียงของเฉินผิงอันแผ่วต่ำ “เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่คนนั้นต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่น ถึงทำให้เจ้าตื่นเต้นได้ขนาดนี้ นี่เป็นเรื่องปกติ ผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตแปดขอบเขตเก้า เทพเซียนบนภูเขาที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าข้ามากมาย แต่ช่วยไม่ได้ ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเป็นผู้มอบเจ้าให้กับข้า ดังนั้นหากข้ายังไม่ตาย เจ้าก็ไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น…”
ความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้านส่งมาจากหัวใจของเฉินผิงอันระลอกหนึ่ง ลูกกระเดือกเขาขยับเคลื่อนเบาๆ เพราะเลือดสดจะพุ่งออกจากปาก
เฉินผิงอันกัดฟันแน่น ฝืนกลืนเลือดอึกนั้นลงไป คำพูดที่ดังออกมาจึงคลุมเครือไม่ชัดเจน “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ข้าก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่า เจ้าสามารถสังหารข้าได้อย่างง่ายดาย ทว่าด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่อาจฆ่าข้าได้ ดังนั้นสภาพการณ์ของเจ้าจึงน่ากระอักกระอ่วนอย่างมาก ถูกไหมล่ะ?”
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันใช้มือปาดคราบเลือดสองเส้นที่ไหลออกมาจากรูจมูก “ไม่เป็นไร ข้ายังมีเสื้อผ้าสะอาดอยู่บนภูเขาอีกหลายตัว อีกอย่างสาวใช้ตัวน้อยของข้าเป็นงูหลามไฟ ถอดเสื้อซักเมื่อไหร่ก็สามารถตากให้แห้ง แล้วเอามาใส่ต่อได้ทันที เจ้ามีความสามารถก็พุ่งชนช่องลมปราณข้าต่อได้เลย หึหึ ข้าเฉินผิงอันไม่ได้โม้กับเจ้าหรอกนะ แต่ความลำบากแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย ตอนอายุห้าขวบ ข้าเคยเจอมายิ่งกว่านี้แล้ว”
นั่นคือตอนที่ในท้องปวดบิดเหมือนถูกมือเคล้น ดุจแม่น้ำซัดโหม ดั่งทะเลพลิกคว่ำ
เฉินผิงอันที่ยืนเปลือยเท้าอยู่กลางระเบียง ยังคงกอดกระบี่ไม้ไหวไว้ในอ้อมอก สายตาเด็ดเดี่ยว เพียงแต่น้ำเสียงสั่นสะท้านน้อยๆ อย่างห้ามไม่ได้ “หากข้าร้องออกมาแม้แต่เอะเดียว วันหน้าเจ้าก็คือบรรบพบุรุษของข้า”
ช่องโพรงลมปราณสิบแปดแห่ง ด่านสิบแปดด่าน ระหว่างช่องที่หกกับเจ็ด สิบสองกับสิบสามดูเหมือนจะมีปราการธรรมชาติสองแห่งที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันโคจรลมปราณก็ผ่านแค่หกช่องโพรงในรวดเดียว แม้ว่าลมปราณเฮือกนั้นจะยังไม่ถึงกับหมดแรงเป็นม้าตีนปลาย แต่ก็เหมือนว่าไม่มีทางเบื้องหน้าให้เดินต่ออีกแล้ว ได้แต่พุ่งเข้าชนกำแพง และย้อนกลับมามือเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้หลังจากผสานตัวอ่อนกระบี่สีเงินเข้ากับกลางฝ่ามือได้อย่างน่าประหลาด ก็ยังได้แค่แตะสัมผัสเข้ากับด่านอันตรายที่เจ็ดในรวดเดียว เพราะดูเหมือนคอขวดอันเป็นอุปสรรคระหว่างด่านที่หกและเจ็ดจะยังได้แค่คลายตัวนิดหน่อยเท่านั้น
ก็เหมือนกับว่ามีคนที่มุมานะซ่อมถนนสร้างสะพาน แรกเริ่มยังมองเห็นภาพของฝั่งตรงข้ามอย่างเลือนราง แต่ก็จะเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ในทุกครั้งที่ขยับเข้าใกล้
อีกทั้งเมื่อเทียบกับการหล่อหลอมร่างกายด้วยการฝึกวิชาหมัดและฝึกเดินนิ่ง การที่ปราณกระบี่อาละวาดอยู่ในร่างกายจะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่า เฉินผิงอันที่ค่อนข้างกดดันจำเป็นต้องใช้วิธีฝึกควบคู่กันไปทั้งภายในและภายนอก
ก็เหมือนกับมีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันคิดอยากจะเปิดภูเขาสร้างทางมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้ลงมือ กว่าฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม ความก้าวหน้าจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
แต่เมื่อตัวอ่อนกระบี่ผสานเข้าไปในช่องโพรง ผลก็เหมือนตอนที่เด็กชายชุดเขียวเผยร่างจริงเลื้อยผ่านกลางป่าเขา ต่อให้มี ‘ทางภูเขา’ ที่ขรุขระปรากฏขึ้นมา เฉินผิงอันก็แค่ต้องเดินตามก้นมัน คอยซ่อมแซมบำรุง คอยขุดคอยเติมอย่างต่อเนื่องก็พอ
เฉินผิงอันไม่กลัวความลำบาก แต่ใต้หล้านี้ก็ไม่มีสักกี่คนที่ชื่นชอบความลำบากจริงๆ แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่หากความลำบากสามารถเปลี่ยนมาเป็นผลประโยชน์ได้ เฉินผิงอันก็ยอมหาความลำบากใส่ตัวอย่างไม่ลังเล
เพราะอยู่อย่างเดียวดาย ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาหลายปี เฉินผิงอันจึงเข้าใจหลักการข้อหนึ่งนานแล้ว มนุษย์เราอยู่บนโลกใบนี้ หลายคนต้องทำอะไรหลายอย่าง ลำบากก็คือลำบาก ก็แค่ต้องทนรับให้ได้เท่านั้น
หว่านพืชใดย่อมได้ผลของพืชนั้น? ก็ต้องดูว่าเทวดาที่ชอบงีบหลับจะอนุญาตหรือไม่
คงต้องเอาทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ไปเก็บไว้ที่ร้านตีเหล็กของบ้านแม่นางหร่วน ภูเขาลั่วพั่วมีคนเยอะเกินไป เฉินผิงอันไม่วางใจ
ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะมีหลี่ซีเซิ่งอยู่ด้วย ต่อให้เฉินผิงอันอยู่หน้าบ้านตัวเองในตรอกหนีผิง เกรงว่าก็คงต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่อยู่ดี
มิน่าเล่าเด็กชายชุดเขียวถึงชอบพร่ำท่องประโยคว่ายุทธภพอันตรายอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันเอียงศีรษะไปด้านหนึ่ง ยื่นมืออุดปากฉับพลัน ทันใดนั้นเลือดสดๆ ก็ไหลลอดนิ้วมือของเขาออกมา
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แบมือออกดูก็เห็นแต่เลือดสีแดงสด
—————————