คนทั้งสองเดินขึ้นมาบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
เด็กหนุ่มชุยชื่อและเด็กน้อยอีกสองคนที่อยู่ด้านล่างหอเรือนหันมามองหน้ากัน
หลีซีเซิ่งเอ่ยถาม “รู้ความหมายของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เขารู้แค่ว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีเงิน มีเงินมาก แผ่นหินสีเขียวปูพื้น สิงโตหิน แม้แต่เทพทวารบาลสีสันสดใสหน้าประตูก็ยังเหมือนจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าที่อื่น
หลี่ซีเซิ่งหยิบยันต์ไม้ท้อแผ่นที่อยู่ในมือขึ้นมา “ถนนฝูลวี่ออกเสียงคล้ายกับคำว่ายันต์ คำว่าฝูเป็นตัวแทนของคำว่ายันต์ ส่วนตรอกเถาเย่ก็มาจากคำว่าท้อของยันต์ไม้ท้อ เมื่อเอามาเรียงกันจึงเป็นยันต์ไม้ท้อ”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในบัดดล
“นี่คือโชควาสนาที่ใหญ่มากอย่างหนึ่งของเมืองเล็ก เมื่อเทียบกับวัตถุห้าธาตุซึ่งรวมปลาหลีสีทองที่เป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยันต์ไม้ท้อชิ้นนี้มีแต่จะเหนือกว่าของอย่างอื่น”
หลี่ซีเซิ่งพูดจ้อไม่หยุด “เมื่อปลายปี ข้าฝันประหลาด จำได้เลือนๆ ว่าฝันเห็นคนและเรื่องราวมากมาย แต่พอตื่นขึ้นมากลับลืมไปอีก เหมือนว่าจะเล่นหมากล้อมกับใครสักคน แล้วก็จำเรื่องความลับของยันต์ไม้ท้อได้ เรื่องราวสลับซับซ้อนนอกจากนี้ล้วนไม่อาจเล่าได้อย่างละเอียด”
หลี่ซีเซิ่งชี้ไปที่หอไม้ไผ่ “เดิมทีข้าก็คิดอยากจะเอายันต์ไม้ท้อนี้มาแขวนไว้บนประตูเรือนไม้ไผ่เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ถอยหนี สกัดกั้นมนต์ดำนับหมื่น พูดอย่างนี้อาจจะฟังดูเกินจริงไปสักหน่อย แต่มันสามารถทำให้เรือนไม้ไผ่ที่เดิมทีก็มหัศจรรย์น่าทึ่งแห่งนี้ยิ่งแข็งแกร่งไม่อาจทำลาย อีกทั้งเมื่อแขวนยันต์ไม้ท้อไว้นานวันเข้า ยังสามารถกระตุ้นให้แก่นแห่งพืชหญ้าที่แปลกพิสดารก่อกำเนิดได้อีกมากมาย…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ซีเซิ่งก็เอ่ยเย้ายิ้มๆ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องการจริงๆ หรือ? ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้วนะ”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ในเมื่อมันดีขนาดนี้ พี่ใหญ่หลี่ก็เก็บไว้เองเถอะ จะต้องออกเดินทางไกลไม่ใช่หรือ? ข้าเพิ่งไปด้านนอกมารอบหนึ่ง มีสิ่งมหัศจรรย์พันลึกนับร้อยนับพัน อันตรายรายล้อมรอบด้าน จำเป็นต้องมีอาวุธอาคมอยู่ข้างกายสักชิ้น”
หลี่ซีเซิ่งถามคำถามด้วยรอยยิ้มตาหยี “เจ้าคิดว่าข้าขาดอาวุธอาคมงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เพราะเขานึกถึงภาพการประลองอาคมระหว่างหลี่ซีเซิ่งกับเฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่ในตรอกหนีผิงขึ้นมา แต่แล้วทันใดนั้นประโยคหนึ่งในหนังสือก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวเขา “ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี!”
หลี่ซีเซิ่งจนใจอย่างยิ่ง ได้แต่เก็บยันต์ไม้ท้อไปแขวนไว้ตรงเอวเหมือนเดิม กล่าวเหมือนเสียดายว่า “เดิมทีถ้าแขวนไว้บนประตูเรือนไม้ไผ่จะเหมาะมากเลย”
หลี่ซีเซิ่งถึงขั้นหันหน้าไปมองทางประตูด้านหลัง “แขวนไว้ตรงนี้เหมาะมากจริงๆ นะ”
อันที่จริงท่าทางเขาเหมือนเด็กน้อยอย่างมาก
เฉินผิงอันอยากหัวเราะ แต่ก็เกรงใจจึงได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะหลี่ซีเซิ่งคือพี่ชายของหลี่เป่าผิง เขาจึงเต็มใจจะใกล้ชิด แต่เมื่อได้พูดคุยกันหลายครั้งเข้า เฉินผิงอันก็ยิ่งชื่นชอบบัณฑิตคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะหลี่ซีเซิ่งมีคุณธรรมอยู่เต็มหัวใจ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งจะก้าวสู่โลกกว้างก็สามารถประมือกับเฉาจวิ้นได้โดยตรง แต่เป็นเพราะสิ่งละอันพันละน้อยที่บุรุษผู้นี้ปฏิบัติต่อโลกทำให้คนรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ร่วมด้วย
หรือยกตัวอย่างเช่นมือกระบี่อย่างอาเหลียง บัณฑิตอย่างฉีจิ้งชุน
ต่อให้อาเหลียงจะไม่เคยหยิบกระบี่ขึ้นมา ฉีจิ้งชุนเองก็ไม่เคยพูดถึงหลักการยิ่งใหญ่ในตำรากับเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่า พวกเขาคือมือกระบี่ที่ดีที่สุด คือบัณฑิตที่มีความรู้มากที่สุด
ลึกๆ ในใจเฉินผิงอันคาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนแบบนั้น แต่เขาไม่เคยพูดความในใจเหล่านี้กับใคร ด้วยกลัวจะถูกคนอื่นมองว่าไม่เจียมตน
หลี่ซีเซิ่งตัดสินใจได้ในฉับพลัน “ไม่ได้ๆ มโนธรรมในใจมิอาจเป็นสุขได้เลย ข้าจะจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้!”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด
หลี่ซีเซิ่งพลันยื่นมือมากดไหล่เฉินผิงอัน กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เฉินผิงอัน ข้าขอปากมากสักคำ วันหน้าเมื่อคบค้าสมาคมกับผู้อื่น อย่าได้เอาการกระทำของตัวเองเป็นมาตรฐาน เรียกร้องให้ทุกคนเป็นเหมือนตัวเองเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เจ้าคิดว่าปฏิเสธไม่รับยันต์ไม่ท้อคือเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินแล้ว เพราะเจ้าคิดพิจารณาแทนข้าหลี่ซีเซิ่ง ดังนั้นจึงถามใจตนแล้วไม่ละอาย ถูกหรือไม่? ถูก ถูกมาก แต่ เจ้าต้องรู้ด้วยว่าข้าวร้อยชนิดเลี้ยงคนร้อยแบบ เมื่อเจ้าสบายใจแล้วก็ควรคิดเผื่ออีกหนึ่งก้าว พยายามคิดให้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้คนข้างกายเจ้ารู้สึกสบายใจเหมือนเจ้าด้วย”
หลี่ซีเซิ่งตบไหล่เฉินผิงอัน “คิดซะว่าเป็นข้าที่ทำให้คนอื่นลำบากใจ เจ้าไม่ต้องคิดมาก หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าไม่มีทางพูดอย่างนี้แน่นอน แต่ว่าเจ้าเฉินผิงอันนั้นไม่เหมือนคนอื่น ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนดีมาก และยังดีได้มากกว่านี้อีก บางครั้งเจ้าถึงขั้นทำให้คนข้างกายรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ รู้หรือไม่?”
เฉินผิงอันทำหน้าเหรอหรา
ข้าดีขนาดนั้นเชียวหรือ?
หลี่ซีเซิ่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เดินไปที่ราวระเบียง กวักมือเรียกชุยชื่อเด็กรับใช้ที่อยู่ด้านล่าง “เอาห่อสัมภาระขึ้นมา ข้าจะใช้ตอนนี้”
“ได้เลย อาจารย์รอสักครู่”
เด็กหนุ่มผู้มีหน้าตางามประณีตดุจเครื่องปั้นเนื้อดีรีบวิ่งขึ้นไปบนหอเรือน ปลดห่อสัมภาระที่แบกไว้ด้านหลังลงอย่างคล่องแคล่ว ด้านในห่อสัมภาระมีกล่องร้อยสมบัติที่ปัญญาชนทุกคนต้องมีติดตัวยามออกเดินทางท่องเที่ยว ในกล่องบรรจุพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกครบชุด ทั้งหมดล้วนเป็นของเก่าจึงไม่หรูหรามากนัก
หลี่ซีเซิ่งหยิบพู่กันด้ามหนึ่งที่เล็กมากออกมา ดูเหมือนว่าจะเอาไว้ใช้เขียนตัวอักษรบรรจงหรือตัวอักษรตวัดแบบเล็กโดยเฉพาะ ครึ่งท่อนบนของด้ามพู่กันสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ ตัวพู่กันทำมาจากไม้ไผ่ แต่เนื่องด้วยสืบทอดกันมาหลายรุ่น ผ่านการตกตะกอนของกาลเวลาอันยาวนานจึงเกลี้ยงเกลาเป็นสีแดงมันวับ ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือปลายพู่กันที่แข็งเป็นสีทองอ่อนๆ ตรงแน่วเหมือนปลายแหลมของเหล็กหมาด
รอจนหลี่ซีเซิ่งจับพู่กันแล้ว เฉินผิงอันจึงขยับเข้ามาใกล้ เขาถึงเห็นว่าท่อนล่างของด้ามพู่กันยังมีตัวอักษรเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันอีกสี่ตัวซึ่งหากไม่สังเกตก็แทบจะมองไม่เห็น
“ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย”
หลี่ซีเซิ่งเองก็สังเกตได้ว่าเฉินผิงอันเห็นตัวอักษรสี่ตัวจึงยกด้ามพู่กันขึ้นเล็กน้อย พลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “อ่านหนังสือร้อยรอบย่อมเข้าใจกระจ่างแจ้ง อ่านตำรานับหมื่น ตวัดพู่กันดุจมีเทพช่วย ส่วนการฝึกวิชาหมัดของพวกเจ้าก็มีคำพูดที่คล้ายคลึงกันนี้ กล่าวว่าสมาธิไม่เกิด หมัดไม่เยี่ยม ฟังแล้วอาจเลื่อนลอย แต่กลับกล่าวได้ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว สิ่งที่ต้องการกล่าวถึงคือคำว่ามานะ ความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญ ความชำนาญก่อให้เกิดความลี้ลับมหัศจรรย์ ทำตามลำดับพัฒนาทีละขั้นตอนก็จะรู้ได้เอง เมื่อรู้หนึ่งวิธี เชี่ยวชาญหนึ่งวิธีย่อมเข้าใจอีกหมื่นวิธีอย่างปรุโปร่ง หมื่นวิธีล้วนสำเร็จบรรลุผล”
วินาทีนั้น ในหัวของชุยชื่อพลันมีประกายแสงเปล่งวาบคล้ายจับเค้าอะไรบางอย่างได้ เขาเกาหูเกาคาง ร้อนรนจนแทบทนอยู่เฉยไม่ได้
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่กับตำรามาตั้งแต่เด็กมึนๆ งงๆ รู้สึกเหมือนดื่มเหล้าที่หมักมานานลงไปไหหนึ่งจึงเมามายไร้สติ
มีเพียงเด็กชายชุดเขียวเท่านั้นที่นั่งแคะขี้มูกอยู่บนราวระเบียง ไม่ได้สนใจใยดีอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าพอเห็นอาการประหลาดของคนทั้งสองก็เริ่มอึ้งตะลึง
เฉินผิงอันกลับไม่ได้มีความรู้สึกร่วมด้วยมากนัก เพียงแค่จดจำหลักการเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ
หลี่ซีเซิ่งเป่าลมใส่ปลายพู่กันเบาๆ หนึ่งที ปลายพู่กันแข็งทื่อสีทองก็เหมือนจะเปลี่ยนมาเป็นชุ่มชื้น แม้ว่าประกายคมกริบยังคงอยู่ ปลายพู่กันยังคงเหมือนปลายเหล็กหมาด แต่กลับมีชีวิตชีวามากขึ้น
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “เอาปลามาให้คน ไม่สู้สอนให้คนรู้วิธีตกปลา ในเมื่อเจ้าไม่รับยันต์ไม่ท้อ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรต้องเอาสิ่งที่ตระหนักรู้จากการดูแลบ้านออกมาแสดงสักหน่อย แม้ข้าหลี่ซีเซิ่งจะยังไม่มีความรู้ยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็คิดว่าตัวเองพอจะเชี่ยวชาญด้านการสลักตัวอักษรและการวาดยันต์อยู่บ้าง วันนี้ข้าจะเขียนยันต์ลงบนแผ่นไม้ไผ่ของเรือนนี้ วางใจเถอะ เมื่อเขียนไปแล้วจะไม่ทิ้งตัวอักษรใดๆ ที่ตาเปล่ามองเห็นเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ทำลายความงดงามโดยรวมของเรือนไม้ไผ่ เพียงแต่วันหน้าอาจจะมีภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฎขึ้นมา ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่าแปลกใจแล้วกัน วันนี้หลักๆ แล้วจะสอนเจ้าเรื่องการวาดยันต์ เมื่อไหร่ที่เจ้ารู้สึกว่าจับจุดที่สำคัญไว้ได้แล้ว ข้าถึงจะหยุดเขียน เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะค่อยๆ เขียน เจ้าเองก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “ข้าค่อนข้างโง่ พี่ใหญ่หลี่ท่านควรทำใจไว้ก่อน”
หลี่ซีเซิ่งขยับเท้าเบาๆ หันหน้าเข้าหาผนังด้านหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือพู่กัน พอหาที่ที่จะเขียนลงไปได้แล้วก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากคนที่จิตใจดีงามคือคนโง่ คนที่ขยันไม่ย่อท้อคือคนโง่ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าวิถีแห่งโลกของเรามีปัญหา เฉินผิงอัน ข้าหวังว่าเจ้าจะยืนหยัดรักษาความไม่ฉลาดแบบนี้ต่อไป”
เฉินผิงอันเกาหัว เขาถูกผู้เฒ่าเหยาด่ามาจนชินตั้งแต่เด็ก เคยชินกับการมองชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันของคนอื่น พอวันนี้หลี่ซีเซิ่งเอ่ยชมเขาแบบนี้ เขาจึงปรับตัวไม่ทันสักเท่าไหร่
หลี่ซีเซิ่งคิดแล้วก็หันหน้ามาพูดว่า “เรื่องการเขียนยันต์ถือเป็นสิ่งที่สายยันต์ของลัทธิเต๋าให้ความสำคัญมาโดยตลอด อันที่จริงการเขียนยันต์ของพวกเราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับระบบของลัทธิเต๋ามากเกินไป สัจธรรมบนโลกใบนี้สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นสิ่งเน่าเปื่อยแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ก็เหมือนกับการฝึกหมัดของเจ้า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ซีเซิ่งก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “ที่งดงามอย่างมาก”
มีเด็กหนุ่มฝึกหมัด มีภูเขามองภูเขา มีน้ำก็พิศดูน้ำ
หลี่ซีเซิ่งรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ไม่มีภาพวาดม้วนใดที่จะมีความเป็นบทกวีได้มากเท่าภาพนี้อีกแล้ว
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะกลั้นหายใจทำสมาธิ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “วาดยันต์จำเป็นต้องมีกระดาษยันต์ กระดาษยันต์จะเป็นวัตถุใดบนโลกใบนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้เจ้ายังจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนโดยการวาดยันต์ลงบนกระดาษเท่านั้น เดี๋ยวเสร็จจากนี้ข้าจะส่งกระดาษยันต์คุณภาพไม่เลวปึกหนึ่ง รวมไปถึงภาพยันต์ที่ถูกหลักส่วนหนึ่งมาให้ ตอนนี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อกระดาษยันต์ชั่วคราว แต่ถ้าใช้หมดแล้วก็คงเป็นเรื่องให้เจ้าต้องกังวล นี่ช่วยไม่ได้ หนึ่งในความยากของการฝึกตนก็คือเผาผลาญทรัพย์สินมากเกินไป ผู้ฝึกกระบี่หลอมกระบี่บิน นักเขียนยันต์ก็ต้องสิ้นเปลืองกระดาษยันต์ เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้”
“กรอกปราณที่แท้จริงส่วนหนึ่งเข้าไปยังปลายพู่กัน จากนั้นก็เขียนให้เสร็จในรวดเดียว เหมือนบัวที่ตัดขาดก็ยังเหลือใย ตัวอักษรขาดออกจากกันได้ แต่ความศักดิ์สิทธิ์มิอาจให้ขาด จำเป็นต้องขานรับกันตลอดเวลา เหมือนเวลาตะโกนเสียงดังอยู่บนยอดเขาใหญ่สองยอดที่ต้องได้ยินเสียงสะท้อนตอบรับ”
“เฉินผิงอัน จงดูให้ดี”
หลี่ซีเซิ่งพลันเปลี่ยนพู่กัน ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ ไปไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง เช็ดมือข้างที่ว่างอยู่กับชายแขนเสื้อ เช็ดเสร็จแล้วถึงได้เปลี่ยนพู่กันกลับมามือเดิม พูดยิ้มๆ กับเฉินผิงอันว่า “เรื่องนี้ข้าเรียนรู้มาจากเจ้า นั่นคือ สำหรับเรื่องบางเรื่อง ต้องมอบความเคารพให้ เมื่อก่อนข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ในเมื่อเห็นตัวอย่างที่ดีจึงเลือกเอามาปรับปรุงตัวเอง”
ครั้งแรกที่พบหน้ากันตรงหน้าประตูจวนใหญ่สกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะรับหนังสือมาจากมือของหลี่ซีเซิ่ง เขาวางไหในมือลงก่อน เช็ดมือแล้วถึงได้กล้ารับหนังสือมา
ไหนเลยที่เฉินผิงอันจะคิดว่าการกระทำโดยบังเอิญนี้จะทำให้หลี่ซีเซิ่งคิดเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้
ในที่สุดหลี่ซีเซิ่งก็เริ่มวาดยันต์ แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับเหมือนบัณฑิตที่กำลังตั้งใจเขียนตัวอักษรมากกว่า
อยู่บนหอเรือนมองพระอาทิตย์ขึ้นเหนือมหาสมุทรไพศาล
—–