อาศัยใบบุญจากเว่ยป้อ เฉินผิงอันจึงได้อยู่อาศัยในสถานที่ที่หรูหราอย่างถึงที่สุด คานสลักลายเสาหยกงดงาม มีห้องมากมายที่ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่า หรือสถานที่ที่ฮ่องเต้อยู่อาศัยก็เป็นประมาณนี้เหมือนกัน?
นอกจากนี้ทางฝ่ายเรือคุนยังจัดหาสาวใช้มาให้เขาสองคน คนหนึ่งตามว่าชุนสุ่ย อีกคนนามว่าชิวสือ คนหนึ่งรูปร่างอิ่มเอิบ อีกคนเพรียวบาง แม้ว่ารูปร่างจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับเป็นพี่น้องฝาแฝดที่หน้าตาบุคลิกเหมือนกันมาก
พวกนางรับผิดชอบปรนนิบัติเรื่องการกินอยู่ของแขกผู้ทรงเกียรติอย่างเฉินผิงอัน เวลาพูดจาใช้น้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวล หลุบตาลงต่ำ เฉินผิงอันทำตัวไม่ถูก เขาหรือจะกล้ารับน้ำใจครั้งจากสาวงาม ดังนั้นจึงยังคงทำทุกเรื่องด้วยตัวเอง ไม่ว่าเด็กสาวทั้งสองจะโน้มน้าวอย่างไร เฉินผิงอันก็ยังยืนกรานในความคิดของตัวเอง เป็นเหตุให้เมื่อม่านราตรีเยื้องกรายลงมา เฉินผิงอันขอน้ำล้างเท้าหนึ่งอ่าง เอาสองเท้าที่เต็มไปด้วยหนังด้านแช่ลงไปในน้ำร้อนๆ เด็กสาวสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงมีสายตาไม่ใคร่จะพอใจนัก เฉินผิงอันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้พวกนางไปพักผ่อนที่ห้องด้านนอกได้ เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แช่เท้าอยู่ในอ่างน้ำ กวาดตามองไปรอบด้าน
เด็กสาวสองคนนั่งอยู่นอกห้อง เอียงหัวกระซิบกระซาบกันเสียงแผ่วเบาด้วยภาษาบ้านเกิดอย่างภาษาอุตรกุรุทวีป พวกนางพากันคาดเดาถึงตัวตนของเด็กหนุ่มอย่างใคร่รู้ อยากรู้ว่าทำไมนายท่านผู้เฒ่าผู้ดูแลเรือถึงให้ความสำคัญขนาดนี้ ถึงขนาดมอบป้ายห้อยเอวอักษรตัวเทียน (สวรรค์/ฟ้า) ให้ได้ จากนั้นก็คุยกันถึงเรื่องประเพณีวัฒนธรรมของต้าหลีที่ได้ยินคนเล่ามา รวมไปถึงเรื่องราวประหลาดน่าสนใจในช่วงวันปีใหม่ของบุรพแจกันสมบัติทวีปปีนี้ พูดถึงเรื่องของเซียนบางคนที่ปรากฎตัวในปีนี้ซึ่งสวมเสื้อสีเขียวจากภูเขาชิงเสิน และผ้าคลุมไหล่นั้นก็เหมาะสมกับบุคลิกของพวกนาง ปิ่นไข่มุกบนศีรษะที่มาจากวังมังกรนั้นเปล่งประกายของอัญมณีที่แท้จริง ไม่ว่ามองอย่างไรก็งดงาม
บนโต๊ะมีถาดกระเบื้องสีเขียวอยู่ใบหนึ่ง ด้านในวางผลไม้สดใหม่ไว้จนเต็ม กลิ่นหอมสะอาดลอยกรุ่น เป็นผลไม้ที่มาจากภูเขาใหญ่หลายแห่งของอุตรกุรุทวีป ซื้อมาด้วยราคาสูง แถมยังมีปราณวิญญาณอ่อนจางแผ่ออกมา
เด็กสาวฝาแฝดที่มีลักษณะท่าทางเหมือนกันได้แต่เหลือบมองไม่กี่ที ไม่กล้ายื่นมือไปหยิบโดยพลการเด็ดขาด
เมื่อเสียงฝีเท้าของเฉินผิงอันดังขึ้น ชุนสุ่ย ชิวสือสองเด็กสาวก็รีบลุกขึ้นยืนรอฟังคำสั่งอย่างนอบน้อมทันที เหลือบเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงสวมรองเท้าสานคู่นั้น ต่อให้อยู่ในห้องก็ยังไม่ยอมปลดกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังลง หางตาเด็กสาวหันมาสบกัน มุมปากของทั้งสองต่างก็ยกยิ้ม ก็แค่รู้สึกสนใจเท่านั้น พวกนางไม่กล้าดูถูกอีกฝ่ายหรอก
อีกอย่างบนเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวแห่งนี้ ทุกปีจะบรรทุกคนและสินค้าข้ามผ่านสามทวีป ไปกลับหนึ่งรอบ ในฐานะสาวใช้ของห้องอักษรตัวเทียน (เป็นการแบ่งระดับในสมัยโบราณ มีแบ่งเป็นเทียน/ฟ้า ตี้/ดิน เสวียน/ดำ และหวง/เหลือง ซึ่งอักษรตัวเทียนคือระดับหนึ่ง ระดับสูงสุด) เด็กสาวสองคนเคยเห็นผู้ฝึกลมปราณลักษณะประหลาดมาหลายคนแล้ว พวกนางถึงขั้นรู้สึกว่าแขกผู้มีเกียรติของต้าหลีที่มีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะมีอายุถึงสี่สิบห้าสิบปีแล้วก็ได้ เพราะนี่ถือเป็นเรื่องที่ปกติมากบนภูเขา เวลาที่ออกจากบ้านเดินทางไกล เห็นคนที่มีอายุน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องระวังตัวให้มากเท่านั้น อย่าได้ไปท้าทายคนจำพวกนี้ง่ายๆ เด็ดขาด
ชิวสือเข้าไปยกอ่างน้ำล้างเท้าออกมาเทข้างนอก ชุนสุ่ยถามเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่าอยากฟังพิณหรือไม่ คืนนี้บนเรือคุนมีอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทกับเทพธิดาจากหอหวงเหลียงได้รับเชิญให้มาดีดพิณ แขกผู้มีเกียรติในห้องอักษรเทียนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินก็สามารถไปนั่งฟังที่ห้องส่วนตัวได้ ตอนนี้เฉินผิงอันยังสะพาย ‘กำจัดปีศาจ’ ที่หร่วนฉงเป็นผู้หลอมเอาไว้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากเปิดเผยโฉมหน้าจึงปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม นี่ทำให้ชุนสุ่ยผิดหวังเล็กน้อย เพราะอย่างไรซะหากแขกสูงศักดิ์อย่างเฉินผิงอันยอมไป ต่อให้จะแค่แกล้งทำว่ามีรสนิยมในด้านศิลปะก็ตาม นางกับชิวสือน้องสาวที่ชื่นชอบเสียงพิณของเซียนท่านนั้นจริงๆ ก็จะได้โอกาส ‘ชำระล้างหู’ ไปด้วย
คนส่วนใหญ่ในหอหวงเหลียงของอุตรกุรุทวีปมักจะเป็นผู้หญิง และแทบทุกคนต่างก็เชี่ยวชาญศาสตร์ดีดพิณ หมากล้อม วาดภาพและชงชา เป็นเทพธิดาที่เชี่ยวชาญศิลปะบางแขนงอย่างแตกฉาน ซึ่งจะได้รับการเรียกขานที่งดงามอย่าง ‘ดวงตากระจ่างใส’ ‘หัวใจสงบนิ่ง’ ‘ชำระล้างหู’ เสียงเพลงของเทพธิดาที่อยู่บนเรือท่านนี้ได้รับคำเชยชมว่าสามารถ ‘ชำระล้างหู’ ได้ หนึ่งก็เพราะเสียงพิณที่พลิ้วดังมาจากใต้นิ้วมือนางนั้นไพเราะเสนาะหู สองเรื่อง ‘ชำระล้างหู’ นี้ก็เป็นของแท้แน่นอน เมื่อเสียงพิณดังเข้าหู จะสามารถชะล้างสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในช่องโพรงส่วนหูให้สะอาดเอี่ยมได้
ชุนสุ่ยกับชิวสือเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนมาเจ็ดปีแล้ว แต่เนื่องจากพรสวรรค์ธรรมดา ตอนนี้จึงยังเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง ยังไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ในนามของภูเขาต่าเจี้ยวด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้ประสิทธิภาพของการ ‘ชำระล้างหู’ จากเสียงพิณจะน้อยนิดแค่ไหน แต่เด็กสาวทั้งสองก็ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้สะสมตบะเสี้ยวหนึ่งนี้ไป
เฉินผิงอันไม่รู้ความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ หรือต่อให้รู้ความจริงแล้ว ด้วยนิสัยระมัดระวังของเขาก็ไม่มีทางไปฟังเสียงพิณอะไรนี่แน่นอน ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างเขาที่ไม่เคยเห็นแม้แต่พิณโบราณสักชิ้น อีกทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าติดตัว ไหนเลยจะกล้าทำตัวผยองโอ้อวดตัวเองไปทั่ว
เด็กสาวสองคนไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่กลับยังต้องอยู่ในห้องหนึ่งของเรือนตัวอักษรเทียนแห่งนี้ คนทั้งสามจึงต้องนั่งมองหน้ากันไปมา เวลานี้เฉินผิงอันยิ่งรู้สึกอิจฉาเว่ยป้อมากขึ้นไปอีก หากเขามานั่งอยู่ในตำแหน่งของตน สองฝ่ายต้องพูดคุยกันถูกคอไปนานแล้ว ไหนเลยจะตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนเช่นนี้
อันที่จริงชุนสุ่ยและชิวสือต่างก็ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร กลับกันยังรู้สึกแปลกใหม่ เพราะอย่างไรซะแขกอย่างเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็หาได้ยาก แขกที่ผ่านๆ มาก็มีคนที่นิสัยประหลาด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความประหลาดเช่นนิสัยเย็นชารักสันโดษเสียมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นมีแขกคนหนึ่งที่นิสัยประหลาดถึงขั้นที่ต้องปัดกวาดเช็ดถูทุกมุมในห้องด้วยตัวเอง เสาคานต้องเช็ด ใต้เตียงก็ต้องเช็ด ยุ่งวุ่นวายอยู่ทั้งวัน แถมยังไม่ยอมให้พวกนางช่วยเหลือ ราวกับว่าหากมีฝุ่นเม็ดหนึ่ง ฝุ่นเม็ดนั้นจะตกอยู่บนหัวใจของเขาอย่างไรอย่างนั้น
และยังมีแขกบางส่วนที่กลัวความมืดมาก จะต้องหยิบไข่มุกส่องสว่างที่ขนาดใหญ่โตหลายเม็ดออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น วางไว้บนโต๊ะ วางไว้บนเตียง กลายเป็นว่าทั้งห้องสว่างจ้าจนแสบตา
นอกจากนี้ยังเคยมีผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่พาศพแห้งส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ศพแห้งเหล่านั้นล้วนเป็นสตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัว แถมแต่ละศพยังสวมชุดสีเขียวสีแดง สวมเครื่องประดับสีสด ทาชาดสีแดง เคลื่อนไหวได้ตามใจต้องการ เพียงแต่ว่าพูดไม่ได้ ภาพเหตุการณ์นั้นน่าขนลุกขนพอง ทำเอาสาวใช้ทั้งสองที่นอนอยู่ในห้องหวาดผวาจนข่มตาหลับไม่ลงสักคืน ด้วยกลัวว่าหากไม่ทันระวัง ฟ้าสางเมื่อไหร่ตนจะกลายเป็นหนึ่งในศพแห้งเหล่านั้น
เฉินผิงอันรู้สึกว่ามัวเอาแต่จ้องมองกันอยู่อย่างนี้คงไม่ดี อีกอย่างเขาก็ไม่สะดวกจะฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งต่อหน้าคนนอก จึงได้แต่แข็งใจเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อนโดยการถามด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่คล่องนัก “แม่นางชุนสุ่ย แม่นางชิวสือ ภูเขาต่าเจี้ยวของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนของอุตรกุรุทวีปหรือ?”
พอเขาเปิดปากพูด เฉินผิงอันก็ค้นพบว่าบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก เพราะดูเหมือนว่าเด็กสาวสองคนนั้นจะเชี่ยวชาญการพูดคุยมาตั้งแต่เกิด หลังจากนั้นเขาก็แทบไม่ต้องสอดปากถามอะไร แค่เงี่ยหูตั้งใจฟังก็พอ เป็นเหตุให้ตอนที่เฉินผิงอันเชื้อเชิญให้พวกนางหยิบผลไม้กินดับกระหายด้วยท่าทางเกรงใจ เด็กสาวจึงตอบรับหน้าแดงก่ำ คนหนึ่งเบี่ยงหน้าไปกิน อีกคนหนึ่งอธิบายเรื่องภูเขาต่าเจี้ยวให้เฉินผิงอันฟังต่อ พอคนหนึ่งพูดเหนื่อยแล้ว เด็กสาวอีกคนก็รับช่วงต่อทันที เฉินผิงอันถึงกับฟังเพลิน
ที่แท้ภูเขาต่าเจี้ยวก็คือพรรคใหญ่ดั้งเดิมของอุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แม้ว่าทุกวันนี้จะไม่มีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนเฝ้าบัญชาการณ์มาเป็นเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว เป็นเหตุให้ต้องตัดคำว่าสำนักออกจากชื่อของสำนักตัวเองตามกฎ ลดระดับจากสำนักต่าเจี้ยวมาเป็นภูเขาต่าเจี้ยวเหมือนตอนที่บรรพจารย์เพิ่งเปิดขุนเขา แต่ในรุ่นบรรพบุรุษของภูเขาต่าเจี้ยวก็เคยใช้ชีวิตกันอย่างมีเกียรติมาก่อน ช่วงเวลาที่อยู่ในขอบเขตสูงสุดเคยมีเทพเซียนห้าขอบเขตบนถึงสองท่าน จะเรียกลมก็ได้ลม เรียกฝนก็ได้ฝน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีป แม้ว่าบุรพาจารย์สองท่านในสำนักต่างก็อยู่ในขอบเขตหยกดิบที่เป็นขอบเขตแรกของห้าขอบเขตบน หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่านักพรตขอบเขตสิบเอ็ด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในสำนักมีหยกที่ยังไม่ได้เจียรนัยสองก้อนก็ถือว่าเป็นเกียรติยศอันสูงสุดของสำนักแล้ว
แม้ว่าเด็กสาวทั้งสองจะไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาต่าเจี้ยวที่แท้จริง แต่กลับมีความรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง พวกนางเล่าตำนานอันมหัศจรรย์เกี่ยวกับบรรพบุรุษของสำนักมากมายให้เฉินผิงอันฟัง มีบางคนเจอกับสัตว์ร้ายในทะเลลึกที่จับกลุ่มกันมาตอนโดยสารเรือข้ามทวีป พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนแสงกระบี่สาดส่องสุกสว่างเหนือเกินกว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้า และในประวัติศาสตร์ยังมีบุรพาจารย์ท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้ามากที่สุด เขาเดินทางไกลจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอุตรกุรุทวีป ได้รับฉายาว่า ‘เทียนจวินเสินเซียว’ กำจัดปีศาจปราบมารไปนับไม่ถ้วน จนถึงวันนี้ก็ยังมีประชาชนในอุตรกุรุทวีปนับไม่ถ้วนที่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขา ตั้งป้ายคุณความชอบไว้ในตระกูล จุดธูปกราบไหว้สืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัย
สำหรับเรื่องตำนานอันทรงเกียรติเหล่านี้ เฉินผิงอันแค่ฟังผ่านไปด้วยความรู้สึกเลื่อมใสเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง แต่เขาสนใจคำเรียกนักพรตขอบเขตสิบเอ็ดว่าขอบเขตหยกดิบมาก จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ เพราะในสำนักเคยมีห้าขอบเขตบนปรากฏมาก่อน ต่อให้สาวใช้ชุนสุ่ยจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง แต่ก็ยังรู้เรื่องมากมาย นางจึงพูดเรื่องที่ตัวเองรู้ บอกว่าขอบเขตหยกดิบในตำนานนั้นก็คือการฝึกลมปราณได้สำเร็จ หวนคืนสู่ความเป็นจริงดั่งหยกดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียรนัย เรือนกายมีแนวโน้มสู่ความอุดมสมบูรณ์ ทั่วร่างเหมือนเนื้อหยกเนื้อทอง ไม่จำเป็นต้องมีสมบัติอาคมติดตัวก็ยังกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ ไม่กลัวน้ำไม่กลัวไฟ เสนียดจัญไรเยื้องกรายมารุกรานไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ปกติจะมีอายุตั้งแต่ห้าร้อยปีถึงพันปี ไม่เท่ากัน
เป็นเหตุให้การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หรือการเปลี่ยนแปลงของภูเขาและแม่น้ำไม่อาจดึงความสนใจจากนักพรตขอบเขตหยกดิบได้
ชุนสุ่ยกล่าวมาถึงตรงนี้ ชิวสือที่กินผลไม้สีเขียวมรกตไปผลหนึ่งเรอออกมาอย่างอดไม่อยู่ นางหน้าแดงน้อยๆ ด้วยความอับอาย ถูกชุนสุ่ยพี่สาวหันมาถลึงตาใส่ เพื่อชดใช้ความผิด ชิวสือจึงรีบพูดอธิบายให้เฉินผิงอันฟังต่อทันที “คุณชายเฉิน บ่าวยังได้ยินคนอื่นพูดอีกว่า หลังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว ผู้ฝึกลมปราณก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าเมื่อออกมาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแล้วจะถูกปราณสกปรกในฟ้าดินรุกรานเข้ามาในร่างกายอีก เพราะการสั่งสมปราณวิญญาณในร่างจะค่อยๆ เลื่อนมาถึงช่วงปากขวด ดังนั้นจะฝึกตนอยู่บนหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบยิ่งกว่า ‘มั่นคงดุจขุนเขา’ ของนักพรตขอบเขตที่สิบหรือขอบเขตก่อกำเนิดมากนัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชิวสือก็เอ่ยด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม “ผู้ฝึกลมปราณหญิงทุกคนบนโลกใฝ่ฝันอยากเลื่อนสู่ขอบเขตนี้มากที่สุดเลยล่ะ เพราะขอแค่ถึงขอบเขตที่สิบเอ็ดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งครั้ง หรือก็คือโอกาสที่จะกลับคืนสู่ความงามดั้งเดิม อีกทั้งยังรับประกันได้ว่าจะ ‘ไม่ส่งผลร้ายต่อโชคชะตา’ ดังนั้นผู้หญิงหลายคนที่เดิมทีเป็นขอบเขตสิบ ต่อให้กลายเป็นหญิงแก่ผมขาวโพลนแล้วก็ยังสามารถกลับไปเป็นสาว อีกทั้งยังคงความสาวไว้จนตายก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมชาวบ้านหวาดเกรงการเสียโฉม แต่ขอบเขตหยกดิบกลับรับประกันได้ว่าจะ ‘ไม่ส่งผลร้ายต่อโชคชะตา’?”
สาวใช้ชิวสือไม่รู้จะตอบอย่างไร นางรู้แค่ผิวเผิน ไม่ได้รู้รายละเอียดอย่างลึกซึ้ง ทัศนียภาพของห้าขอบเขตบน ไหนเลยที่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองอย่างนางจะรู้ได้
ชุนสุ่ยพี่สาวของนางมีความละเอียดรอบคอบมากกว่า และเต็มใจที่จะคิดให้ลึกซึ้งมากกว่า จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คุณชายเฉิน ความจริงเป็นอย่างไร บ่าวไม่กล้ายืนยัน แต่บ่าวมีความคิดบางอย่างที่คุณชายสามารถเอาไปวิเคราะห์ดูได้ มนุษย์ในโลกทุกคนมีหน้าตาที่ ‘เป็นสูตรตายตัว’ มาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ซึ่งเกี่ยวพันกับโชคชะตาของคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง ดังนั้นการที่ชาวบ้านด้านล่างภูเขากลัวการเสียโฉมอย่างมากก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลซะทีเดียว แต่การเสียโฉมของผู้ฝึกลมปราณนั้น หากเป็นห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ก็ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นได้ง่ายแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมขอบเขตหยกดิบถึงสามารถเปลี่ยนแปลงรูปโฉมได้โดยที่ไม่ทำลายโชคชะตา ข้ารู้สึกว่า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สาวใช้ชุนสุ่ยยื่นสองมือออกมาต่อกันเป็นบ้านบนโต๊ะ “นักพรตห้าขอบเขตล่างอย่างบ่าวกับชิวสือนี้ หลอมลมปราณก็เหมือนการสร้างบ้าน มีเสาแค่สองต้น ทุกเรื่องเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น หาก ‘เสียโฉม’ แล้วก็เท่ากับว่าเสาหนึ่งหักลง บ้านก็อาจจะถล่มลงมา”
จากนั้นชุนสุ่ยก็ทำมือพลิ้วเป็นลูกคลื่น “แต่พวกเทพเซียนห้าขอบเขตกลางกับห้าขอบเขตบนสร้างบ้านหลังหนึ่งได้อย่างมั่นคงแล้ว อีกทั้งยังอาจจะเป็นบ้านที่เหมือนกลุ่มสิ่งปลูกสร้างอย่างวังหลวงในโลกมนุษย์ด้วย ถ้าเช่นนั้นหากเสียโฉมหนึ่งครั้ง ต่อให้เสาหักลงหลายต้นก็คงไม่ส่งผลกระทบมากเท่าไหร่ อีกอย่างการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของผู้ฝึกลมปราณหญิงขอบเขตหยกดิบอาจจะเป็นเหมือนการต่อเติมรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งปลูกสร้างไปรอบหนึ่ง หรือไม่ก็เหมือนการใส่กระเบื้องใหม่เอี่ยมลงไปบนหลังคา ทำให้บ้านงดงามมากขึ้น บ่าวพูดอย่างนี้ คุณชายเฉินเข้าใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พูดได้เข้าใจง่ายมาก”
ชุนสุ่ยขัดเขินเล็กน้อย “สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ความคิดส่งเดชของบ่าวเท่านั้น ทำให้คุณชายตลกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพูดมีเหตุผลมาก”
ชิวสือกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “แต่ว่าบ่าวกับพี่สาวยังไม่เคยเห็นเทพเซียนเฒ่าขอบเขตหยกดิบสักครั้งในชีวิต ต่อให้โอกาสที่จะได้เห็นไกลๆ สักครั้งก็ยังไม่มีเลย”
ดวงตาของชุนสุ่ยลึกล้ำขึ้นเล็กน้อย “ไม่ได้เห็นสิดี หากเทพเซียนห้าขอบเขตบนตีกันขึ้นมา ต่อให้เป็นห้าขอบเขตกลางแล้วก็ยังไม่ดีไปกว่ามนุษย์ธรรมดาสักเท่าไหร่”
ชิวสือมุ่ยปาก “ก็แค่มองไกลๆ สักครั้ง”
ชุนสุ่ยกล่าวอย่างจนใจ “สายตาพวกเราก็ดีแค่นี้ จะอย่างไรก็คงสู้กับอานุภาพสมบัติอาคมของเทพเซียนห้าขอบเขตบนไม่ได้กระมัง? ถ้าไม่ระวัง ตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงสลายหายไป”
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ได้สอดปาก ต่างคนต่างมีความชื่นชอบและความเพ้อฝันแตกต่างกัน อีกอย่างพวกเขาไม่ได้สนิทกันจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปเอ่ยแนะนำคนอื่น
ทางฝั่งของหัวเรือคุนพลันมีคนผู้หนึ่งอ้าปากกว้าง ชี้นิ้วไปยังทางทิศตะวันตกของใต้หล้า พอคืนสติก็รีบเรียกสหายมาแล้วตะโกนสุดเสียง “รีบมาดูเร็วๆ!”
รูหนึ่งที่ถูกแหวกออกเหนือม่านฟ้าของใต้หล้าไพศาลซึ่งไม่รู้ว่าขนาดใหญ่แค่ไหนมีวัตถุชิ้นหนึ่งร่วงลงมา คล้ายถูกคนต่อยให้ร่วงลงมาจากฟ้า
แม้ว่าความเร็วที่ร่วงลงมาจะเร็วมาก เร็วเกินสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมทุกชิ้น แต่เป็นเพราะม่านฟ้าอยู่ห่างกับพื้นดินมากเกินไป ดังนั้นขอแค่เป็นคนที่หันไปมองทางฝั่งนั้นโดยบังเอิญก็ล้วนสามารถเห็นภาพที่น่าตะลึงพรึงเพริดนี้ได้
หมือนกับดาวดวงหนึ่งที่ลากหางยาวสว่างจ้าดุจหิมะพุ่งเข้าใส่แผ่นดินของโลกมนุษย์อย่างรวดเร็ว
คนทั่วทั้งเรือคุนต่างก็ฮือฮาแตกตื่น ชิวสือวิ่งออกไปถามมารอบหนึ่ง พอกลับมาในห้องก็รายงานเฉินผิงอันเร็วจี๋ว่าให้รีบขึ้นไปบนหอชมทัศนียภาพของเรือนอักษรตัวเทียน ห้ามพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด เฉินผิงอันจึงพาชุนสุ่ยกับชิวสือเดินผ่านห้องหนังสือ ผลักประตูเปิดเดินขึ้นไปบนหอชมทัศนียภาพด้านนอก แล้วก็เห็นจริงๆ ว่าทางทิศตะวันตกที่ห่างไปแสนไกลมีดาวตกสว่างจ้าสะดุดตาดวงหนึ่งกำลังร่วงลงมา
ตรงจุดที่ม่านฟ้าถูกแหวกมีน้ำเสียงดังกังวานที่แฝงไว้ด้วยความสาสมใจอย่างถึงที่สุดดังขึ้นแล้วค่อยๆ ดังเข้ามายังทะเลสาบหัวใจของผู้ฝึกลมปราณในโลกมนุษย์ทุกคน “อาเหลียง? หมัดนี้ของข้าผู้เป็นนักพรตเป็นอย่างไร?!”
คำพูดเหล่านี้ คนในใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าอยากฟังก็ได้ฟัง ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง
เผด็จการอย่างแท้จริง
เชื่อว่านาทีนี้ผู้ฝึกลมปราณ ภูตผีปีศาจและองค์เทพแม่น้ำภูเขานับไม่ถ้วนบนโลกมนุษย์คงแหงนคอบิดหน้าไปทางทิศตะวันตก ตื่นตะลึงกับคาถาอาคมที่สูงส่ง และหมัดที่แข็งแกร่งของ ‘ข้าผู้เป็นนักพรต’ ผู้นี้อย่างมาก
เฉินผิงอันก็อ้าปากกว้างเช่นกัน
ทำไม อาเหลียงเจ้าถูกคนต่อยร่วงลงมาแล้วหรือ?
ดาวตกดวงนั้นกระแทกลงบนพื้นดินของทวีปใหญ่แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกจนกลายเป็นหลุมมหึมา จากนั้นก็ดีดตัวกลับ เนื่องด้วยพลังของหมัดนั้นมหาศาล แรงดีดสะท้อนกลับจึงสูงมากจนแทบจะใกล้เคียงกับความสูงของภูเขาสุ้ยซานขุนเขาใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เงาร่างนั้นทะยานขึ้นไปสู่จุดสูงสุดกลางอากาศแล้วก็คล้ายจะทำท่ามองหาทิศทาง สุดท้ายร่างของเขาก็หายวับไป แทบจะไม่มีใครจับทางของเงาร่างนั้นได้ คนที่มีศักยภาพมากพอให้ติดตามเงาร่างนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่ทุกคนล้วนไม่มีใครประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้ พวกเขาคร้านจะสนใจ อย่างมากก็แค่คำนวณการเปลี่ยนแปลงของเจตนารมณ์สวรรค์เงียบๆ เท่านั้น
เด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่สองเล่มไว้ด้านหลังพึมพำเบาๆ “หมัดนี้ ค่อนข้าง…ดุดัน?” (คำว่าดุดันนี้ใช้ภาษาจีนว่าเหมิ่ง ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่อาเหลียงสลักไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ และชื่อเดียวกับเรือนไม้ไผ่ของเฉินผิงอัน)
ผลกลับกลายเป็นว่ามีคนตบหัวเด็กหนุ่มพร้อมสบถอย่างเดือดดาล “ดุดันกะผีน่ะสิ!”
—–