กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 200.2 เงื่อนตายของทางตาย

บทที่ 200.2 เงื่อนตายของทางตาย

นอกหอเรือนตรงชั้นหนึ่งมีเด็กหนุ่มสีหน้าไม่น่ามองคนหนึ่งยืนอยู่ เขากำลังเงยหน้ามองมาที่พวกเขา

แต่เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร

บรรยากาศเยียบเย็นอย่างถึงที่สุด

ครู่หนึ่งต่อมา ผู้เฒ่ายังไม่ลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้จากไปไหน

ชุยฉานรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย

ต่อให้คนที่ยืนอยู่ชั้นหนึ่งจะเป็นอาจารย์ของเขาอีกคนหนึ่งก็ตาม

แต่สำหรับเรื่องพวกนี้ ชุยฉานไม่รู้สึกสนใจจริงๆ หากไม่เป็นเพราะใครบางคนอาจจะกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ในเมื่อจิตวิญญาณแยกจากกัน ร่างก็แบกออกเป็นสองร่างแล้ว ถ้าเช่นนั้นสำหรับเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงที่ไม่มีประโยชน์อะไรต่อตน ชุยฉานก็ไม่ถือสาที่จะส่งให้เด็กหนุ่มเดินทางไปปรโลก เพราะอีกฝ่ายไม่เพียงแต่ขัดหูขัดตา ยังอาจจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย นี่ทำให้ชุยฉานที่เคยชินกับการควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือไม่ชอบใจอย่างยิ่ง ส่วนมหามรรคาของ ‘เด็กหนุ่มชุยฉาน’ ผู้นั้นจะเป็นอย่างไร จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ไม่มีหวังจะกลับคืนสู่จุดสูงสุดไปตลอดชีวิตหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเขาราชครูชุยฉานด้วย?

จะอย่างไรก็เป็นคนสองคนแล้ว

ผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไผ่ แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “ทำไม เจ้ารังเกียจที่ข้าผู้อาวุโสฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ เลยอยากจะทวงความยุติธรรมจากข้าผู้อาวุโสคืนให้กับเจ้าหมอนั่นที่ตายตาไม่หลับอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างศพนั้น นั่งยองลงไปก็พบว่าอีกฝ่ายตายสนิทแน่แล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาทำไม แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฆ่าเจ้า ดังนั้นสิ่งที่ข้าพอจะทำได้ก็คือช่วยฝังศพให้เจ้า วันหน้าหากรู้บ้านเกิดของเจ้าก็จะพยายามนำกระดูกของเจ้ากลับคืนสู่มาตุภูมิ”

แม้จะพูดให้คนตายฟัง แต่ก็ตั้งใจให้สองคนบนชั้นสองได้ยินด้วย แล้วก็คล้ายจะพูดให้ตัวเองฟังเช่นกัน

ผู้เฒ่าพลันแผดเสียงเกรี้ยวกราด ใบหน้าดุดันเผยความเดือดดาลสุดขีด กล่าวพร้อมปล่อยพลังอำนาจที่พุ่งปะทุเทียมฟ้า “บนโลกมีคนดีอยู่มากมาย แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างข้า ใต้หล้านี้กลับมีน้อยจนนับนิ้วได้! นักพรตบนโลกมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าคิดว่าคนที่ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดจะมีการแบ่งแยกดีเลวงั้นหรือ?! เฉินผิงอัน เจ้าจะเรียนหมัดจากข้าผู้อาวุโสหรือจะเรียนรู้การเป็นคนกันแน่?!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกให้เด็กชายชุดเขียวมาช่วยกันจัดการฝังศพ เขามองไปยังชั้นสองแล้วเอ่ยว่า “แค่เรียนหมัดอย่างเดียว!”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “ดีๆๆ! แล้วเมื่อไหร่จะมาฝึกหมัดเล่า?”

เฉินผิงอันเดินไปทางเรือนไม้ไผ่เงียบๆ ขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง

ผู้เฒ่าหมุนกายเดินกลับเข้าไปในห้อง “มีเรื่องอะไรก็มาเรียกข้าได้เสมอ”

“ท่านวางใจเถอะ”

ชุยฉานหมุนตัวเดินไปทางบันไดพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง!”

