ตำหนักฉางชุนของต้าหลีคือพรรคอันดับต้นที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากที่สุดเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชวงศ์ต้าหลี
ดังนั้นเหนียงเนียงที่เคยกุมอำนาจใหญ่ผู้นั้นจึงเลือกจะมาฝึกตนอยู่ที่นี่ เก็บตัวอย่างสันโดษ มีองค์ชายซ่งเหออยู่ข้างกาย
จำนวนของลูกหลานฮ่องเต้ต้าหลีมีไม่มาก ชายหญิงรวมกันแล้วสิบกว่าคน ทว่าแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องควันธูป นับตั้งแต่ฮองเฮาของต้าหลีประชวรและสวรรคตไป ฮ่องเต้ก็ปล่อยตำแหน่งฮองเฮาว่างไว้มาโดยตลอด สำหรับเรื่องนี้ใช่ว่าขุนนางทั้งราชสำนักไม่มีความเห็นต่าง โดยเฉพาะขุนนางกรมพิธีการที่เคยถวายฎีกาทัดทานเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งฎีกาเหล่านั้นล้วนถูกฮ่องเต้วางทิ้งไว้บนโต๊ะ บวกกับหลายปีมานี้กองทัพชายแดนของต้าหลีกรีฑาทัพบุกเหนือล่องใต้อย่างไร้เทียมทาน จึงดึงดูดความสนใจส่วนใหญ่ของขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักไปได้ ดังนั้นนอกจากคำวิพากษ์วิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ยังไม่มีการปรึกษาเรื่องตัวเลือกฮองเฮาและรัชทายาทของต้าหลีอย่างเป็นทางการ
ทว่าเมื่อการยกทัพลงใต้ถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนแล้ว ขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลีไม่กล้าพูดว่าเพียงเอื้อมมือคว้าพวกเขาก็จะได้แผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาครอง แต่พวกเขากลับมีคุณสมบัติมากพอให้คิดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นการคัดเลือกฮองเฮาและแต่งตั้งรัชทายาทจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ใจทุกคนตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่เป็นทั้งการคิดพิจารณาเพื่อแผ่นดินของต้าหลี แล้วก็เป็นการเดิมพันที่ใหญ่มากครั้งหนึ่ง สายตาของใครแม่นยำกว่ากัน ยิ่งลงเดิมพันถูกข้างไว้นานเท่าไหร่ คนผู้นั้นก็ยิ่งมีสิทธิ์จะยึดครองตำแหน่งที่สำคัญในราชสำนักต้าหลีมากเท่านั้น
ทว่าเรื่องในบ้านของสกุลซ่งต้าหลีทุกวันนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนเกินแยกแยะ เป็นเหตุให้แม้แต่จิ้งจอกเฒ่าที่ปราดเปรื่องโชกโชนประสบการณ์มากที่สุดในราชสำนักก็ยังไม่กล้าลงมือง่ายๆ
เดิมทีซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นก็มีชื่อเสียงและบารมีในกองทัพสูงสุดอยู่แล้ว ตอนนี้ยังได้รับตำแหน่ง ‘ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน’ อย่างเปิดเผยด้วย อีกทั้งนี่ยังเป็นความต้องการของฮ่องเต้เอง นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก
หรือว่าฮ่องเต้คิดจะยกบัลลังก์ให้แก่น้องชาย ไม่ได้ยกให้แก่องค์ชายคนใด?
แม้หลายปีมานี้จะไม่ถือว่าฮ่องเต้ต้องลงมือทำทุกเรื่องด้วยตัวเอง ไม่ได้มุมานะขยันบริหารบ้านเมือง กิจการและงานด้านกองทัพที่สำคัญส่วนใหญ่ก็ยินดีแบ่งอำนาจให้คนอื่นดูแล แต่นี่ไม่ใช่เพราะเขาเกียจคร้านหรือเป็นกษัตริย์ทรราชอย่างแน่นอน ใครกล้าคิดอย่างนี้ หากไม่ใช่คนบ้าก็คือคนโง่ และในราชสำนักต้าหลีซึ่งเป็นที่ที่ดวงดาวจรัสแสงรวมตัวกันก็ไม่มีคนโง่หรือคนวิปลาสสักคน
ทว่าวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งซึ่งกลิ่นอายของเทศกาลปีใหม่ยังคงเข้มข้น หรือก็คือคืนวันเทศกาลหยวนเซียว เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ผู้คนพากันออกไปชมโคมไฟนั้นเอง เมืองหลวงต้าหลีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่มีลางบอกเหตุครั้งหนึ่ง ตำหนักใน วังหลวง ในเมือง นอกเมือง ทั่วทั้งเมืองหลวงต้าหลี ไม่ว่าจะเป็นนอกจวนโอ่อ่าสวยงามของเหล่าเศรษฐี บ้านของชาวบ้านร้านตลาดที่ไม่สะดุดตา โรงเตี๊ยมเก่าแก่ ร้านค้าและอารามเต๋าหลายแห่งล้วนมีทหารกล้า เลขาธิการฝ่ายบู๊ระดับสูงที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แบบประชิดตัว นักรบเดนตายที่กรมพิธีการแอบเลี้ยงไว้อย่างลับๆ รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณจำนวนมากซึ่งอยู่ในกองโหราศาสตร์ล้วนกรูกันมาปรากฎตัว พวกเขาร่วมมือกันบุกเข้าไปในสถานที่ทั้งหลาย หากมีคนกล้าขัดขวางก็ฆ่าได้ไม่ต้องละเว้น หากไม่มีใครปรากฏตัว ขุนนางของกองโหราศาสตร์ก็จะชี้นำให้ไปรื้อถอนวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซุ้มป้ายสูงตระหง่าน ยันต์ไม้ท้อที่แขวนไว้หน้าประตู สิงโตหินหน้าบ้าน กรอบป้ายหน้าโถงบรรพชน ป้ายวิญญาณด้านใน ฯลฯ มีครบหมดทุกอย่างสารพัดรูปแบบ
คืนนั้นซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นนั่งหลับตาทำสมาธิบัญชาการณ์อยู่บนทางเดินม้านอกเมืองด้วยตัวเองตั้งแต่ค่ำมืดจรดฟ้าสางอย่างน่าเกรงขาม
จวี้จื่อสำนักโม่ที่ออกมาจากหอป๋ายอวี้ก็ยืนอยู่ข้างกายซ่งจ่างจิ้ง
คืนนั้นซ่งจ่างจิ้งลงมือเพียงครั้งเดียว นั่นคือตอนที่ไล่ฆ่าแสงสายรุ้งเส้นหนึ่งซึ่งพยายามจะหลบหนีไป อ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีปล่อยหนึ่งหมัดต่อยรุ้งสีขาวเส้นนั้นให้แหลกสลาย
หลังจากนั้นซ่งจ่างจิ้งกับเงาร่างนั้นก็เปิดฉากต่อสู้กันที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง พายุหมัดพัดกระหน่ำรุนแรง ก่อให้เกิดริ้วแสงเป็นระลอกสาดไปสี่ทิศ ส่องสว่างม่านราตรี ถึงขั้นสว่างกว่าเอาโคมนับหมื่นมารวมกันด้วยซ้ำ หลังศึกนั้นผ่านไป บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างพังยับไปกว่าพันหลัง คนบาดเจ็บและล้มตายไปร่วมหมื่นคน เสียงร้องโหยหวนดังระงมไปทั่ว
หลังศึกใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนี้ผ่านไป บรรยากาศของเมืองหลวงหลังจากที่ฮ่องเต้ไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นก็เปลี่ยนมาเป็นซับซ้อนยากจะคาดการณ์ เกรงว่าต่อให้วันนั้นอ๋องเจ้าแคว้นส่งคนไปป่าวประกาศแก่คนทั้งเมืองว่านับแต่วันนี้ไปข้าซ่งจ่างจิ้งคือฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลี ก็คงไม่มีขุนนางสำคัญคนใดในราชสำนักแปลกใจสักเท่าไหร่
ผู้คนในเมืองหลวงรู้สึกเหมือนตกอยู่ในอันตราย
ตำหนักฉางชุนที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าหลีไม่ไกล ผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีศักดิ์อาวุโสค่อนข้างมากทยอยกันกลับจากเมืองหลวงเข้ามาในตำหนัก แม้ว่าทั่วร่างจะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นอายดุดัน แต่สีหน้าของทุกคนกลับยังคงผ่อนคลาย ดังนั้นโดยรวมแล้วสถานการณ์ของตำหนักฉางชุนจึงสุขสงบดั่งในเวลาปกติ ในกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาสูง สตรีแต่งงานแล้วที่ถอดชุดชาววังอันหรูหรางดงามมองไปยังเงาร่างมากมายที่ทยอยกันหายไปตามมุมต่างๆ ของตำหนักฉางชุนด้วยความรู้สึกหงุดหงิดและเจ็บแค้น นางเจ็บแค้นที่ตัวเองต้องเปลี่ยนจากสภาพของคนเดินหมากมาเป็นเพียงผู้เฝ้าดู อีกทั้งยังเป็นผู้ดูที่น่าสงสารเพราะได้แต่มองกระดานหมากอยู่ไกลๆ อีกด้วย ที่น่าหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้นก็คือตนถึงกลับพลาดเหตุการณ์สำคัญซึ่งถูกกำหนดมาว่าจะต้องถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ไป
สตรีแต่งงานแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เด็กหนุ่มท่วงท่าสง่างามคนหนึ่งยิ้มกว้างเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง กุมมือของนางไว้เบาๆ แล้วเอ่ยปลอบใจว่า “เสด็จแม่ ลมข้างนอกแรงขนาดนี้ อยู่ในห้องถึงจะอุ่น รอให้ลมพัดเบาลงแล้วค่อยออกมามองก็ยังไม่สาย”
สตรีแต่งงานแล้วพลิกมือกลับมากุมมือของบุตรชาย หรี่ดวงตางดงามที่เต็มไปด้วยประกายเฉียบคมคู่นั้นลง เอ่ยเบาๆ ว่า “เหอเอ๋อร์ แม่จะต้องทวงคืนของที่สมควรเป็นของเจ้ากลับคืนมาให้เจ้าเป็นเท่าตัวให้จงได้!”
เด็กหนุ่มมีใบหน้าอ่อนเยาว์มาตั้งแต่เกิด มองดูแล้วจึงดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างมาก “แต่ว่าเสด็จแม่ เสด็จพ่อเคยบอกพวกเราแล้วไม่ใช่หรือว่า สิ่งของไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มีเพียงเขาอยากให้หรือไม่อยากให้ ไม่มีส่วนที่ว่าพวกเราอยากได้หรือไม่อยากได้?”
ริมฝีปากของสตรีแต่งงานแล้วสั่นระริกคล้ายกำลังเจ็บปวดอยากร้องไห้ แต่คิ้วยาวของนางเลิกขึ้นสูงจึงดูคล้ายกำลังปิติยินดี
……
ณ ตำหนักฉางชุน ในหอเรือนสูงบนภูเขาอีกลูกหนึ่ง เด็กสาวต่ำต้อยที่มีชาติกำเนิดมาจากหญิงชาวเรือกำลังรับฟังอาจารย์บรรยายถึงสถานการณ์ศึกอันดุเดือดที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองหลวงต้าหลีหมาดๆ
เด็กสาวนั่งเท้าคาง ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิ บนโต๊ะวางขวดกระเบื้องไว้ขวดหนึ่ง ด้านในบรรจุกิ่งดอกท้อสองสามกิ่งที่เด็กสาวเพิ่งไปตัดมาจากต้น
ทว่าสุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเด็กสาวถึงคิดถึงบัณฑิตสวมชุดเขียวที่พบเจอกันที่บ้านเกิดขึ้นมาอีก ลักษณะของเขาสะอาดสะอ้านเหมือนเสียงขลุ่ยแผ่วพลิ้วยามราตรี เหมือนใบไม้สีเขียวใบหนึ่งที่ลอยผ่านบ่อน้ำขนาดใหญ่ของเมืองหงจู๋ที่เต็มไปด้วยหอโคมเขียวโคมแดง
แต่นางเองก็หวนนึกไปถึงบุรุษชุดขาวที่เดินสวนไหล่กับตนบนทางภูเขาเล็กๆ ของภูเขาฉีตุนด้วย จำได้แค่ว่าดูเหมือนตอนนั้นเขาจะเศร้าสร้อยอย่างมาก
เด็กสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถูกผู้อาวุโสไท่ซ่างของตำหนักฉางชุนคนนั้นเคาะหน้าผากเบาๆ หนึ่งที สตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ยังคงรักษาความงามเอาไว้ได้เป็นอย่างดียิ้มบางๆ “คิดถึงบ้านเกิดรึ?”
เด็กสาวหน้าแดงก่ำอย่างคนร้อนตัว
ใบหน้าแม่นางแดงปลั่งดุจดอกท้อ
……
เหนือมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่กั้นขวางระหว่างแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปมีปลาตัวใหญ่กำลังแหวกว่ายขึ้นไปทางทิศเหนือ
หนึ่งครอบครัวสามคนเดิมทีเป็นเพียงชาวบ้านร้านตลาดที่ไม่สะดุดตามากที่สุด ตอนนี้เมื่อมาอยู่บนปลาใหญ่ข้ามมหาสมุทรที่มีเทพเซียนบนภูเขารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ต่อให้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมระดับล่างที่เรียบง่ายมากที่สุดก็ยังคงเป็นที่ดึงดูดสายตา บวกกับที่มารดาและลูกสาวคนหนึ่งมีเรือนกายอวบอิ่ม เป็นหุ่นของสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในวัยสุกงอมอย่างเต็มที่ ส่วนบุตรสาวก็มีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ดวงตาฉายประกายเฉลียวฉลาด ต่อให้ยกเป็นคู่รักเทพเซียนที่ต้องผ่านการลงนามแห่งขุนเขาและมหาสมุทร หรือผ่านการสู่ขออย่างถูกต้องตามธรรมเนียมไม่ได้ แต่จะให้ไปเป็นสาวใช้คนหนึ่งในสำนักย่อมมากเหลือแหล่
ดังนั้นบนพื้นที่หลังปลาใหญ่ที่กว้างขวางราวกับเมืองเล็กแห่งหนึ่ง ต่อให้ครอบครัวสามคนนี้แทบจะไม่เคยออกจากห้องมาชมทิวทัศน์ด้านนอกก็ยังคงมีผู้ฝึกตนอิสระดับต่ำบางส่วนที่เกิดความคิดชั่วร้าย ระยะทางข้ามผ่านสองทวีปยาวไกลมาก หากสามารถหาเรื่องสนุกทำได้ จะไม่เต็มใจทำได้อย่างไร?
ยังดีที่มากคนก็มากสายตาคอยจับจ้อง เพราะปลาใหญ่ข้ามทวีปตัวนี้บรรทุกสินค้าจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีเซียนซือขอบเขตเก้าคนหนึ่งและผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดอีกคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณที่เป็นหนุ่มฉกรรจ์บางคนซึ่งคันไม้คันมืออยากลงมือเต็มที่จึงไม่กล้าแสดงตัวเด่นชัดเกินไปนัก แรกเริ่มเป็นเพราะเงินทองก่อให้เกิดความละโมบ ไม่ว่าจะมองอย่างไรครอบครัวสามคนนั้นก็ไม่เหมือนคนมีภูมิหลัง ต่อให้มีญาติเป็นเซียนซือ อย่างมากก็คงมาจากสำนักเล็กๆ ระดับล่าง หาไม่แล้วคงไม่เช่าห้องพักที่ราคาถูกที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงมีคนฉวยโอกาสมาเคาะห้องเรียกเพื่อทักทายปราศรัย พอได้เข้าไปนั่งดื่มชาก็เผยอาการบางอย่างออกมาให้เห็น ผลกลับกลายเป็นว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นตกใจจนหน้าซีดขาว กลับเป็นบุตรสาวของสตรีนางนั้นที่ยิ้มเย็นชา บอกว่ารอให้บิดานางกลับมาก่อนค่อยว่ากัน
ตอนนั้นบนระเบียงนอกประตูยังมีพวกเดียวกับคนผู้นั้นยืนอยู่อีกหลายคน หนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่มากประสบการณ์คนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ห้อยกระบี่ไว้ตรงเอวด้วย! เรื่องแบบนี้แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าเอง เพราะจะลดคุณค่าตัวเองมากเกินไป แต่คำแรกของอาหารป่าสองจานนี้ต้องให้เขาเป็นคนชิมก่อน ส่วนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ต้องดูที่อารมณ์ของเขาว่าอยากจะให้รางวัลพวกลูกสมุนข้างกายหรือไม่
ผลกลับกลายเป็นว่าพอชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อตรงคนหนึ่งที่ไปซื้ออาหารกลับมาและได้ยินว่ามีเรื่องนี้ เขาทั้งไม่มีท่าทางขลาดกลัว แล้วก็ไม่ได้ตบโต๊ะถลึงตา เพียงวางกล่องอาหารที่บรรจุอาหารเที่ยงที่เรียบง่ายที่สุดลงบนโต๊ะ แล้วบอกว่าออกไปคุยกันข้างนอก
สตรีแต่งงานแล้วอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เด็กสาวจับมือมารดาของนาง บอกว่าไม่เป็นไร ยังมีบิดาอยู่
สตรีแต่งงานแล้วพลันร้องไห้โฮ เอ่ยประโยคที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกปวดใจ “ข้ากลัวว่าพ่อเจ้าจะถูกคนอื่นทุบตี”
หลังเดินข้ามธรณีประตูออกไป ชายฉกรรจ์ก็ปิดประตูลงเบาๆ มือข้างหนึ่งคว้าลำคอของคนผู้นั้นหิ้วตัวลอยอยู่กลางอากาศคล้ายหิ้วลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง เดินทีละก้าวเข้าหาผู้ฝึกลมปราณของอุตรกุรุทวีปที่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ข้างกายของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกที่สงบสติอารมณ์ได้มากที่สุดมีคนกำลังจะเอ่ยคำพูดข่มขู่ แต่กลับค้นพบว่าลูกกระเดือกของตนเองแสบร้อนคล้ายถูกยัดถ่านร้อนๆ ก้อนหนึ่งเข้าไป ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ยกสองมือกุมลำคอร้องอึกๆ อักๆ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ชายฉกรรจ์โยนผู้ฝึกลมปราณในมือที่ลมหายใจรวยรินทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ หันไปถามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นว่า “บรรพบุรุษของเจ้าชื่อแซ่อะไร ชื่อสำนักคืออะไร?”
ผู้ฝึกกระบี่หัวเราะหยัน “พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่เจ้ากลับท้าตีท้าต่อยขึ้นมาก่อน ตามกฎของเรือข้ามทวีปลำนี้ เจ้าต้องถูกโยนลงทะเล”
ชายฉกรรจ์คร้านจะพูดให้มากความ เหวี่ยงหมัดต่อยสะพานอมตะของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นให้ขาดครึ่ง บังคับกระชากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่ทันได้ออกกระบวนท่าออกมาจากช่องโพรงลมปราณ ‘ทั้งรากทั้งโคน’ กำไว้ในมือตัวเองเบาๆ เพียงพริบตาก็บีบมันจนแหลกละเอียด
ผู้ฝึกกระบี่ที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดนอนกองอยู่บนพื้น
นักพรตคนอื่นๆ ลงไปนั่งคุกเข่าร้องวิงวอนแทบจะเวลาเดียวกัน
ทว่าความเคลื่อนไหวทั้งหมดของที่แห่งนี้ได้ถูกชายฉกรรจ์ใช้วิชาอภินิหารของวิถีวรยุทธ์สกัดกั้นให้อยู่เพียงแค่นอกประตูห้องนั้นทั้งหมดแล้ว
ชายฉกรรจ์เอ่ยเรียบๆ ว่า “บอกที่มาของผู้ฝึกกระบี่คนนี้ พร้อมกับชื่อแซ่และสำนักของพวกเจ้าทุกคนมาให้ครบ กินหมัดข้าไปหนึ่งทีแล้ว วันหน้าข้าจะไปจัดการกับบรรพบุรุษของพวกเจ้าเอง”
มีบางคนเกิดความคิดเจ้าเล่ห์ จงใจพูดชื่อสำนักแห่งหนึ่งขึ้นมามั่วๆ ตบะของชายฉกรรจ์แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้เทียมทาน เขาเห็นริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจของผู้ฝึกลมปราณชัดเจนดุจส่องไฟในถ้ำ จึงเหวี่ยงหมัดหนึ่งต่อยไปที่รากฐานแห่งการพิสูจน์ความเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณคนนั้น แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อข้าสามารถต่อยให้เจ้าตายด้วยหมัดเดียว แต่ยังยินดีพูดกับเจ้าดีๆ พวกเจ้าก็ควรตั้งใจฟังให้ดี”
คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ได้รับบทเรียนเป็นตัวอย่าง
นักพรตขอบเขตเก้าและผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่ควบคุมดูแลเรือลำนี้รีบมาทันทีที่ได้รับข่าว
นักพรตคือผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเก้าโอสถทองคำ ประโยค ‘ผู้ที่สร้างโอสถทองคำได้สำเร็จ คือคนรุ่นเดียวกับข้า’ ที่พูดกันติดปากบนภูเขาหมายถึงลูกรักแห่งสวรรค์ที่ฝ่าขอบเขตที่แปดประตูมังกรได้สำเร็จ ดังนั้นขอบเขตโอสถทองคำจึงถูกขนานนามให้เป็นการ ‘แต้มนัยน์ตา’ ที่แปรเปลี่ยนสิ่งผุพังให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์หลังจากเป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกรมาแล้ว ตลอดทั้งมหาสมุทรลมปราณของพวกเขาจะหดตัวกลายมาเป็นโอสถทองเม็ดหนึ่งที่หมุนคว้างไปตามช่องโพรงลมปราณแห่งต่างๆ สภาพการณ์ในร่างกายของนักพรตแต่ละคนที่ลมปราณก่อตัวเป็นเม็ดยานั้นจะแตกต่างกันออกไป นักพรตที่มีพรสวรรค์บางคน สภาพการณ์เวลาลมปราณก่อตัวเป็นเม็ดยาจะยิ่งใหญ่อลังการถึงขั้นชักนำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในฟ้าดิน
‘ห้องโอสถ’ ของนักพรตใหญ่ขอบเขตโอสถทองคำแต่ละคนจะมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ซึ่งข้อดีและข้อเสียก็ต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลนด้วย แต่ก็มีสถานการณ์ที่พิเศษที่เรียกว่า ‘ใหญ่แต่ว่างเปล่า’ ‘เล็กแต่มหัศจรรย์’ อยู่ด้วย สมกับคำว่าเจตนารมณ์สวรรค์ยากจะคาดเดาอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคือผู้เฒ่าร่างกำยำที่สูงถึงแปดฉื่อคนหนึ่ง ตรงเอวพกดาบหนึ่งเล่ม
ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองคำเห็นสภาพอเนจอนาถของคนบนระเบียงก็พลันเดือดดาล เตรียมจะยกกฎเกณฑ์ขึ้นมาข่ม
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดกลับเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “หงเหล่า คนผู้นี้อย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด”
ผู้เฒ่าร่างกำยำยังไม่ลืมเพิ่มระดับน้ำเสียงเน้นย้ำสองคำเดิม “อย่างน้อย!”
นักพรตเฒ่าคนนั้นจึงรีบตรวจสอบระยะห่างระหว่างตนกับชายฉกรรจ์ผู้นั้นอย่างรวดเร็ว เห็นว่าห่างกันไม่เกินสิบจั้ง นี่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ประมือกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อย่างน้อยคือขอบเขตแปดในระยะสิบจั้ง ไม่น่าสนุกเลยแม้แต่น้อย
ยังดีที่ชายฉกรรจ์ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ใคร เพียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
จากนั้นก็มีคนผู้หนึ่งที่ตาไม่มีแววแต่มีความมั่นใจตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างเดือดดาล “เทพเซียนหงเหล่า ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนพื้นคือถังซิวเฟิงแห่งชิงเหมียวเจียน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาถูกเจ้าคนบ้าผู้นั้นกระชากออกมาจากในร่างและบีบจนแหลกเละไปแล้ว! ความแค้นใหญ่หลวงครั้งนี้ ชิงเหมียวเจียนไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่นอน!”
หากไม่มีคำเตือนนี้ นักพรตเฒ่าขอบเขตโอสถทองอาจจะยังตัดสินใจไม่ได้เฉียบขาดนัก แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็รีบประเมินสภาพของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่บนพื้นทันที แล้วนักพรตเฒ่าก็ต้องกลืนน้ำลาย ในที่สุดก็สามารถตัดสินใจได้ ชายฉกรรจ์ที่ลงมืออย่างเหี้ยมโหดคนนั้น ไม่เพียงแต่อย่างน้อยต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล อีกทั้งอย่างน้อยยังอาจจะอยู่ในขอบเขตแปดขั้นสูงสุด มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสัมผัสกับธรณีประตูของเขตยอดเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งได้อย่างไร
นักพรตเฒ่าจึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “วางใจเถอะ เรื่องนี้พวกเราจะตัดสินอย่างยุติธรรม จะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับท่านผู้อาวุโสแน่นอน”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า ครุ่นคิดแล้วก็พูดกับพวกคนที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ว่า “หมัดนั้นติดค้างไว้ก่อน หลังจากนี้ข้าค่อยไปคิดบัญชีกับบรรพบุรุษของพวกเจ้า”
ชายฉกรรจ์มองมาทางนักพรตเฒ่าและผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกเจ้าห้ามฆ่าคนปิดปากเด็ดขาด เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
นักพรตเฒ่ายิ้มอย่างจนใจ “พวกเราไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก”
ชายฉกรรจ์ไม่พูดอะไรอีก เขาเดินกลับไปที่หน้าประตูห้องของตัวเอง เคาะประตูห้องที่บุตรสาวจงใจลงกลอนเพื่อปลอบใจมารดา “หลิ่วเอ๋อร์ พ่อเอง”
เด็กสาวเดินมาเปิดประตูด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ชายฉกรรจ์เดินเข้าไปในห้องแล้วก็งับประตูปิด สตรีแต่งงานแล้วปรี่เข้ามาหา บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา “หลี่เอ้อร์ เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้ถูกคนรังแกใช่ไหม? โดนตีตรงไหนหรือเปล่า? ต้องทายาไหม?”
ชายฉกรรจ์เกาหัว ยิ้มซื่อๆ “ไม่เลย คนดูแลบนเรือผ่านมาพอดี ข้าเลยรีบเล่าให้เขาฟัง หึ เจ้าเดาสิว่าเป็นอย่างไร เขามีเหตุผลมากเลยล่ะ รีบไล่คนพวกนั้นไป แถมยังบอกพวกเขาว่าวันหน้าห้ามเข้าใกล้พวกเราสามคนอีก เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรแล้ว ข้าเคยบอกแล้วไง ออกมานอกบ้านก็ยังมีคนดีให้เห็นอยู่มาก”
เด็กสาวหลี่หลิ่วข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้
เดินทางไกลคราวนี้ไม่เสียเที่ยว บิดานางรู้จักพูดปดบ้างแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วถึงวางใจลงได้ นางตบหน้าอกตัวเองแรงๆ พูดเสียงสั่น “โชคดีไปๆ”
ชายฉกรรจ์แค่คลี่ยิ้มมองภรรยาของตัวเองเงียบๆ
สตรีแต่งงานแล้วคิดไปไกล บิดเนื้อแข็งๆ ตรงเอวชายฉกรรจ์อย่างแรง ตำหนิเสียงเบา “ลูกยังอยู่นะ ไม่รู้จักเก็บสายตาสุนัขของเจ้าบ้าง!”
ชายฉกรรจ์ยังคงเกาหัวอย่างทึ่มทื่อ
ยามค่ำคืน ดวงจันทร์ลอยตัวสูงอยู่เหนือผืนทะเล
เด็กสาวหลี่หลิ่วยืนอยู่ข้างราวระเบียง ทอดสายตามองดวงจันทร์กลมโตที่อยู่ห่างไปไกล
หยางเหล่าโถวเคยบอกว่า พรสวรรค์ของนางดี ส่วนหลี่ไหวนั้นมีโชควาสนา
พรสวรรค์ดีอย่างไร?
นี่เป็นเรื่องที่หลี่หลิ่วรู้มาตั้งแต่เกิด
ตอนนั้นที่นางทำท่าท้าทายราชครูต้าหลีที่สำนักศึกษาซานหยา ไม่ใช่ว่าเด็กสาวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่เป็นเพราะเด็กสาวรู้ดีที่สุดว่าฟ้าสูงแค่ไหน แผ่นดินต่ำเท่าไหร่
ห้องข้างๆ ห้องพักของเด็กสาว
สตรีแต่งงานแล้วเป็นคนใจกว้าง ในเมื่อเรื่องผ่านไปแล้วนางก็ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรอีก ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ตอนนี้กำลังนอนกรนเสียงดัง
หลี่เอ้อร์นอนอยู่ข้างกายนาง ฟังเสียงกรนดังสนั่นราวฟ้าผ่าของสตรีแต่งงานแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปกุมมือของนางไว้เบาๆ
ชายฉกรรจ์หลับตาลงช้าๆ เขาไม่เคยพูดคำหวานเลี่ยนอะไร แล้วก็พูดไม่ออกด้วย ยังดีที่ภรรยาของเขาเองก็ไม่ชอบฟังคำเหล่านั้น
ภรรยาสบายดี บุตรชายสบายดี บุตรสาวสบายดี คนเป็นบิดาอย่างเขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ชายฉกรรจ์หลับตาลงแล้วคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ
—–