กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 218.1 เซียนซือมาเยือน

บทที่ 218.1 เซียนซือมาเยือน

เรือนด้านหลังของบ้านโบราณ ด้านนอกหอซิ่วโหลว ศึกใหญ่กำลังเปิดฉากขึ้น

แม้ว่าขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของมือดาบเคราดกที่เดินทางมาที่นี่เพียงแค่เพื่อสังหารปีศาจจะไม่ถือว่าสูงมากนัก เป็นแค่ขอบเขตสี่ที่มั่นคง ทว่าดาบวิเศษในมือเล่มนั้นกลับเป็นศาสตราวุธที่มีระดับขั้นสูงสุด หลังกรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไป ขณะที่ชักดาบจะมีแสงสีแดงเปล่งประกายคลอมากับเสียงสายลมสายฟ้าคำรณ พลังอำนาจดุดันมิอาจขัดขวาง

หญิงชราที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนสามชั้นแรกคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามที่เก็บซ่อนฝีมือไว้อย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าอายุของนางสูงมากแล้ว พละกำลังไม่เป็นใจ จึงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์หน้าหนวดและดาบวิเศษเล่มนั้นอยู่ดี หลังจากสู้กันหลายสิบรอบก็ถูกชายฉกรรจ์ใช้หลังดาบตีจนมึน แล้วแตะเข้าไปในห้องจนกระทั่งนางหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง

เดิมทีหญิงชราไม่น่าจะหมดสภาพได้ถึงขั้นนี้ เพียงแต่ว่าถูกกักขังอยู่ในกรงมานาน ถูกปราณแห่งความมืดมนชั่วร้ายที่ค่ายกลดึงให้มารวมตัวกันรุกรานอยู่นานเกินไป แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนผีหรือวัตถุหยินที่พบเจอแสงสว่างไม่ได้ แต่กลับหวาดกลัวปราณอันทรงพลังของดาบวิเศษเล่มนั้นมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งมือดาบเคราดกยังเคยเดินทางไปทั่วสารทิศ มีประสบการณ์ด้านการเข่นฆ่าอย่างโชกโชน การที่หญิงชราพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ในเรือนชั้นสุดท้าย ตอนแรกบุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านโบราณเลือกที่จะออกมารับมือกับศัตรูเพียงลำพัง เขาพลิ้วตัวจากระเบียงคนงามเข้ามาอยู่กลางลานบ้าน หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ถูกฝุ่นเกาะมานานปี ตัวกระบี่เยียบเย็นดุจสายน้ำ ประมือกับมือดาบ กระบี่ของเขาตวัดฉวัดเฉวียนอย่างแผ่วเบาว่องไว ไม่ยอมปะทะกับดาบวิเศษซึ่งๆ หน้า ทุกๆ ครั้งที่ออกกระบี่จะต้องทิ่มแทงเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของชายฉกรรจ์หนวดดกโดยตรง ปลายกระบี่พ่นประกายแสงสีเขียวอันเป็นกระแสแสงงดงามที่ปนความเศร้าอยู่ท่ามกลางม่านฝน

มือดาบเคราดกลงมือได้มีท่วงทำนองคล้ายคลึงกับทหารกล้าในสมรภูมิรบ หยาบกระด้างเรียบง่าย ทุกครั้งที่ชักดาบมีเพียงความเร็วและดุดัน กระบวนท่าไม่ซับซ้อน ไม่ได้ดูอัศจรรย์สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าทุกดาบล้วนคล่องแคล่วว่องไว ดึงกลับชักออกได้ตามใจปรารถนา หากหนึ่งดาบไม่โดนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าโดนแล้วศัตรูต้องบาดเจ็บสาหัส เมื่อรับมือกับเวทกระบี่ชั้นสูงของบุรุษที่สวมชุดสีดำ มือดาบเคราดกก็ยังคงรับมือได้อย่างสบายๆ

เมื่อเขาพบเห็นเบาะแสบางอย่าง ชายฉกรรจ์ก็ออกกระบี่รวดเร็วรุนแรงมากกว่าเดิม เพราะเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ถึงกับแผดเสียงด่าดังลั่น “เจ้าคนระยำ ทั้งๆ ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนที่ถูกทำนองคลองธรรม แต่ดันไม่ยอมช่วงชิงมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะ เหตุใดถึงปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ?! กลับกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งผี เอนเอียงเข้าข้างผีสาวตนนี้ ทำร้ายให้รัศมีหลายร้อยลี้รอบด้านที่แห่งนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย?! เจ้าว่าตัวเองสมควรตายหรือไม่!”

ชายฉกรรจ์เคราดกคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล มือทั้งคู่ที่ถือดาบตวัดฟันลงไปด้านล่างอย่างแรง ดาบนั้นฟันลงไปที่กระบี่ของคนผู้นั้น ฟันให้ทั้งคนทั้งกระบี่แหลกสลายไปหลายจั้ง เจ้าของบ้านโบราณที่สีหน้าเป็นคนหนุ่ม แต่เส้นผมกลับขาวโพลนถอยกรูดไปด้านหลัง น้ำฝนใต้ฝ่าเท้าสาดกระเซ็นไปรอบด้าน กว่าจะหยุดยืนนิ่งๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขากลืนเลือดสดที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอลงไป บุรุษที่สีหน้าแห้งเหี่ยวบิดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงกระบี่ก็พลันเปล่งวาบแล้วตรงเข้าทะลวงหยดน้ำฝนจำนวนนับไม่ถ้วนใกล้กับบริเวณปลายกระบี่ให้แตกกระจาย เสียงปริแตกดังเหมือนเสียงประทัดในวันตรุษจีน

ชายฉกรรจ์เคราดกก้าวออกไปข้างหน้าหนักๆ หนึ่งก้าว ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ของดาบที่ถืออยู่ในมือส่องจ้าจนแขนทั้งแขนถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีแสง อีกมือหนึ่งของชายฉกรรจ์ชี้หน้าบุรุษผู้นั้น ถลึงตาเดือดดาล “ศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่ากลับใจคือฝากฝั่ง เจ้าคนสารเลวที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษอย่างเจ้ายังไม่ยอมหยุดมือถอยออกไปอีกรึ?! คิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้แซ่สวีไม่กล้าฆ่าเจ้าไปพร้อมกันด้วย?!”

บุรุษเอ่ยประโยคแรกของค่ำคืนนี้ น่าจะเป็นเพราะเขาเองก็เป็นคนที่มีความรู้ แม้เสียงที่พูดจะแหบพร่าเหมือนเสียงมีดที่ลับบนหิน แต่ท่วงท่ากลับสุขุมเยือกเย็น สีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ไม่ตอบโต้กลับด้วยวาจาบาดหู กลับยังเอ่ยเหมือนสัพยอก “ศาสนาพุทธยังกล่าวด้วยว่าวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ”

มือดาบเคราดกกวาดตามองไปรอบด้าน เงยหน้ามองระเบียงคนงามชั้นสองที่ประตูใหญ่ปิดสนิท หลังดึงสายตากลับมาก็เอ่ยเยาะเย้ยว่า “โอ้โห ยังมีอารมณ์มาตีฝีปากกับข้า ดูท่าคงเป็นเพราะมีที่พึ่งสินะ ก็จริง อาศัยชาติกำเนิดของเจ้าและตบะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าที่เป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าภายในร้อยปีมานี้อาจจะดำเนินกิจการสกปรกนี้ได้อย่างเจริญรุ่งเรือง หาไม่แล้วเทพภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงก็คงไม่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของเจ้า หากข้าเดาไม่ผิด แม้ว่าเจ้าจะไม่มีหน้ากลับสำนัก แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็คงอาศัยชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสำนักมาข่มขู่ผู้คนไว้ไม่น้อย คนนอกถึงได้ไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่นิดเดียว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็เดือดดาลสุดขีด สีหน้าของเขาเหมือนรูปปั้นราชาสวรรค์ในวัดที่ถลึงตามองมาอย่างดุดัน แผดเสียงดังดุจฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ “ใช่หรือไม่?!”

บุรุษที่ถือดาบยาวเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบโต้ ทว่าจุดลึกในดวงตากลับมีความกลัดกลุ้มซ่อนอยู่

ชายฉกรรจ์เคราดกเอ่ยเสียงเฉียบ “ให้โอกาสเจ้าได้กลับตัวเป็นคนใหม่ เจ้าไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าผู้แซ่สวีสังหารปีศาจอย่างไร้เมตตาแล้วกัน!”

ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะชักดาบ บุรุษถอนหายใจอย่างหมดอาลัยพ่วงแฝงไปกับความละอายใจ จากนั้นเขาก็กัดปลายนิ้วให้เลือดไหล ใช้มันเขียนตัวอักษรคำเขียวตำราชาด (คำเขียวหรือบทความสีเขียวคือคำอวยพรที่นักพรตลัทธิเต๋าเขียนถวายแก่สวรรค์ในช่วงเวลาที่บำเพ็ญกายใจเพื่อถวายแก่เทพยดา ตำราชาดคือหนังสือที่เขียนด้วยหมึกแดง) ลงบนด้ามกระบี่

การสรรเสริญด้วยคำเขียวคือหนึ่งในพิธีกรรมของลัทธิเต๋า เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลสามารถถวายสารให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงระหว่างฟ้าและดิน หากมีความจริงใจมากพอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ก็จะมีเทพองค์ต่างๆ เยื้องกรายลงมาเยือน ยกตัวอย่างเช่นหากเขียนคำเขียวให้แก่องค์เทพในกรมสายฟ้า และถ้าเทพสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นก็อาจถึงขั้นได้ครอบครองสายฟ้าไว้ในมือ มีร่างทองปกป้องกาย ในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนมีขุนพลเทพกรมสายฟ้ามาเยือนโลกมนุษย์ มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย

“มิน่าเล่ากำแพงบังตานั้นถึงมีท่วงทำนองของคำเขียวชั้นเยี่ยมหลงเหลืออยู่ คนระยำอย่างเจ้าเป็นถึงลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักโองการเทพ ต่อให้ตายร้อยรอบก็ยังไม่สาสม!”

บุรุษเคราดกโมโหจนแทบเต้นผาง เขาฟาดดาบลงไปเต็มแรง แสงสว่างระเบิดเจิดจ้า ขับให้ทั่วทั้งเรือนสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน

สำหรับเขาแล้ว การที่ภูตผีปีศาจมาก่อความวุ่นวายอยู่ในโลกมนุษย์ การกระทำที่โหดร้ายของพวกมันสร้างความเดือดดาลให้แก่ผู้คนมากแค่ไหน แต่ชายฉกรรจ์เคราดกที่เห็นเรื่องประหลาดและโศกนาฎกรรมมาจนเคยชินก็ไม่มีทางรู้สึกตื่นตะลึงอะไรมากมาย เพราะนั่นเป็นสันดานเดิมของพวกภูตผีปีศาจ หากพวกมันอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติต่างหากถึงจะแปลก ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงมักจะแค่สังหารพวกมันให้จบเรื่องจบราว ไม่มีทางเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างในเวลานี้

แต่หากผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเปลี่ยนจากธรรมะมาเป็นอธรรม อาศัยฝีมือที่มากกว่ามารังแกคนอื่น นั่นต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

ด้วยความเกรี้ยวกราด ชายฉกรรจ์เคราดกยิ่งแผ่พลังอำนาจน่าตะลึง ยิ่งพลังเปี่ยมล้นมากเท่าไหร่ ดาบก็ยิ่งแกร่งกร้าวมากเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ดาบวิเศษเล่มนี้ยังเป็นอาวุธเทพที่เดิมทีพวกปรมาจารย์ในยุทธภพก็น้ำลายไหลอยากได้มาครอบครองอยู่แล้ว ทันใดนั้นแสงดาบก็ส่องสว่างจ้าอยู่ในลานบ้าน พายุลมปราณพัดกระหน่ำ เป็นเหตุให้เม็ดฝนที่โชคร้ายตกลงมาในลานบ้านแห่งนี้แหลกสลายอยู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่สัมผัสแตะก้อนอิฐบนพื้น

แม้ว่าจะใช้สุดยอดวิชาจากสำนัก แต่บุรุษเจ้าของบ้านอ่อนระโหยโรยแรงเกินไป เนื้อหนังก็แห้งเหี่ยว ประหนึ่งผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่ง แม้จะฝืนประคับประคองขอบเขตให้อยู่บนธรณีประตูขอบเขตห้าไว้ได้ แต่ลมปราณกลับเหือดหายแทบไม่เหลืออยู่นานแล้ว ประหนึ่งธารน้ำที่แม้ท้องน้ำจะกว้างขวาง แต่กลับไม่มีน้ำไหลผ่านสักเท่าไหร่ แห้งขอดจนแทบจะเห็นเบื้องล่าง และนี่ก็ทำให้การสรรเสริญคำเขียวที่เขียนไว้บนตัวกระบี่เพื่อเพิ่มพลังการโจมตีให้กับกระบี่เล่มยาวได้ผลเพียงน้อยนิด

ชั้นที่สองของหอซิ่วโหลว ในที่สุดผีสาวที่สวมเสื้อเขียวกระโปรงเขียวก็ปรากฏกาย นางใช้มือหนึ่งปิดหน้า อีกมือหนึ่งค้ำเสาระเบียง

เมื่อนางปรากฏตัว ตรงกำแพงบ้าน พื้นดินกลางลานบ้าน และเสาตามระเบียงก็มีรากต้นไม้หนาเท่าแขนคนจำนวนมากผุดพุ่งออกมาเหมือนลูกธนูที่แล่นออกจากสาย

มือดาบเคราดกที่เดิมทีได้เปรียบเต็มที่พลันตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่กระนั้นเขาก็ยังกล้าหาญมิหวาดกลัว พลิกร่างหมุนกลับอยู่กลางลานบ้านเพื่อหลบเลี่ยงลูกศรรากต้นไม้ที่พุ่งเข้ามา แล้วก็ถือโอกาสฟาดดาบตัดอาวุธลับที่พุ่งผ่านร่างไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย จิตใจของชายฉกรรจ์ห้าวเหิม แม้ตัวจะตกอยู่ในอันตราย แต่กลับแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “นังปีศาจเฒ่าเจ้าเป็นภูตต้นไม้จริงๆ ด้วย! มาได้ดี ข้าผู้แซ่สวีจะตัดรากทั้งหมดของเจ้า ถึงเวลานั้นจะทิ้งลมหายใจหนึ่งเฮือกให้เจ้า ปล่อยให้เจ้าแห้งตายอยู่กลางแสงแดด!”

นักพรตหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาจากระเบียง น่องขาด้านล่างทั้งสองข้างแปะยันต์กระดาษเหลืองไว้ข้างละแผ่น เป็นเหตุให้เขาวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าสายลม จนคนมองตาลาย นักพรตเต๋าหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลังวิ่งพลางตะโกนเสียงดังไปด้วย “จอมยุทธ์สวี นักพรตน้อยจะช่วยเจ้าสังหารปีศาจเอง!”

มือดาบเคราดกถูกรากต้นไม้เส้นหนึ่งกระแทกลงบนไหล่ เรือนกายสูงใหญ่อาศัยพลังโจมตีที่รุนแรงพลิกตัวหมุนอยู่กลางอากาศหนึ่งตลบ แล้วฟาดดาบฟันลงไปยังรากต้นไม้นั้น รากต้นไม้ที่หล่นลงพื้นยังคงทะลึ่งพรวดขึ้นมาด้านบนไม่หยุด ส่วนรากที่ถูกตัดซึ่งหดกลับเข้าไปในกำแพง ตรงบาดแผลที่ถูกตัดกลับมีเลือดสดสีดำไหลออกมา ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง บวกกับน้ำฝนหนักอึ้งที่ตกลงมา เป็นเหตุให้ไอสกปรกในลานบ้านปนกันมั่วซั่ว ยังดีที่กลิ่นอายแห่งวิถีวรยุทธ์ของชายฉกรรจ์ซึ่งหมุนเวียนไม่หยุดนิ่งนั้นหนาข้นมากพอ เหมือนแสงทองชั้นหนึ่งที่ปกป้องร่างกายและจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ เมื่อเห็นว่านักพรตหนุ่มเข้ามาร่วมวงด้วย ชายฉกรรจ์ถ่มเลือดคำหนึ่งออกจากปากแล้วก็หัวเราะอย่างถอนฉิว “นักพรตน้อย ความหวังดีนั้นรับไว้แล้ว! แต่อย่ามาช่วยให้เสียเรื่องเลย รีบพาเพื่อนของเจ้าหนีไปจากบ้านหลังนี้ซะ! ไปเตรียมอาหารและสุรารสเลิศที่เมืองเล็กรอไว้เป็นรางวัลให้ข้าผู้แซ่สวีได้เลย  นี่ต่างหากถึงจะถือว่าช่วยข้าอย่างแท้จริง!”

นักพรตหนุ่มกลับไม่ยอมไปจากที่นี่ สังหารปีศาจและมาร ช่วยขจัดภัยร้ายให้แก่อาณาประชาราษฎร์ คือภารกิจอันพึงปฏิบัติโดยไม่สามารถบอกปัด!

ในฐานะลูกศิษย์สายรองของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่อให้ความสัมพันธ์จะห่างเหินแค่ไหน ต่อให้จะอยู่ห่างไกลจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าแห่งนั้นโดยมีภูเขานับพันสายน้ำนับหมื่นกั้นขวาง ต่อให้เขาจางซานจะไร้ชื่อเสียง  คาถาอาคมจะเบาบางมากเท่าไหร่ แต่เขาก็คือหนึ่งในคนนับพันนับหมื่นของเทียนซือตระกูลจางดั้งเดิมที่แท้จริง!

ยันต์ที่แปะอยู่บนขาสองข้างของนักพรตหนุ่มก็คือยันต์เทพเดินทาง สามารถนำมาใช้ได้ประมาณหนึ่งก้านธูป ยันต์เทพเดินทางมีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ม้าศึก ความหมายตรงตามชื่อ นั่นคือสามารถทำให้ผู้ที่ใช้เดินทางได้ราวกับม้าควบตะบึง ราวกับเทพบรรพกาลที่กำลังทะยานลมออกสำรวจตรวจสอบพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ยันต์เทพเดินทางจึงอยู่ในระดับที่เจ็ดจากเก้าระดับของยันต์ ต่อให้จะราคาสูงมาก แต่สำหรับนักพรตหนุ่มที่ขาดพลังการต่อสู้ เรือนกายและจิตใจอ่อนแอแล้ว การมีวัตถุชิ้นนี้อยู่ในครอบครองถือว่าคุ้มค่า

จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน

นิ้วสองข้างของนักพรตจางซานทำมุทราคาถากระบี่ ระหว่างที่เดินอยู่กลางระเบียงก็เงยหน้ามองไปยังชั้นสองของหอซิ่วโหลว “จงรับคำบัญชาบัดเดี๋ยวนี้ ไป!”

เมื่อนิ้วสองข้างที่ทำมุทรากระบี่ขยับส่ายเบาๆ กระบี่ไม้ท้อก็พุ่งสวบออกไปจากด้านหลังของนักพรตหนุ่ม กระบี่ที่พุ่งขึ้นไปยังชั้นบนของหอซิ่วโหลวไม่ได้ตรงเข้าสังหารผีสาวภูตต้นไม้ที่ยืนอยู่ตรงเสาระเบียงโดยตรง แต่บินวนเป็นรอบใหญ่ วาดให้เกิดเป็นเส้นโค้งงดงาม สุดท้ายอ้อมผ่านเสาระเบียง เตรียมแทงใบหน้าด้านข้างของผีสาว

ผีสาวไม่เพียงแต่ต้องช่วยสามีที่อยู่ด้านล่างสยบประกายแหลมคมของดาบวิเศษมือดาบเคราดก ตอนนี้ยังต้องแบ่งสมาธิมารับมือกับกระบี่ไม้ท้อที่แหวกอากาศตรงเข้ามาหาด้วย จึงไม่มีเวลายกมือขึ้นมาบังใบหน้าที่อัปลักษณ์ของตัวเอง เดิมทีใบหน้าซีกหนึ่งของนางผิวเนื้อแหลกเละ กระดูกขาวโผล่น่าสะพรึงกลัว มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย ใบหน้าสมบูรณ์แบบที่หลงเหลืออยู่แค่ครึ่งซีกก็เกิดรอยปริร้าวเหมือนกระเบื้องแตก ใบหน้าน่าสยดสยองที่ทำให้คนมองรู้สึกอยากอาเจียนนี้ หากมนุษย์ธรรมดาที่ขี้ขลาดมาเห็นเข้า เกรงว่าอาจตกใจตายได้เลย

กิ่งไม้สีเขียวหนาเท่านิ้วมือพุ่งออกมาจากเสาระเบียงแล้วรัดพันกระบี่ไม้ท้อที่ขาดอีกแค่ครึ่งชุ่นก็จะแทงเข้าไปในใบหน้านั้น

พริบตานั้นกระบี่ไม้ท้อก็มีแสงยันต์สีเงินขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเมล็ดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา แล้วกลิ้งจากตัวกระบี่ลงสู่ด้านล่าง แสงสว่างเพียงเล็กน้อยแค่นี้กลับทำให้กิ่งไม้เหล่านั้นเผาไหม้เปรี๊ยะๆ เหมือนเจอกับไฟร้อนแรง จนกระทั่งควันสีเขียวผุดขึ้นเป็นระลอก

ผีสาวเหมือนถูกสายฟ้าฟาดผ่าน ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดร้าวราน รีบหันหน้ากลับมา ไม่กล้ามองแสงสว่างจุดนั้น นางรีบสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง กิ่งไม้ที่ถูกเผาจนเกือบเป็นตอตะโกก็ห่อหุ้มเอากระบี่ไม้ท้อกระชากกลับเข้าไปในห้องของนาง หลังจากที่ผีสาวหันหน้ากลับมา เนื่องจากนางหันมาแรงเกินไป ก้อนเลือดและหนอนก็ร่วงกราวลงมาบนระเบียงสาวงามพร้อมกัน นางร้องสะอื้นเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ็บปวดหรือรู้สึกเสียใจกันแน่

“ฮือๆ!”

พอบุรุษถือกระบี่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ร้องอุทานเบาๆ ตะโกนเรียกชื่อของผีสาวอย่างห้ามไม่อยู่ บุรุษเจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว! ทำไมต้องสมคบคิดกับเทพภูเขาเถื่อนผู้นั้นมาบีบบังคับพวกเราสองสามีภรรยาขนาดนี้ด้วย?! แม้ว่าจัวจิงจะเป็นภูตผี แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใคร ตลอดเวลาร้อยปีที่ผ่านมา นอกจากข้าจะใช้เลือดลมของตัวเองประคับประคองพลังชีวิตของจัวจิงเอาไว้แล้ว ก็แค่ใช้บ้านโบราณแห่งนี้เป็นแกนกลางค่ายกลดูดซับไอสกปรกและปราณหยินที่อยู่ในรัศมีสามร้อยลี้มาเท่านั้น กลับเป็นเทพภูเขาเถื่อนคนนั้นต่างหากที่ดึงโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาเป็นตบะของตัวเอง พวกเจ้าคนหนึ่งภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรม อีกคนหนึ่งก็เป็นนักพรตเต๋า แต่ทำไมไม่ไปหาเรื่องเขา จะมาบีบบังคับพวกเราที่อยู่ที่นี่ทำไม?!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษถือกระบี่ก็หัวเราะเสียงดังอย่างเจ็บแค้น “แค่เพราะพวกเราสองสามีภรรยาไม่ใช่ ‘คน’ อย่างนั้นหรือ เจ้าคนแซ่ฉินเป็นถึงเทพภูเขาผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าก็เลยต้องแบ่งแยกธรรมะกับอธรรมอย่างชัดเจนเช่นนี้?”

บุรุษถือกระบี่ที่เนื้อหนังเน่าเปื่อย เลือดลมแทบไม่มีเหลือวางกระบี่พาดขวางไว้ตรงหน้าอกของตัวเอง ก้มหน้าลงจ้องนิ่งไปที่แสงกระบี่สีขาวหิมะ วันเวลาในอดีต สำนักยิ่งใหญ่ น้ำใสขุนเขาเขียว นกกระเรียนเซียนแผดเสียงร้องดังยาว ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เขาเองก็เคยฝึกวิชากระบี่อยู่ที่นั่น อ่านตำราบทสรรเสริญคำเขียวหลายต่อหลายเล่มจนชำนาญจำได้ขึ้นใจ แล้วก็เคยเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง เพียงแต่ว่าจู่ๆ ที่บ้านก็ส่งจดหมายมายังสำนัก บอกว่าแม่นางที่เติบโตมากับเขาตั้งแต่ยังเด็กและมีสัญญาหมั้นหมายต่อกันล้มป่วยอาการสาหัส หมอที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองก็ยังไม่มีปัญญารักษานางให้หายได้ ในจดหมายบอกให้เขาสงบใจฝึกตนให้ดี เพราะต่อให้ลงจากภูเขามาก็คงไม่ทันได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ช่วงท้ายของจดหมายบิดายังบอกเป็นนัยๆ ว่า งานแต่งครั้งนี้จะไม่มีทางกลายเป็นอุปสรรคในการเดินสู่ที่สูงในสำนักโองการเทพของเขาในอนาคตอย่างแน่นอน

เขาเผาจดหมายฉบับนั้นทิ้ง สะพายกระบี่ลงจากภูเขา

ตอนที่กลับไปถึงบ้านเกิด หญิงสาวได้ตายไปแล้ว

เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ใช้เวทลับของสำนักโองการเทพ แทงหัวใจตัวเองเอาเลือดมาเขียนยันต์เรียกวิญญาณหนึ่งแผ่น พาศพของหญิงสาวมาชักนำวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของนาง เร่งร้อนเดินทางมุ่งหน้าสู่ภูเขาและป่าลึกยามค่ำคืน เวลากลางวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างไปหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ เมื่อพระอาทิตย์ตกก็จะรีบร้อนออกเดินทางอีกครั้ง พยายามตามหาสถานที่ที่มีไอหยินเข้มข้น หวังว่าจะช่วยเรียกวิญญาณของนางกลับคืนมา หลังจากนั้นเป็นเวลาร้อยปี เขาก็ใช้ทรัพย์สมบัติของตัวเองจนหมดสิ้น พยายามทุกวิถีทาง ใช้ตบะทั้งหมดที่มีสร้างบ้านโบราณหลังนี้ขึ้นมา ขโมยแกนไม้ของบรรพบุรุษต้นอวี๋ในแคว้นกู่อวี๋มาหนึ่งต้น ใช้เวทลับชั่วร้ายเหมือนการตัดต่อกิ่งต้นไม้นำวิญญาณของหญิงสาวผสานรวมเข้ากับแกนต้นไม้ เบื้องใต้ชุดกระโปรงของนางไม่มีเท้ามานานแล้ว มีเพียงรากต้นไม้ บ้านโบราณหลังนี้ทั้งช่วยต่อชีวิตให้กับนาง แล้วก็เป็นเหมือนคุกที่พันธนาการนางเอาไว้ด้วย…

พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้บิดามารดาอยู่ไกลๆ สุดท้ายสามีภรรยาไหว้กันและกัน นับแต่นั้นก็มีชีวิตอยู่เพื่อกันและกันในหอซิ่วโหลวแห่งนี้

มีเพียงสาวใช้ใกล้ชิดคนเดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา จนกระทั่งนางเปลี่ยนจากเด็กสาวผมดำกลายมาเป็นหญิงชราผมขาว

เรื่องราวในอดีต หวนรำลึก สุดทานทน

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท