อริยะกล่าวว่า สวรรค์จะมอบภารกิจสำคัญให้แก่ใคร จำเป็นต้องทดสอบขัดเกลาจิตใจ ใช้ความหิวโหยและความเหนื่อยยากมาทดสอบร่างกายของคนผู้นั้นก่อน
เว่ยป้อมาเยือนภูเขาลั่วพั่วแทบทุกวันเพื่อนำตัวยาล้ำค่าจากร้านผ้าห่อบุญมามอบให้เฉินผิงอัน
สำหรับสภาพอเนจอนาถที่เฉินผิงอันต้องเผชิญยี่สิบกว่าวันมานี้ แม้เว่ยป้อจะพูดไม่ได้ว่ารู้สึกเห็นอกเห็นใจราวกับตัวเองก็เผชิญในสิ่งเดียวกัน แต่สำหรับความอดทนของเฉินผิงอัน รวมไปถึงความโหดเหี้ยมของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคนนั้นล้วนทำให้เว่ยป้อตกตะลึงและแปลกใจอย่างมาก
นี่ต้องเป็น ‘ภารกิจสำคัญ’ ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงจำเป็นต้องเผชิญกับหายนะขนาดนี้? คงไม่ถึงขั้นที่ว่า เมื่อใต้หล้าเกิดกลียุค มีข่าวร้ายส่งมาจากภูเขาห้อยหัวแล้วต้องให้เด็กหนุ่มเฉินผิงอันใช้หนึ่งกระบี่สังหารศัตรูนับล้านหรอกกระมัง?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ขนาดตัวเว่ยป้อเองก็ยังรู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดี
ท้องฟ้าสูงแค่ไหน ผืนดินนั้นกว้างขวางเท่าไหร่ ต้องรู้ว่าแจกันสมบัติทวีปยังเป็นแค่ทวีปที่เล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ทวีปใหญ่ที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดยังมีนาตยทวีปที่เขียวขจีไปด้วยผืนป่า เซียนกระบี่พสุธาที่พลังการต่อสู้สูงล้ำอย่างเฉาซี เมื่ออยู่ในทักษินาตยทวีปก็ยังยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือสูงสุด นักพรตที่อยู่บนยอดสูงสุดของภูเขาอย่างแท้จริงต้องเป็นอย่างพวกบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่นอิงเท่านั้น
ระหว่างนี้ซ่งอวี้จางเทพภูเขาลั่วพั่วเคยมาขอพบเว่ยป้อครั้งหนึ่ง เว่ยป้อพูดคุยกับเขาอย่างเฉยชาแค่ไม่กี่คำ แตกต่างจากความกระตือรือร้นและเกรงอกเกรงใจตอนพบกันครั้งแรกมากนัก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีแก่ใจ ซ่งอวี้จางต้องการเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ ภักดีอย่างโง่เขลา ทุกอย่างล้วนเอาผลประโยชน์ของต้าหลีเป็นที่ตั้ง ครานั้นตอนที่อยู่ในศาลเทพภูเขาบนยอดเขา ต่อให้อยู่ต่อหน้าเว่ยป้อ ซ่งอวี้จางก็ยังพูดเรื่องของเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมา เว่ยป้อเองก็ไม่ใช่รูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ที่ไร้โมหะ ทั้งสองจึงจากลากันอย่างไม่สบอารมณ์
วันนี้เว่ยป้อหิ้วห่อผ้าเดินขึ้นยอดเขาอย่างสบายอารมณ์ เมื่อมาถึงเรือนไม้ไผ่ก็พบว่าเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ใกล้ราวระเบียงด้านหน้าห้องฝึกบนชั้นสองเพิ่งจะฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งเสร็จ อีกทั้งยังมีอารมณ์เป็นฝ่ายโบกมือทักทายเขาก่อน เว่ยป้อโยนห่อผ้าที่มีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึงเงินให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ปรายตามองเด็กชายชุดเขียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าผาแวบหนึ่ง ก่อนวิ่งเหยาะๆ ขึ้นไปบนชั้นสองจนเกิดเสียงตึงๆๆ ดังเป็นระลอก ไม่มีมาดของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่กำลังจะได้รับพระราชโองการทองคำอะไรเลย กลับเหมือนลูกจ้างในโรงเตี๊ยมเสียมากกว่า
แม้ว่าอีกเดี๋ยวเฉินผิงอันก็จะต้อง ‘มุ่งหน้าสู่ลานประหาร’ แล้ว แต่เขาก็ยังพูดพลางอมยิ้มน้อยๆ ได้ว่า “ลำบากเว่ยเซียนซือแล้ว”
“ไม่ลำบากๆ แค่เดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น แถมทุกวันยังได้เดินชมทัศนียภาพ อีกอย่างข้าเองก็เป็นเทพภูเขา เดิมทีก็มีหน้าที่ต้องสำรวจตรวจตราพื้นที่บนภูเขาอยู่แล้ว”
เว่ยป้อใช้ข้อศอกอิงราวระเบียง หันหน้ามามองเด็กหนุ่ม “ดื่มเหล้าไปแค่เกือบครึ่งกาเท่านั้น มันได้ผลดีขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างขัดเขิน “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม พอดื่มเข้าไปแล้ว อารมณ์ก็แตกต่างไปจากเดิม”
เว่ยป้อพยักหน้า “เป็นเรื่องดี”
น้ำเสียงขุ่นมัวหนาหนักของผู้เฒ่าดังออกมา “เข้ามาเสวยสุขได้แล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างจนใจ บอกลาเว่ยป้อ เว่ยป้อได้แต่ยิ้มจืด เสวยสุข? ตาเฒ่านี่ก็ช่างพูดออกมาได้
คำพูดว่าปลดเกราะ (หมายถึงทหารที่ปลดเสื้อเกราะ แสดงว่าไม่ทำศึกอีกแล้ว หรืออาจแฝงความหมายถึงการยอมแพ้) ฟังแล้วน่าสนใจมากใช่ไหมล่ะ? แต่ความจริงล่ะเป็นอย่างไร? ความจริงก็คือต้องให้เฉินผิงอันฉีกผิวหนังชั้นนอก งัดเล็บของตัวเองออก!
ส่วนคำพูดว่าสาวไหม แท้จริงแล้วก็คือบอกให้เฉินผิงอันดึงเส้นเอ็นของตัวเองออกมา!
วิธีการที่โหดร้ายทารุณเช่นนี้ การทดสอบจิตใจคนอย่างแท้จริงอยู่ที่ จงใจให้เฉินผิงอันลงมือด้วยตัวเอง แถมยังต้องเบิกตามอง และทำอย่างรวดเร็วไม่ได้ ต้องค่อยๆ ‘สาวเส้นไหม’ ให้กับตัวเองไปทีละนิด
แต่นอกจากความรู้สึกขนหัวลุกแล้ว เว่ยป้อเองก็ค่อนข้างคาดหวังและรอคอยที่จะได้เห็นพัฒนาการของขอบเขตวรยุทธ์เฉินผิงอัน
ขอบเขตสามที่ปูพื้นฐานด้วยการผ่านความทรมานเช่นนี้ จะต้องหนาและมั่นคงมากเท่าใด วันหน้าเวลาประหัตประหารกับศัตรู พลังการต่อสู้จะต้องแข็งแกร่งมากเท่าใด?
เฉินผิงอันถอดรองเท้าแตะเดินเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า พอปิดประตูแล้วก็พบว่าผู้เฒ่าที่กำลังนั่งขัดสมาธิเปิดอ่าน ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ขมวดคิ้วมุ่น
วันนี้ขณะที่เฉินผิงอันกำลังฝึกท่าเจี้ยนหลู จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ บอกว่าอยากจะเห็นตำราหมัดของท่าเจี้ยนหลูและท่ายืนนิ่งนี้สักหน่อย เฉินผิงอันอธิบายโดยใช้คำพูดไม่ต่างจากที่เคยบอกแม่นางหนิงไว้ บอกว่าวิชาหมัดนี้เขาเก็บรักษาแทนคนอื่นชั่วคราว ไม่ใช่ของเขาเฉินผิงอัน วิชาหมัดและภาพที่บันทึกไว้ในตำราไม่สามารถแพร่งพราย ฯลฯ ทำเอาผู้เฒ่าโมโหจนเกือบจะลงมือสั่งสอนเด็กหนุ่มเสียตรงนั้น
“นี่ก็คือตำราหมัดเขย่าขุนเขานั่นหรือ?”
ผู้เฒ่าโยนตำราหมัดให้เด็กหนุ่มแล้วหัวเราะเฮอๆ กล่าวด้วยใบหน้าที่มีแต่ความดูแคลน “บทคำนำของวิชาหมัดกล่าวไว้ว่า ‘บ้านเกิดมีแมลงน้อยที่เรียกว่ามดตะนอย ชั่วชีวิตของมันแปลกแยกไปจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกมันล้วนย้ายหินภูเขาลงน้ำ’ ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นชาวบู๊ในยุทธภพที่มาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป เจ้าลองฟังภาษาที่ไอ้หมอนี่ใช้ดูสิ กลิ่นอายบ้านนอกเต็มเปี่ยม พอจะรู้ได้เลยว่าชีวิตของอาจารย์หมัดมวยที่เขียนตำราหมัดเล่มนี้คงไม่ได้ดิบได้ดีเท่าไหร่กระมัง?”
“ยังดีที่ไอ้หมอนี่รู้จักประมาณตนอยู่บ้าง จึงเขียนประโยคหนึ่งไว้ในตำราหมัดอย่างชัดเจนว่า ‘ไม่เคยกระโดดขึ้นเป็นตำราหมัดชั้นสูงของโลก’ ไม่อย่างนั้นข้าผู้อาวุโสคงต้องด่าว่าเขาหน้าไม่อายไปแล้ว”
“ ‘วิชาหมัดของข้า แบ่งเป็นตายแต่ไม่แบ่งแพ้ชนะ ให้ความสำคัญกับปณิธานแห่งหมัด ไม่เน้นกระบวนท่าหมัด’ จุ๊ๆ ประโยคนี้ช่างพูดได้ใหญ่โตเหมือนคางคกสกปรกที่แค่อ้าปากก็หวังกลืนฟ้ากินดิน เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวิชาหมัดถึงเขียนบรรยายไว้อย่างนี้? ง่ายมาก เพราะหากแบ่งแพ้ชนะ ย่อมต้องแพ้มากกว่าชนะ ดังนั้นถึงได้พร่ำพูดว่าแค่แบ่งแยกเป็นตาย เพราะอย่างมากก็แค่ตายให้จบๆ กันไปไงล่ะ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากตำราหมัดเล่มนี้แย่ขนาดนั้น แล้วทำไมท่านผู้อาวุโสถึงจดจำเนื้อหาในตำราได้แม่นขนาดนี้เล่า?”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “วิชาหมัดที่บันทึกไว้ห่วยแตกจริงๆ แต่ไอ้หมอนี่พูดจาไม่กลัวลิ้นขาด ข้าผู้อาวุโสอ่านแล้วก็ขำ จึงมองมันเป็นบันทึกท่องเที่ยวที่เอาไว้อ่านเล่นเพลินๆ เล่มหนึ่ง”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่ก็ไม่พอใจนัก
เขาเห็นค่าตำราหมัดเล่มนี้มาก เห็นค่าและทะนุถนอมมันยิ่งกว่าสิ่งใด!
ลึกๆ ในใจของเฉินผิงอันรู้สึกซาบซึ้งใจในตำราเขย่าขุนเขาเล่มนี้ไม่ด้อยไปกว่าปราณกระบี่สามเส้นจากวิญญาณกระบี่เลย
หนึ่งคือยาช่วยชีวิต อีกหนึ่งคือยันต์คุ้มกันชีวิต ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ แล้วก็ไม่ควรมี อันที่จริงเฉินผิงอันเห็นประโยชน์เห็นข้อดีของตำราเขย่าขุนเขาไม่น้อย แต่หนิงเหยารู้สึกว่ามันธรรมดามาก แค่ฝึกหมัดไปตามลำดับขั้นตอนก็พอแล้ว และนางก็ไม่คิดว่ามันจะสร้างความสำเร็จให้ได้สักเท่าไหร่ จูเหอที่เคยเห็นการเดินนิ่งยืนนิ่งของเฉินผิงอันกับตาตัวเองก็ไม่รู้สึกว่าน่าทึ่งตรงไหน
แต่เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้
ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปี หนึ่งร้อยปี ไม่ว่าถึงเวลานั้นความสำเร็จในการฝึกวรยุทธ์ของเขาจะสูงแค่ไหน สำหรับความชื่นชอบที่เขามีต่อ ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ก็มีแต่จะยิ่งมากขึ้น ไม่มีทางลดน้อยลง!
ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “ก่อนที่จะฝึกหมัดวันนี้ ข้าผู้อาวุโสอยากถามคำถามเล็กๆ จากเจ้าข้อหนึ่ง หากตอบถูก ก็จะมีรางวัลให้ แต่ถ้าตอบผิด หึหึ”
เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย รู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย
ผู้เฒ่าหุบยิ้ม ถามเสียงหนัก “เจ้ารู้สึกว่าในวิชาหมัดเล่มนี้ หากโยนกระบวนท่าหมัดทิ้งไป เจ้าชอบประโยคไหนมากที่สุด?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ ‘คนรุ่นหลังที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาของข้า ต่อให้เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ของสามลัทธิ จงจำไว้ว่าวิชาหมัดของเราอ่อนด้อยได้ สามารถแพ้ได้เมื่อต้องช่วงชิงชัยชนะ มีเพียงปณิธานแห่งหมัดเท่านั้นที่ห้ามอ่อนข้อ!’”
ผู้เฒ่าลุกพรวดขึ้นยืน “ฝึกหมัด!”
……
ทางฝ่ายร้านตีเหล็กทางทิศใต้ของเมืองเล็ก มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังบ่นบิดาของนาง “ทำไมถึงไม่ให้ข้าช่วยหลอมกระบี่เล่มนี้ล่ะ?”
ชายฉกรรจ์ปรายตามองไปยังทิศทางของเตาหลอมกระบี่ใหม่เอี่ยม “รู้หรือไม่ว่าทำไมพ่อถึงรับปากเด็กสาวคนนั้นว่าจะยอมหลอมกระบี่เล่มนี้ให้นาง?”
เด็กสาวพยักหน้า “รู้สิ นางมอบแท่นสังหารมังกรก้อนใหญ่ขนาดนั้นให้พวกเรา มากพอจะซื้อกระบี่ดีๆ เล่มหนึ่งได้แล้ว”
หร่วนฉงส่ายหน้า “ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พ่อหวังว่ากระบี่เล่มแรกที่ข้าหร่วนฉงหลอมหลังจากก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะหลอมให้ใครก็ล้วนสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้คน ให้คนทั้งแจกันสมบัติทวีป หรือแม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปก็ยังรู้ถึงความคมกริบของกระบี่เล่มนี้!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ทั่วร่างของชายฉกรรจ์ตีเหล็กที่แม้แต่สตรีขายสุราในเมืองเล็กก็ยังกล้าพูดจาหยอกเย้าพลันแผ่แสงแปลกประหลาดขุมหนึ่ง เหมือนบุรุษธรรมดาที่คุยโวโอ้อวด เหมือนนักพรตเต๋าที่กล่าวกถามรรค เหมือนหลวงจีนที่เทศนาพระธรรม บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำมือเป็นหมัดทุบลงบนเข่าเบาๆ สายตาคมปลาบ ไหนเลยจะยังมีลักษณะหยาบกร้านทึ่มทื่อเหมือนในยามปกติ “ถ้าอย่างนั้นมอบให้ใครถึงเหมาะสมที่สุด? เว่ยจิ้นที่เดิมทีก็มาจากศาลลมหิมะ นับว่าเป็นคนกันเองครึ่งหนึ่ง ตามเหตุตามผลแล้วก็เหมาะสมดี เสียดายก็แต่ก่อนหน้าที่หนิงเหยาจะปรากฏตัว เว่ยจิ้นปิดด่านมาโดยตลอด ในเมื่อหนิงเหยาเป็นฝ่ายขอให้หลอมกระบี่ แถมยังจ่ายด้วยแท่นสังหารมังกร ข้าย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เมื่อผ่านภูเขาห้อยหัวไป ที่นั่นนับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกกระบี่ยิ่งกว่าที่อุตรกุรุทวีป ร้ายกาจยิ่งกว่าและดึงดูดสายตาของผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าได้มากกว่า”
การดำรงอยู่ของภูเขาห้อยหัวถูกขนานนามให้เป็นตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดิมทีเป็นเพียงแค่ตราประทับขนาดเล็กชิ้นหนึ่ง แต่พอหล่นลงมาจากฟ้าก็กลายมาเป็นขุนเขาตระหง่านง้ำ เห็นได้ชัดว่าต้องการสร้างความสะอิดสะเอียดให้กับพวกอริยะลัทธิขงจื๊อ ลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ปฐมสำนักตั้งอยู่ในใต้หล้าแห่งอื่นไม่เพียงแต่ตอกตะปูชิ้นนี้ลงในใต้หล้าไพศาล ยังเรียกร้องให้ผู้ฝึกลมปราณของแต่ละทวีปที่ต้องผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่จำเป็นต้องเซ็น ‘สัญญาแห่งขุนเขา’ ฉบับหนึ่งด้วย
คนทั่วไปไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะอย่างไรซะนั่นก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ริมขอบที่สุดของใต้หล้าไพศาล อย่างสำนักบนภูเขาขนาดเล็กทั่วไปของแจกันสมบัติทวีปที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กันดาร ชั่วชีวิตก็ไม่เคยได้ยินสองคำนี้ หากเป็นสำนักที่พื้นที่ขยับใกล้เข้ามาอีกนิดก็แค่เคยได้ยินมาก่อน พูดถึงแค่ผ่านๆ เพราะเป็นหัวข้อที่ยากจะพูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง หนึ่งเพราะข่าวสารติดขัด นอกจากนี้ก็เพราะมีภูเขาและแม่น้ำกางกั้นนับหมื่นลี้ เป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกลไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และต่อให้เป็นสำนักระดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปอย่างศาลลมหิมะก็ยังรับรู้ถึงสภาพการณ์ของที่แห่งนั้นอย่างพร่าเลือน เหมือนมองดอกไม้โดยมีหมอกกั้นกลางชั้นหนึ่ง จะอย่างไรซะภูเขาห้อยหัวที่ขวางกั้นไว้ก็มาจากฝีมือของศิษย์รองมรรคาจารย์เต๋าที่มา ‘สร้าง’ สวนหลังบ้านของตัวเองไว้ในใต้หล้าแห่งนี้
การกระทำของเขานั้นโอหังอย่างถึงที่สุด
ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นบ้านของลัทธิขงจื๊อ แต่นักพรตลัทธิเต๋าอย่างข้าอยากจะสร้างสวนดอกไม้เล็กๆ ที่เป็นของตัวเองไว้ในบ้านของเจ้า
มิน่าเล่าตอนที่เหวินเซิ่งยังไม่ได้กลายเป็นอริยะถึงได้วิ่งไปยังจุดตัดของสองใต้หล้า ด่ากราดลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าผู้นั้น จนกลายเป็นหนึ่งในวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อภาคภูมิใจมากที่สุด
ตามคำพูดบางอย่างที่เล่าลือกันมานาน บอกว่าเมื่อเจ้าไปที่ภูเขาห้อยหัวแล้วจะดูอะไรหรือเดินไปที่ไหนก็ตามใจ แต่กับเรื่องบางเรื่องเจ้าห้ามแพร่งพรายออกไปข้างนอกเด็ดขาด หากเจ้าเอาไปเล่า ย่อมต้องมีศิษย์ลูกศิษย์หลานของหนึ่งในเจ้าประมุขลัทธิเต๋าที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลมาคิดบัญชีกับเจ้า อีกทั้งเมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ สามสถาบันศึกษาเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมักจะไม่ยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว อย่างมากสุดก็แค่พูดจาเป็นกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์แค่ไม่กี่คำเท่านั้น
ส่วนข้อที่ว่าทำไมเหล่าอริยะที่มีรูปปั้นองค์เทพอยู่ในศาลเจ้าบุ๋นถึงเลือกจะมองข้ามเรื่องนี้ เกรงว่าคงเกี่ยวพันกับเรื่องวงในที่สำคัญอย่างมาก
พูดได้แค่ว่า ‘สวรรค์’ เท่านั้นที่รู้
หร่วนซิ่วกล่าวอย่างอัดอั้น “ท่านพ่อ ท่านพูดมามากมายขนาดนี้ แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ไม่ให้ข้าช่วยท่านตีเหล็กหลอมกระบี่ด้วย?”
หร่วนฉงพยักหน้า “ระดับของกระบี่เล่มนี้สูงเกินไป คุณภาพดีเกินไป ตอนนี้ขอบเขตของเจ้าสูงพอแล้ว แต่พ่อกลัวว่าหากเจ้าลงมือตีจนเกิดไฟที่แท้จริงเมื่อไหร่ จะสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนมากเกินไป ตอนนี้ในเมืองเล็กมีคนดีคนชั่วปะปนกันมั่วไปหมด เพียงแค่ลมพัดใบไม้ไหวก็จะกลายเป็นเรื่องที่คนครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปรับรู้กันทั่ว”
หร่วนซิ่วยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม “ข้าก็แค่ตีเหล็กเท่านั้น จะยังตีให้เกิดเป็นขนมกุ้ยฮวาได้อย่างนั้นหรือ?”
หร่วนฉงแค่นเสียงเย็น “หากแค่ตีให้เกิดเป็นขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่ง พ่อก็วางใจแล้ว”
หร่วนซิ่วร้อง “ห๊ะ” อย่างกระอักกระอ่วน แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
หนึ่งปีที่ผ่านมานี้นางกินขนมไม่มาก พูดแล้วก็น้ำลายไหล ค่อนข้างจะอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง
หร่วนฉงอดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหว “พอเจ้าเด็กนั่นได้ยินว่าจะต้องเอากระบี่ไปส่งให้หนิงเหยาก็ตอบรับทันทีทันใด ไม่แม้แต่จะถามว่าระยะห่างระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับภูเขาห้อยหัวไกลกันมากแค่ไหนด้วยซ้ำ คางคกคิดอยากกินเนื้อหงส์ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
หร่วนซิ่วหันหน้ามาพูดเบาๆ “ท่านพ่อ เขาก็แค่ชอบแม่นางคนหนึ่งเท่านั้น ยังต้องสนใจเรื่องความเหมาะสมด้วยหรือ ไม่ได้จะหมั้นหมายแต่งงานกันสักหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยสนใจชาติกำเนิดก็ยังพอมีเหตุผลให้เข้าใจได้ แต่ตอนนี้ก็แค่ชอบคนคนหนึ่ง ฟ้าและดินไม่สนใจหรอก”
หร่วนฉงอึ้งงัน “เจ้ารู้ว่าเขาชอบหนิงเหยา?”
หร่วนซิ่วเบิกตากว้าง “ข้าไม่ได้ตาบอดสักหน่อย อีกอย่างท่านพ่อเองก็ไม่ใช่ไม่รู้นี่ว่า ข้ามองเห็นใจคนได้ เพราะฉะนั้นข้ารู้มานานแล้ว”
หร่วนฉงโมโหจนพูดไม่ออก เจ็บใจก็แต่ไม่อาจเดินไปที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วแล้วต่อยเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นั้นให้ตายด้วยหมัดเดียว
บุตรสาวบ้านใดบ้างที่รังแกคนในครอบครัวตัวเองเช่นนี้
——————————-