เมื่อเฉินผิงอันเดินลงจากหอเรือนสูงกลับมานั่งที่ เขาก็พลาดศึกใหญ่ทั้งสองครั้งไปแล้ว
จางซานนักพรตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันมองเห็นเฉินผิงอันก็รีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ เฉินผิงอันจึงได้แต่คารวะกลับคืน ก่อนจะรับแผ่นหยกมา
เพื่อความยุติธรรม ศึกตัดสินเป็นตายอย่างเป็นทางการครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่สวนลมฟ้าหรือภูเขาตะวันเที่ยง แต่เป็นที่หอเทพเซียนหนึ่งในหกสายของศาลลมหิมะ ในฐานะที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักการทหาร เมื่อเทียบกับภูเขาเจินอู่แล้ว ศาลลมหิมะมีสหายกว้างขวางยิ่งกว่า บวกกับที่เวลากระทำการใดๆ ก็มักจะถ่อมตนสำรวมกว่าภูเขาเจินอู่ ลูกศิษย์ในสำนักที่ลงจากภูเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นจอมยุทธพเนจร ไม่ใช่ไปเป็นนักรบในสนามรบ ดังนั้นความสัมพันธ์ที่มีต่อสองสำนักนี้จึงนับว่าไม่เลว ไม่มีทางเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดศาลลมหิมะถึงได้เลือกหอเทพเซียน หนึ่งเพราะหอเทพเซียนตั้งอยู่บนยอดภูเขาสูง การมองเห็นเปิดกว้าง ทัศนียภาพงดงาม หากมองแค่ด้านความงดงามอย่างเดียวก็ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณเซียนเข้มข้นที่สุดของศาลลมหิมะ สองเพราะลูกศิษย์ของหอเทพเซียนมีน้อย ควันธูปกระจัดกระจาย ดูเหมือนว่าอาศัยแค่เว่ยจิ้นให้เป็นผู้ประคับประคองเพียงคนเดียวเท่านั้น และเนื่องด้วยความสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้มีพระคุณ เว่ยจิ้นจึงไม่ได้สนิทสนมกับสำนักมากนัก คิดดูแล้วศาลลมหิมะก็คงคิดจะอาศัยโอกาสครั้งนี้มาเพิ่มควันธูปให้แก่หอเทพเซียน
เฉินผิงอันรู้ผลลัพธ์จากปากของชิวสือก็ตกตะลึงอย่างหนัก สองศึกใหญ่ก่อนหน้านี้สวนลมฟ้าล้วนแพ้ทั้งหมด หนึ่งบุรพาจารย์กับหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงช่วงวัยกลางคนต่างก็ตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของคู่ต่อสู้อย่างเขาตะวันเที่ยง ศึกใหญ่ครั้งที่สองที่เป็นของบุรพาจารย์ อันที่จริงต่างก็พินาศกันทั้งสองฝ่าย แต่เป็นเพราะบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปทีหลังผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้า ศาลลมหิมะจึงตัดสินตามกฎว่าภูเขาตะวันเที่ยงเป็นฝ่ายชนะ
บนหอเทพเซียนที่พื้นที่กว้างขวางไม่มีภาพที่ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด สิ่งปลูกสร้างจำนวนน้อยนิดรวมตัวกันอยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปที่มีทั้งฐานะและศักยภาพควบคู่กันมาเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติขึ้นหอเรือนมาชมศึก นักพรตคนอื่นๆ ได้แต่ชมศึกจากยอดเขาลูกอื่นของศาลลมหิมะอยู่ไกลๆ
หอเทพเซียนขนาดใหญ่มหึมาเหมือนเป็นพื้นที่ที่มีไว้ให้สองฝ่ายประมือกันเท่านั้น
หลังจากได้พูดคุยกัน เฉินผิงอันถึงเพิ่งค้นพบว่าก่อนหน้านี้นักพรตจางซานไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้าเลยด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีปก็มีหัวสูงอยู่แล้ว และดูถูกแจกันสมบัติทวีปที่มีขนาดเล็กที่สุดในเก้าทวีปมาโดยตลอด บางทีอาจมีแค่ไม่กี่ชื่ออย่างสำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษากวานหู ชุยฉานแห่งต้าหลี ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธ์และเว่ยจิ้นเซียนกระบี่เท่านั้นที่จะเข้าตาของนักพรตกุรุทวีปได้บ้าง
อีกอย่างหนึ่งก็คือด้วยตบะและวิสัยทัศน์ของนักพรตจางซานเองซึ่งไม่ได้อยู่ที่ทวีปใหญ่ คุ้นเคยกับประเพณีนิยมหรือเรื่องราวในแจกันสมบัติทวีปนั่นแหละที่แปลก
สวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงคือศัตรูคู่แค้นกัน เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งทวีป เนื่องจากหลังศึกการประลองกระบี่ครั้งหนึ่ง ในจุดที่ลึกที่สุดของสวมลมฟ้ามีศพของบุรพาจารย์หญิงจากเขาตะวันเที่ยงคนหนึ่งที่ถูกทิ้งให้ตากแดดมาจนถึงวันนี้ สวมลมฟ้าไม่เพียงแต่ไม่ยอมคืนศพให้ลูกศิษย์ของขุนเขาตะวันเที่ยงช่วยทำพิธีฝังให้ตั้งแต่แรก แม้แต่กระบี่ยาวของสวมลมฟ้าที่แทงเข้าไปในศีรษะของนางก็ไม่เคยดึงออก ปล่อยให้ลูกศิษย์ฝ่ายในสำนักและแขกที่เข้ามาในสวนชื่นชมกันตามใจชอบมาเป็นเวลาสามร้อยปีแล้ว
อะไรคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง? ก็คือสิ่งนี้แหละ!
ในฐานะผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของวิถีกระบี่ในหนึ่งทวีป ปราณกระบี่ของเขาตะวันเที่ยงเฉียบคมดุดัน ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมาล้วนมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ลำพังเพียงแค่ระดับความเก่งกาจของลูกศิษย์สามรุ่นที่อายุน้อยที่สุดก็เหนือกว่าสวนลมฟ้าไปแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ หกสิบปีก็จะต้องมีคนของเขาตะวันเที่ยงไปท้ารบสวนลมฟ้าเสมอ พยายามที่จะ ‘อัญเชิญ’ ศพของบุรพาจารย์กลับ ให้นางได้ตายตาหลับ แต่เจ้าสวนลมฟ้าผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารสตรีของเขาตะวันเที่ยงในตอนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีกสามร้อยปี ต่อให้เวลาสามร้อยปีนี้ ภูเขาตะวันเที่ยงจะมีผู้มากพรสวรรค์โดดเด่นมากมาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ก็ยังคงไม่อาจเอาชนะได้ สำหรับคนที่มาท้ารบในภายหลัง เขาไม่ได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่ามีเมตตาปราณีสักเท่าไหร่ บ้างก็สะบั้นสะพานแห่งความอมตะ บ้างก็ทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว นี่เท่ากับอยู่ไม่สู้ตาย ไม่สู้รบตายอย่างห้าวหาญยังจะดีซะกว่า
นี่ก็คือต้นสายปลายเหตุของการกล่าวอ้างว่า ‘สวนลมฟ้าใช้หนึ่งคนสยบหนึ่งขุนเขา’ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป
ตอนนี้ในที่สุดเจ้าสวนลมฟ้าก็ตายไปได้สักที และในช่วงปีใหม่ ข่าวที่บอกว่าเขาตายในสนามรบนี้ก็แพร่ออกไปอย่างเงียบเชียบ พอดีกับที่เป็นช่วงศึกหกสิบปีซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติพอดี แม้สวนลมฟ้าจะปกปิดข่าวนี้อย่างแน่นหนา ไม่ต้องการให้ความลับนี้แพร่ออกไป แต่ไม่รู้ว่าภูเขาตะวันเที่ยงไปได้ข่าวมาจากที่ไหน ภูเขาที่อยู่ในแต่ละยอดเขาล้วนสะท้านสะเทือน ผู้คนตื่นเต้นฮึกเหิมสุดชีวิต มีคนลากเอาคนในครอบครัวไปจุดธูปดื่มเหล้าเคารวะหลุมศพบรรพบุรุษ ผู้เฒ่าแก่โทรมบางคนที่มีชีวิตรอดไปวันๆ ดื่มเหล้าเมามาย ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยิ่งปณิธานการต่อสู้ลุกโชน ความเจ็บแค้นและความอัปยศที่ต้องทนรับมาสามร้อยปี ในที่สุดก็มีโอกาสปัดเป่าให้หายเกลี้ยง
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากสองศึกใหญ่ผ่านไป ภูเขาตะวันเที่ยงก็ถือว่าคว้าชัยชนะได้อย่างแท้จริงแล้ว อีกทั้งยังชนะได้งดงามมาก ถือว่าช่วงชิงกำไรกลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ เป็นเหตุให้การต่อสู้ของคนรุ่นเยาว์ในช่วงสุดท้าย จะสู้หรือไม่ก็ล้วนเกินความจำเป็นแล้ว
สาวใช้ชิวสือรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย นางคิดว่าศึกครั้งสุดท้ายนี้น่าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว สำนักที่ชื่อว่าสวนลมฟ้านั่นแพ้ไปสองครั้งแล้ว จะดีจะชั่วบุรพาจารย์ของสวนลมฟ้าที่ลงสนามเป็นคนที่สองก็ต่างกันแค่ลมหายใจเฮือกเดียว ยังพอจะกู้หน้าตากลับมาได้บ้าง หากศึกครั้งที่สามต้องแพ้อีก นั่นก็เท่ากับแพ้สามสนามรวด หากเรื่องนี้แพร่ออกไปชื่อเสียงของสวนลมฟ้าต้องย่อยยับลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
หากหยุดตั้งแต่ตอนนี้ สวนลมฟ้ายังจะพอปลอบตัวเองได้ว่าอย่างน้อยก็รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้
เฉินผิงอันนึกถึงหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ที่เคยขึ้นเขาไปหาต้นอบเชยด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศึกครั้งที่สาม สวนลมฟ้าต้องสู้แน่”
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว หลิวป้าเฉียวไม่ใช่เพื่อนและไม่ใช่ศัตรู นับเป็นคนที่มอบความทรงจำที่ลึกล้ำที่สุดให้แก่เฉินผิงอันในบรรดาเทพเซียนที่มาจากด้านนอก
เฉินผิงอันรู้สึกแค่ว่าสำนักที่สั่งสอนคนอย่างหลิวป้าเฉียวออกมาได้ไม่มีทางถอยหนีเพียงเพราะเรื่องแค่นี้
แล้วก็จริงดังคาด หลังจากสวนลมฟ้า ภูเขาตะวันเที่ยงและศาลลมหิมะสามฝ่ายพูดคุยกันอย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าสำนักศาลลมหิมะที่ใบหน้าเหมือนเด็ก ร่างเล็กเตี้ยท่านนั้นก็พาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินขึ้นมาตรงใจกลางของหอเทพเซียน ประกาศว่าศึกใหญ่ครั้งที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายภูเขาตะวันเที่ยงคือซูเจี้ย หญิงสาวพกกระบี่เล่มยาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ท่วงท่าองอาจผ่าเผย หน้าตาเรียกได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง
ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายสวนลมฟ้าคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสวน มีนามว่าหวงเหอ เขาแบกกล่องไม้ขนาดใหญ่ไว้ด้านหลัง ไม่รู้ว่าซุกซ่อนกระบี่เล่มใหญ่ขนาดไหนเอาไว้ หรือว่ามีกระบี่ยาวหลายเล่ม
ในขณะที่แทบทุกคนล้วนจับตามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวสองคนนั้น เฉินผิงอันกลับโคจรปราณที่แท้จริงในร่างอย่างเงียบเชียบเพ่งสมาธิมองไป ตามหาเงาร่างของใครบางคนที่อยู่ในหอเรือนทั้งหลาย แม้ว่าม้วนภาพจะใหญ่ถึงเพียงนั้น แต่การที่สิ่งนี้ได้รับความนิยมจากคนทั่วหล้า ก็เพราะสายตาของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป คนในโลกมองเห็นเม็ดเจี้ยจื่อเป็นเม็ดเจี้ยจื่อ (มัสตาร์ด) แต่มรรคาจารย์เต๋ากลับมองเห็นใต้หล้าทั้งแห่ง คนธรรมดามองเห็นดอกไม้หนึ่งดอกใบไม้หนึ่งใบเป็นเพียงดอกไม้ใบไม้ แต่ศาสดาพุทธกลับมองเห็นโลกธาตุขนาดเล็กหนึ่งใบ
สายตาของเฉินผิงอันพลันหม่นมัว หยิบชาลิ้นนกกระจกสองสามแผ่นยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวเบาๆ
กลางระเบียงทางเดินชั้นบนสุดของหอสูงแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าร่างกำยำสวมชุดขาวคนหนึ่งยกสองแขนขึ้นกอดออก กำลังหลุบตามองลงมายังลานกว้างของหอเทพเซียน มีเด็กหญิงหน้าตางามประณีตคนหนึ่งนั่งขี่อยู่บนคอของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงกลางค่อนไปทางขวา บนหอเรือนชั้นนี้มีเหล่าบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงรวมตัวกันอยู่ มีทั้งหญิงและชาย แต่ละคนมีบุคลิกลักษณะที่ไม่ธรรมดา ปราณกระบี่มารวมตัวกันเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร เปี่ยมไปด้วยพลังอันล้นเหลือ
เฉินผิงอันจ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่าชุดขาวคนนั้น ครู่หนึ่งต่อมาก็ย้ายสายตามองไปยังหอสูงอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือหอชมทัศนียภาพที่หอเทียนเซียนเก็บไว้ให้กับคนของสวมลมฟ้า ตั้งแต่ชั้นบนจรดชั้นล่างมีจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ยืนอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางล้วนถูกเรียกระดมพลให้มาทั้งหมดแล้ว คนของสวมลมฟ้าที่เดินทางมาในครั้งนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กรุ่นหลังที่ยังอ่อนเยาว์ ยกตัวอย่างเช่นหลิวป้าเฉียวที่นั่งอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนราวระเบียง ท่านั่งไม่สง่างามนัก แต่หลังจากแพ้ไปแล้วสองศึก สีหน้าของหลิวป้าเฉียวก็เคร่งเครียดอย่างยิ่ง
นักพรตยากจนตั้งใจดูอย่างมาก เขาพึมพำเบาๆ ว่า “เริ่มแล้ว”
ชิวสือเอ่ยยิ้มๆ “ประลองกระบี่สองครั้งก่อนหน้านี้ต่างก็ต้องสู้กับคู่ต่อสู้จนตัวตาย ศึกครั้งนี้ไม่ต้องแบ่งแยกแพ้ชนะ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม ข้าคาดว่าคงสู้กันอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ได้นองเลือดเหมือนก่อนหน้านี้อีก”
เฉินผิงอันไม่เสนอความเห็น
ความคิดหลักๆ ของเขายังคงอยู่ที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นของภูเขาตะวันเที่ยง
เฉินผิงอันจดจำใบหน้าทั้งหลายที่อยู่ในหอเรือนของภูเขาตะวันเที่ยงเงียบๆ รู้เขารู้เราถึงจะสามารถยิงธนูโดยมีเป้าหมาย เมื่อเทียบกับการพูดถึงอย่างเลี่ยงๆ และข่าวลือที่จะได้ยินในอนาคต ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ถึงจะจริงแท้แน่นอนและตรงไปตรงมามากที่สุด ในอนาคตไม่แน่ว่าคนพวกนี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ขัดขวางการเดินขึ้นเขาของตัวเอง แน่นอนว่ายังอยู่ห่างจากวันนั้นอีกไกลมาก ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ต่อให้จะเป็นขอบเขตสามที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังเป็นแค่ขอบเขตสามเท่านั้น
ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อที่บนศีรษะสวมหมวกขนเตียวจุ๊ปากพูด “เด็กสาวที่ชื่อว่าซูเจี้ยคนนี้ค่อนข้างเสี่ยงนะ”
พูดเข้าเป้าในคำเดียว
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อยู่ทางฝั่งขวาสุดซึ่งชอบตบฝักกระบี่เบาๆ เป็นความเคยชินเอ่ยว่า “นางแพ้แน่ น่าเสียดายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นที่เจอกับเจ้านายไม่ดี เกรงว่าต่อให้เป็นกุรุทวีปก็คงหาลูกที่สามไม่เจอแล้ว”
หนึ่งคำเป็นดั่งคำพยากรณ์
เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น ซูเจี้ยก็ชักกระบี่ เรียกใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็แล้ว แต่ก็ยังถูกผู้ฝึกกระบี่หนุ่มฝ่ายตรงข้ามที่ชื่อว่าหวงเหอผู้นั้นซัดจนหมอบกระแต ที่แท้ในกล่องไม้ใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังบุรุษบรรจุกระบี่เล่มเล็กไว้เต็มไปหมด แทบไม่ต่างจากแบกรังผึ้งรังหนึ่ง ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไร เพียงแค่เขาเชี่ยวชาญการควบคุมกระบี่บินให้กวนสมาธิคู่ต่อสู้ ทำเอาซูเจี้ยที่เดิมทีก็ไม่มีจังหวะให้เอาคืนถูกกระบี่บินแทงทะลุแขนข้างที่ถือกระบี่ไปครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งเชือกที่ร้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ซึ่งห้อยไว้ตรงเอวถูกตัดขาด ครั้งสุดท้ายถูกกระบี่บินสองเล่มปักตรึงลงไปบนข้อมือซ้ายขวา เทพธิดาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงที่ล้มลงอยู่ในกองเลือดจึงหมดสติไปแล้ว
อันที่จริงจำนวนของเทพธิดาในแจกันสมบัติทวีปที่ผู้คนให้การยอมรับนับถืออย่างแท้จริงมีไม่มาก เฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกของสำนักโองการเทพคือผู้ครองอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรี หลังจากนั้นก็เป็นซูเจี้ยและคนอีกสามสี่คน พวกนางคือเทพธิดาหญิงที่ผู้ฝึกลมปราณอายุน้อยนับไม่ถ้วนในแจกันสมบัติทวีปเลื่อมใสมานาน ถึงขั้นที่เคยมีคนพูดหยอกล้อว่า หลังจากที่ซูเจี้ยโด่งดังแล้ว จำนวนที่ภูเขาตะวันเที่ยงรับลูกศิษย์ทุกๆ สิบปีก็เพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่าตัว
ผู้ฝึกกระบี่หวงเหอยืนอยู่ข้างกายซูเจี้ย ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ระดับยอดเยี่ยม แล้วขยี้ฝ่าเท้าเบาๆ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของสวมลมฟ้าผู้นี้ยกมุมปากตวัดขึ้นเป็นรอยโค้ง กวาดตามองรอบด้าน สุดท้ายหันไปมองยังหอเรือนสูงที่เหล่าบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสีดำสนิทราวกับหยกเล่มหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วของเขา ส่งเสียงหวึ่งๆ เมื่อกระบี่บินเล่มนี้สั่นสะท้านจนเกิดเป็นเสียงอื้ออึง ลมภูเขาและทะเลเมฆโดยรอบหอเทพเซียนทั้งหมดก็เปลี่ยนจากบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆ มาเป็นวุ่นวายปั่นป่วน
หลังจากแสดงอำนาจท้าทายทุกคนอย่างโจ่งแจ้ง ชายหนุ่มก็เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต หันไปตะโกนใส่ทางหอเรือนสูงเสียงดัง “หกสิบปีให้หลัง ข้าหวงเหอจะขึ้นไปประลองกระบี่บนยอดเขาตะวันเที่ยง ปลิดศีรษะหนึ่งหัวเอามาวางไว้ในสวมลมฟ้า”
บุรพาจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงบนยอดหอเรือนท่านหนึ่งที่มีเส้นผมขาวโพลน หนวดยาวปลิวสยายหันมามองด้วยสายตาเดือดดาล อดใจไม่ไหวจึงเตรียมจะลงมาทุบเจ้าตะพาบน้อยพูดจาโอหังคนนี้ให้ตายไปซะเดี๋ยวนั้น
ประตูใหญ่ชั้นบนสุดของหอสูงที่ผู้ฝึกกระบี่ของสวมลมฟ้ารวมตัวกันพลันเปิดอ้า ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มชุดดำหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่งคนหนึ่งเดินออกมา หันไปมองบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ทำท่าจะลงไม้ลงมือคนนั้นยิ้มๆ “โจวเฮ้อ อาศัยที่ตนมีอายุมากและทำเป็นผู้อาวุโสเที่ยวดูถูกคนอื่น แบบนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่อย่างนั้นให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไหมล่ะ?”
หลังจากผู้ฝึกกระบี่คนนี้เดินออกมาจากประตูใหญ่ ไม่เพียงแต่บุรพาจารย์ผมขาวเท่านั้น แต่คนของภูเขาตะวันเที่ยงทั่วทั้งหอเรือนสูงต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด นอกเหนือจากความตกใจแล้วยังแฝงเร้นไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อยากจะยอมรับด้วยเสี้ยวหนึ่ง
คนผู้นี้ก็คือหลี่ถวนจิ่งเจ้าสวนของสวนลมฟ้า พรสวรรค์โดดเด่นน่าครั่นคร้าม ตอนอายุสี่สิบก็เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ แต่ระยะเวลาหลายร้อยปีอันยาวนานหลังจากนั้นมาก็ไม่เคยฝ่าทะลุขอบเขตอีกเลย เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก แต่ต่อให้ไม่ได้เลื่อนขึ้นเป็นห้าขอบเขตบน หลี่ถวนจิ่งก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีใครมาเทียบเทียม!
ก่อนหน้าที่เว่ยจิ้นยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาก็เคยยอมรับกับตัวเองว่าไม่อาจต่อกรกับคนผู้นี้ได้
ไหนบอกว่าหลี่ถวนจิ่งตายไปในสนามรบแล้วยังไงล่ะ?
หลี่ถวนจิ่งไม่สนใจบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ทั้งตกตะลึงทั้งคลางแคลงใจ เขาเงยหน้าขึ้นคล้ายกำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้กับคนเบื้องหลังทุกคนที่กำลังชมศึกครั้งนี้ มือหนึ่งของเขาไพล่หลัง อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วหมุนเบาๆ ระหว่างที่ลมเย็นกลุ่มหนึ่งบินมาล้อมวน เขาก็สะบัดข้อมือ หลี่ถวนจิ่งเอ่ยคำคำหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าแต้มยิ้มบางเบา “สะบั้น”
หลังจากลมเย็นขุมนั้นพ้นไปจากมือของผู้ฝึกกระบี่ชุดดำก็พลันกลายมาเป็นปราณกระบี่ขนาดมหึมาที่มีพลังงานเปี่ยมล้น แล้วหมุนวนอยู่เหนืออากาศของหอเทพเซียนรอบหนึ่ง ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างหอเทพเซียนของศาลลมหิมะกับโลกภายนอก
ทุกคนที่อยู่ในภาพวาดปากอ้าตาค้าง
คนที่อยู่นอกภาพวาดหันมามองหน้ากัน
หอเทพเซียนในภาพวาด บนหอสูง หลี่ถวนจิ่งทั้งไม่ได้หาเรื่องใคร แล้วก็ไม่ได้ทิ้งคำอาฆาตอะไรเอาไว้ เขาเพียงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ทอดสายตามองไปยังทะเลเมฆที่คลายตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
นี่ทำให้ศาลลมหิมะรู้สึกโล่งอก
—–