ฝีเท้าของผู้เฒ่าชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ก้าวใหญ่ๆ ข้ามผ่านธรณีประตู ปิดประตูตามหลังดังปัง

ชุยฉานหยุดอยู่บนบันไดขั้นบน เฉินผิงอันเดินมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะหลีกทางให้จึงหยุดเดิน

ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อท่านนี้ก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่มจากมุมสูง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูที่ยังไม่ปริแตกและร่วงลงมา เจ้าเฉินผิงอันถือว่าเป็นคนที่น่าสงสารมากที่สุด โชควาสนาบางเบาจนแทบจะไม่มี ดังนั้นโชคและโอกาสทุกอย่างจึงผ่านเลยเจ้าไป ส่วนตัวเจ้าก็กลายเป็นเหยื่อล่อของคนอื่น

ตอนนี้ไม่มีตราผนึกที่ลี้ลับเหล่านั้นอยู่อีกแล้ว ซ้ำยังมีแววว่าจะเจอเรื่องดีหลังจากต้องผ่านเรื่องร้ายมามาก ขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่ขนาดนี้ตกลงมาจากฟ้าก็จงรับไว้ให้ดี คว้าจับให้แน่น มือขาดขาหักก็ใช้ปากคาบเอาไว้ แม้จะต้องกัดจนฟันแหลกก็ต้องใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปช่วงชิงมันมา คว้าเอาไว้ให้มั่นอย่าให้หลุดมือเด็ดขาด!”

ชุยฉานเดินลงด้านล่างพลางกล่าวไปด้วย “คำพูดเหล่านี้ข้าช่วยพูดแทนตาเฒ่าคนนั้น เขาเป็นคนไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นดีๆ ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ล้วนยึดมั่นในหลักของความถูกต้องสมเหตุสมผลเสมอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันน่ารำคาญมาก หากเป็นตัวข้าเอง คราวนี้คงไม่คิดจะมาพบเจ้า เจ้าจะเป็นหรือตายไม่สำคัญอีกแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องขอบคุณฉีจิ้งชุน ศิษย์น้องของข้า แน่นอนว่าหากเจ้าเฉินผิงอันไม่เอาถ่าน ฉีจิ้งชุนย่อมตายไปอย่างเปล่าประโยชน์”

กล่าวมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของชุยฉานก็ซับซ้อนเล็กน้อย “จำต้องยอมรับว่า ข้อนี้ สายตาข้าดีกว่าหยางเหล่าโถว แต่แย่กว่าฉีจิ้งชุน”

สุดท้ายคนทั้งสองเดินสวนไหล่กัน ต่างคนต่างก็เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่าย

และเวลานี้เอง ชุยฉานหยุดชะงักเล็กน้อย พูดเสียงค่อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในชีวิตนี้ของเจ้าคือครั้งไหน?”

เด็กหนุ่มหยุดเดินแทบจะในเวลาเดียวกัน

ชุยฉานกดเสียงลงต่ำ “คือตอนที่ ‘ผู้หวังดี’ บางคนจะมอบถังหูลู่ให้เจ้า หากตอนนั้นเจ้ารับเอาไว้ ทุกอย่างก็เหลือเพียงความว่างเปล่า”

ในใจเฉินผิงอันตื่นตะลึงจนไม่อาจตะลึงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

เรื่องราวหลายอย่างในอดีตแล่นผ่านไป แต่ละเรื่องค่อยๆ ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า

ราชครูชุยฉานเดินลงไปด้านล่างต่อ วินาทีที่เขาก้าวออกไปจากบันไดขั้นสุดท้าย ร่างของเขาก็หายวับไปทันที

การฝึกวิชาหมัดครั้งนี้ทั้งหล่อหลอมเรือนกายและชำระล้างจิตใจ เทียบกับความทรมานของเมื่อวานแล้วมีแต่จะร้ายแรงหนักข้อยิ่งกว่า

ไม่ว่าเฉินผิงอันจะกัดฟันอดทนอย่างไรก็ยังหมดสติไปหลายครั้ง แต่กลับถูกผู้เฒ่าอัดให้คืนสติเสียทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เรียกได้ว่าอยู่ไม่สู้ตายอย่างแท้จริง

ตอนที่เด็กชายชุดเขียวแบกเฉินผิงอันออกมาจากห้อง เกือบจะเข้าใจไปว่าเป็นการเก็บศพครั้งที่สองของวันเสียแล้ว เขาตกใจขวัญผวา เพราะลมหายใจของเฉินผิงอันตอนนั้นรวยรินบางเบาเหมือนเส้นด้าย ลมหายใจแผ่วเบายิ่งกว่าคนแก่ใกล้ตายเสียอีก

เป็นเหตุให้เว่ยป้อจำต้องขึ้นไปเคาะประตูบนชั้นสองเพื่อเตือนผู้เฒ่าว่าอย่าทำเกินขอบเขต

ผู้เฒ่าพูดผ่านบานประตูด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าผู้อาวุโสสอนใครฝึกวิชาหมัด ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติมาชี้มือชี้ไม้ใส่ข้า!”

เว่ยป้อเดินกลับลงมาชั้นล่างอย่างขุ่นเคือง เพราะวางใจไม่ลงจึงได้แต่นั่งจ้องลมหายใจของเฉินผิงอันที่อยู่ในถังยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน

ม่านราตรีเยื้องกรายลงมา เฉินผิงอันที่อ่อนระโหยโรยแรงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเดินออกมานอกประตูใหญ่

เด็กชายชุดเขียวฝึกตนอยู่ริมหน้าผา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กมาให้

เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ ลูบศีรษะของนาง กล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่เป็นไร”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเค้นรอยยิ้มส่งให้ พูดประจบเลียนแบบเด็กชายชุดเขียว “แน่นอน นายท่านของข้าร้ายกาจที่สุดอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันทำหน้าทะเล้นใส่นาง

ในที่สุดก็หยอกให้แม่นางน้อยตลกจนหลุดขำได้

จากนั้นเฉินผิงอันก็นั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างวางไว้บนขา ท่านั่งเกียจคร้านอย่างไม่ได้จงใจ

แต่ว่า

ในที่สุดทั่วร่างของเฉินผิงอันเวลานี้ก็มีประกายคมกริบที่ไม่อาจใช้คำพูดบรรยายได้แผ่ออกมา ต่อให้เขาไม่พูดอะไร ไม่ว่าเขาจะนั่ง นอนหรือยืน ปณิธานและสัจธรรมแห่งหมัดที่ไหลบ่าดุจน้ำท่วมทะลักอยู่บนร่างเขาก็มากพอจะทำให้ผู้เชี่ยวชาญวิชาหมัดรู้สึกสะท้านแสบตาได้แล้ว!

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกไม่คุ้นเคย เด็กชายชุดเขียวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามมุมานะฝึกตนในทุกๆ วัน

สิ่งที่หาได้ยากและล้ำค่าที่สุดจากการฝึกหมัดครั้งนี้อยู่ที่ว่า ไม่ว่าการขัดเกลาหล่อหลอมที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินผิงอันจะดุร้ายทารุณแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนจิตใจและสันดานเดิมของเด็กหนุ่มได้แม้แต่เสี้ยวเดียว เกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้ไขความกระจ่าง ไม่ว่าจะเป็นบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนใช้กฎข้อหนึ่ง เหนืออาจารย์ผู้มีชื่อเสียงก็คือพระวิสุทธิอาจารย์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เฒ่าก็คือพระวิสุทธิอาจารย์อันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธ์ พระวิสุทธิอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นยอดฝีมือเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษของตระกูลหลี่คิดว่าจูเหอที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า เหมาะสมกับตำแหน่งพระวิสุทธิอาจารย์อย่างแท้จริง แต่ผู้เฒ่าที่ทุกวันขังตัวเองไว้ในเรือนไม้ไผ่ท่านนี้ หากไม่เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์นั่นแหละถึงจะแปลก

“เหนือขอบเขตเก้าขึ้นไปยังมีทัศนียภาพที่ยอดเยี่ยมงดงามยิ่งกว่า” คำพูดแบบนี้ใครที่จะเอ่ยได้? ขนาดจูเหอยังเชื่อมั่นอย่างยิ่งยวดว่าขอบเขตสูงสุดของขั้นเก้าก็คือปลายทางและจุดจบของการเรียนวรยุทธ์แล้ว

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแอบถาม “นายท่าน วันนี้ท่านอารมณ์ไม่ดีใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าพูดถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสฆ่าคนใช่ไหม?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเหลือบตามองไปยังชั้นสองอย่างขลาดๆ กลัวว่าตัวเองจะสร้างปัญหาให้กับนายท่าน

เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัด เขาแค่เอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนที่เดินทางไกลคราวก่อน ข้าเคยเจอกับผีสวมชุดเจ้าสาวตนหนึ่ง นางเคยชอบบัณฑิตคนหนึ่ง ชอบมากจน…ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร แต่เพื่อเขาแล้ว นางสังหารบัณฑิตบริสุทธ์ที่เดินทางผ่านมาเป็นจำนวนมาก ข้ารู้สึกว่านางทำผิดไปแล้วก็คือผิดไปแล้ว แถมยังไม่ใช่ความผิดเล็กๆ ไม่ใช่ความคิดที่สามารถชดใช้ได้ แต่ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ ตอนนั้นพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวล้วนอยู่ข้างกายข้า ข้าย่อมไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ อีกอย่างตอนนั้นข้าก็คิดว่า เป็นข้าเองที่คิดตื้นเขินเกินไปหรือเปล่า จึงยังไม่แน่ใจในความคิดของตัวเองสักเท่าไหร่”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามอย่างใคร่รู้ “นายท่าน แล้วตอนนี้ท่านคิดอย่างไร?”

มือสองข้างของเฉินผิงอันกำเป็นหมัดวางค้ำไว้บนหัวเข่า แววตากระจ่างใส ตอบยิ้มๆ “ก็คิดว่านางผิดน่ะสิ หากพบกันคราวหน้า ข้าคงไม่สามารถพูดจากับนางด้วยเหตุผลได้ แต่ไม่เป็นไร ยังมีครั้งหน้าของครั้งหน้า ครั้งหน้าของครั้งหน้าของครั้งหน้า อย่างไรก็ต้องมีโอกาสสักครั้ง!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มอ่อน

นายท่านที่เป็นเช่นนี้ไม่ค่อยเหมือนกับนายท่านที่เงียบขรึมก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ แต่กลับดีกว่าเก่าไม่น้อย

เฉินผิงอันบอกกับตัวเองในใจเงียบๆ ว่า

ต้องมีชีวิตรอดให้ได้ก่อน

……

ราตรีมืดมิด มีนักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวกำลังเข็นรถเข็นล้อเดียวปักธงข่มขวัญผู้คนที่แผงดูดวงต้องมี เดินอยู่บนถนนทางหลวงของอำเภอไหวหวง ล้อรถบดไปบนถนนเกิดเป็นเสียงแอดอาดไม่หยุด

เขาก็คือนักพรตหนุ่มแซ่ลู่ที่เคยอยู่ในเมืองเล็กและทำอาชีพหมอดูไร้น้ำยามานานหลายปีนั่นเอง

นกขมิ้นตัวหนึ่งแหวกม่านราตรีเข้ามา ความว่างเปล่าเกิดเป็นริ้วกระเพื่อม มันมาหยุดเอี๊ยดอยู่บนไหล่ของนักพรตหนุ่ม ใช้จะงอยปากถูไถซีกแก้มของเขาอย่างสนิทสนม

นักพรตหนุ่มยิ้มสดใส ยกมือข้างหนึ่งตบศีรษะเล็กของนกขมิ้นเบาๆ “รู้แล้วน่าๆ ก่อนหน้านี้ลำบากเจ้าแล้ว ต้องให้เจ้าคาบเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งบินไปบินมา เพื่อช่วยตรวจสอบโชคชะตาของฝ่ายบุ๋น ช่วยไม่ได้นี่นา ฉีจิ้งฉุนเล่นหมากล้อมเก่งขนาดนั้น เจ้าเห็นไหมล่ะ สุดท้ายแล้วพวกเราสองคนก็ยังคำนวณทางหนีทีไล่ที่ฉีจิ้งชุนทิ้งไว้ไม่ออกไม่ใช่หรือ? คราวนี้แพ้แล้ว นักพรตน้อยอย่างข้าก็ยอมศิโรราบ ใครใช้ให้ท่านอาจารย์ลำเอียงล่ะ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าลูกศิษย์อย่างข้าเล่นหมากล้อมได้แย่ที่สุด ฝีมือการต่อสู้แย่ที่สุด กลายเป็นว่าเมื่อถึงท้ายที่สุดกลับเป็นข้าที่ต้องทำงานยุ่งยากให้คนพาลเกลียดขี้หน้า แบบนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้คนอื่นลำบากใจหรอกหรือ”

นักพรตหนุ่มเหมือนหญิงชาวบ้านปากเปราะที่บ่นนู่นตำหนินี่ไปทั่ว ไม่มีมาดของเทพเซียนเลยแม้แต่นิดเดียว

จู่ๆ นกขมิ้นก็จิกติ่งหูของนักพรตหนุ่มเบาๆ หนึ่งที

นักพรตหนุ่มเหมือนจะรู้ใจนกขมิ้นเป็นอย่างดีจึงหัวเราะฮ่าๆ “เซียนก็เป็นคนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”

ดวงตาของนักพรตหนุ่มพลันเป็นประกาย หัวเราะหึหึ ยกฝ่ามือตั้งวางตรงหน้าอกเลียนแบบหลวงจีน หากจะพูดในสถานเบาก็เรียกว่าหัวมงกุฎท้ายมังกร เป็นการกระทำที่น่าขบขัน แต่หากพูดให้หนัก การกระทำเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าทรยศต่อระบบเต๋า

นักพรตหนุ่มยังคงบ่นเบาๆ ไม่มีความจริงจังใดๆ “เหล่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์โปรดช่วยคุ้มครอง ขอให้นักพรตน้อยที่เดินทางกลับเมืองเล็กครั้งนี้ร่ำรวยเงินทอง ต้องร่ำรวยเงินทองมากๆ อืม คราวก่อนขอพรจากพวกท่านนับว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง สุดท้ายก็ไม่ได้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับฉีจิ้งชุนไม่ใช่หรือ? ดังนั้นครั้งนี้ช่วยดูแลนักพรตน้อยอีกสักครั้งได้หรือไม่? เจอครั้งแรกรู้สึกแปลกหน้า เจอครั้งที่สองก็คุ้นเคยกันไปเอง วันหน้าพวกเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว!”

นักพรตหนุ่มทอดสายตามองออกไป

ทุกอณูพื้นที่ของเมืองเล็กที่อยู่ใต้สีรัตติกาลปรากฏชัดในสายตาของเขา

ไม่ว่าจะเป็นหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงมา สูญเสียค่ายกลใหญ่ในการพิทักษ์ปกป้อง หรือก่อนหน้าที่จะปริแตก เวทคาถาอาคมทั้งหลายยังสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สำหรับนักพรตหนุ่มแล้ว อันที่จริงก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง

นักพรตหนุ่มยื่นนิ้วข้างหนึ่งเคาะลงบนกวานเต๋าที่โบราณและเรียบง่ายเหนือศีรษะเบาๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาที่ทำให้คนปวดหัว

นักพรตหนุ่มที่ชื่อว่าลู่เฉิน

ก็คือเงื่อนตายที่ทำให้ฉีจิ้งชุนต้องตาย ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูหรือไม่ก็ตาม

เพียงแต่ว่าฉีจิ้งชุนกลับเลือกที่จะถอยก้าวใหญ่อย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน นักพรตหนุ่มจึงเลือกที่จะถอยก้าวเล็กตามไปด้วย

——————————–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท