บุรุษถือกระบี่พึมพำ “หากวิถีทางโลกเป็นเช่นนี้ พวกเราสองสามีภรรยามีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ความหมาย”
มือดาบเคราดกวางดาบวิเศษลง ยื่นมือข้างหนึ่งชูขึ้นสูงทำท่าบอกว่าพักรบ ถามเสียงหนัก “ระหว่างนี้มีเรื่องอะไรที่ซุกซ่อนอยู่หรือไม่?”
บุรุษยิ้มขมขื่น “เทพภูเขาเถื่อนปรารถนาอยากได้บ้านโบราณหลังนี้มานานมากแล้ว ช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ข้าก็รู้เรื่องแล้ว ทว่าตัวเองเหลือตบะเพียงน้อยนิดแค่นั้น ยากที่จะต้านทานการหยั่งเชิงที่ชั่วร้ายและอันตรายจากพวกคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เหล่านั้นได้ จึงจำต้องกระทำการที่ละเมิดต่อมโนธรรมในใจและผิดต่อคำสาบาน เขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปยังสำนักอย่างลับๆ หวังว่าสำนักจะส่งเทพเซียนห้าขอบเขตกลางสักคนหนึ่งมาช่วยข่มขวัญเทพภูเขาผู้นั้นได้บ้าง เพียงแต่ว่าจดหมายที่ส่งไปเหมือนดินโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวส่งกลับมา และนี่ก็เป็นเรื่องปกติ สำนักไม่ตามมาไล่ฆ่าข้าให้สิ้นซากก็ถือว่ามีเมตตามีคุณธรรมมากพอแล้ว ใครเล่าจะยินดีเข้ามามีส่วนเกี่ยวกับเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่อยู่บนภูเขาแล้วได้ยินเรื่องอัปลักษณ์แบบนี้ของสำนัก เกรงว่าคงแล่นลงจากภูเขามาจัดการด้วยตัวเองแล้ว”
นักพรตจางซานมาหยุดอยู่ตรงหน้ามือดาบเคราดก อธิบายเสียงเบาว่า “ยันต์เทพเดินทางของข้าผู้เป็นนักพรตเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากนี่เป็นกับดักของพวกเขา ข้าผู้เป็นนักพรตน้อยคงต้องพาสหายหนีไปจริงๆ แล้ว”
เพียงแต่ว่าจู่ๆ นักพรตจางซานก็คลี่ยิ้ม “แต่ข้าผู้เป็นนักพรตน้อยรู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดปด”
มือดาบเคราดกรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใจคนอันตราย แม้ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่จิตใจอาจชั่วร้าย เรื่องราวในโลกช่างซับซ็อนยากจะคาดการณ์ได้ถึง
หากมีลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพมาที่นี่จริง ต่อให้จะเป็นแค่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกขอบเขตสองขอบเขตสามคนเดียว ก็จะพิสูจน์ได้ว่าบุรุษผีชาง (ผีชางคือชื่อผีชนิดหนึ่ง ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าผู้ที่โดนเสือกัดตายนั้น วิญญาณจะกลายเป็นผู้รับใช้เสือ คอยช่วยหาเหยื่อ ช่วยให้เสือไปทำร้ายคนอื่นต่อไป) กับสตรีผีต้นไม้ของบ้านโบราณหลังนี้เป็นผู้บริสุทธิ์
ในฐานะที่สำนักโองการเทพเป็นผู้นำแห่งลัทธิเต๋าของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังมีเทียนจวินท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นดั่งเสาเทพสยบมหาสมุทร หากพูดจาแบบไร้คุณธรรมสักหน่อย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่ทำงานใช้แรงงานอย่างปัดกวาดบันไดของสำนัก เกรงว่าคำพูดคำจาของเขาก็คงได้ผลยิ่งกว่าเจ้าประมุขของพรรคเล็กๆ ข้างนอกเสียอีก
แม้ว่าศึกใหญ่จะปิดฉากลงแล้ว ทว่าสี่คนที่อยู่ตรงนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าประมาท
โดยเฉพาะสตรีในหอซิ่วโหลวที่แอบขโมยแกนต้นไม้อวี๋ที่เป็นต้นบรรพบุรุษมาครอบครอง ก่อนหน้านี้นางได้รับการปกป้องจากเจ้าบ้านชายอย่างดีมากมาโดยตลอด ศึกใหญ่ครั้งนี้กลับต้องมาถูกมือดาบตัดรากต้นไม้ของตัวเองไปนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังถูกกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นทำให้ตกใจไม่น้อย แม้ว่าลึกๆ ในใจนางจะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันนี้ แต่พอวันนี้มาถึงเข้าจริงๆ นางก็ยังคงตระหนกลนทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี รู้สึกเพียงว่าตัวเองดีแต่จะเป็นตัวภาระให้กับสามี ความละอายใจจึงยิ่งเข้มข้นรุนแรง
หัวใจของนางยุ่งเหยิงขมวดรวมกันเป็นปม
เป็นอย่างนี้มาร้อยปีแล้ว
และเวลานี้เอง ทางฝั่งเรือนชั้นสองก็มีลมปราณแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจสองสายปรากฏขึ้น คนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมเต๋าเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า ไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่ได้ตรงเข้าไปที่หอซิ่วโหลว แต่เลือกที่จะพลิ้วกายลงมาตรงจุดนั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบ้านชายหญิงจะได้ยินความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้ของทางฝั่งนั้นแล้ว แต่เมื่อศัตรูตัวฉกาจมายืนอยู่ตรงหน้า จึงต้องรีบช่วยกันรับมือมือดาบเคราดก ไม่อาจแบ่งสมาธิไปตรวจสอบเหตุการณ์ทางฝ่ายนั้นจริงๆ ได้แต่คิดว่าหญิงชราที่เป็นบ่าวรับใช้ฟื้นคืนสติแล้ว และกำลังขัดขวางพวกคนถ่อยที่แฝงตัวเข้ามาในบ้านโบราณ
และจากนั้นไม่นานทั้งเทพภูเขาเถื่อนและนักพรตป๋ายลู่ที่มาเยือนอย่างรีบร้อนกลับจากไปอย่างรีบร้อนยิ่งกว่า
แถมยังพูดว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต” และ “เซียนกระบี่” อะไรด้วย ราวกับว่าเจอเทพเซียนบนภูเขาเข้าจริงๆ จึงไม่กล้าลงมือ ได้แต่รีบร้อนหลบหนีไปให้ไกล
มือดาบเคราดกเอ่ยเบาๆ “นักพรตน้อย เจ้าไปดูสิ”
นักพรตจางซานอึ้งตะลึง แม้ว่าชายฉกรรจ์หนวดรกครึ้มจะพูดจาอย่างผ่อนคลาย แต่ความหมายที่เปล่งออกมาจากทางสายตากลับเป็นการบอกว่าให้เขารีบออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้
นักพรตหนุ่มพูดไม่ออก มีทั้งอารมณ์ตื่นเต้นและเศร้าสร้อย
ตื่นเต้นเพราะในที่สุดตนก็ได้พบเจอคนที่เดินบนวิถีทางเดียวกัน คนที่ยินดีสละชีวิตอย่างไม่เสียดายเพียงเพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร แม้จะอยู่ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความห้าวเหิม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาปรารถนาให้ตัวเองกลายมาเป็นบุคคลแบบนี้มากที่สุด เศร้าสร้อยก็เพราะเขามักจะไร้ประโยชน์ เหมือนมีงานยุ่งแต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นนี้เสมอ
นักพรตหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงควบคุมกระบี่ไม้ท้อให้กลับมาจากหอซิ่วโหลวเงียบๆ พอรับมาไว้ในมือเรียบร้อยก็อาศัยช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่ของยันต์เทพเดินทางหมุนตัววิ่งห้อออกไป
บุรุษที่ถือกระบี่ยืนอยู่กลางลานบ้านขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางด้านนั้นจะดีหรือร้าย
หรือว่าสำนักโองการเทพส่งลูกศิษย์ให้เดินทางมาที่นี่แล้วจริงๆ?
หญิงสาวเป็นห่วงเขา เดิมทีสุขภาพของเขาก็เป็นเหมือนม้าตีนปลายอยู่แล้ว ศึกใหญ่ครั้งนี้ก็ยิ่งเหมือนยันต์เร่งเอาชีวิตสำหรับเขา นางไม่สนเรื่องรูปร่างอะไรอีกแล้ว ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาข้างหน้า เรือนกายใหญ่โตที่เดิมทีถูกกระโปรงสีเขียวและหอซิ่วโหลวสูงใหญ่ช่วยบดบังเอาไว้ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก ระเบียงสาวงามของชั้นสองถูกแหวกกลาง หญิงสาวที่คล้ายยืนอยู่บนตอไม้ขนาดยักษ์โน้มตัวลงมากลางลานบ้าน ด้านหลังคือรากต้นไม้โบราณที่ขวางเอียงอยู่กลางอากาศ
นางยื่นมือสองข้างที่สั่นเทาไปประคองใบหน้าของบุรุษ เจ็บใจที่ตัวเองไม่อาจเปล่งคำพูด ได้แค่ส่งเสียงอืออาเท่านั้น
บุรุษปลอบใจนางเบาๆ “ไม่ต้องกลัวๆ ไม่แน่ว่าสำนักอาจจะส่งคนมาช่วยแล้วจริงๆ”
มือดาบเคราดกเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจหนึ่งที เขาเอาดาบยาวค้ำไว้บนพื้นดิน ในใจคิดว่าต่อให้สองสามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นผีที่มีจิตใจชั่วร้าย ทว่าความรักความผูกผันของพวกเขาไม่ใช่ของปลอมแน่นอน
หลังจากทำให้เทพภูเขาเถื่อนกับนักพรตป๋ายลู่ตกใจหนีไปได้ เฉินผิงอันก็เก็บเม็ดเสื้อเกราะที่เป็นลูกกลมๆ นั้นขึ้นมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็เดินไปทางระเบียงที่เชื่อมกับเรือนพักชั้นสามและชั้นสี่อย่างเงียบเชียบ เตรียมพร้อมให้กระบี่บินสองเล่มออกมาสังหารศัตรูได้ทุกเมื่อ สืออู่สามารถพุ่งเข้าไปสังหารบุรุษถือกระบี่ได้ในชั่วพริบตา ส่วนชูอีรับผิดชอบถ่วงเวลา เผาผลาญพลังของผีภูตต้นไม้จนตาย ทว่าขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะสั่งให้กระบี่บินสองเล่มออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นั้นเอง เขากลับสังเกตเห็นว่าศึกใหญ่ยุติลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่มีท่าทีจะสู้เอาเป็นเอาตายกันชั่วขณะ เฉินผิงอันได้ยินคำพูดที่คล้ายจะออกมาจากใจจริงของเจ้าบ้านฝ่ายชายก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ เขาจึงเริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ แอบไปยืนอยู่ด้านหลังเสากลางระเบียงต้นหนึ่งที่สามารถอำพรางร่างของเขาไว้ได้
เมื่อนักดาบเคราดกบอกให้นักพรตจางซานจากไป เฉินผิงอันก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วดีดปลายเท้า ทะยานร่างขึ้นสูง จากนั้นเหยียบบนหัวเสา ดีดตัวไปทางเรือนพักชั้นที่สาม ร่างก็ไปโผล่พรวดอยู่กลางอากาศสูงเหนือระเบียงที่ทอดยาว จากนั้นใช้สองมือตบคานที่อยู่ข้างหน้าเบาๆ หนึ่งที ร่างก็ลอดผ่านไปตามระเบียงอย่างราบรื่นเหมือนปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ เพียงไม่นานก็กลับจากเรือนพักชั้นสามมายังเรือนพักชั้นสอง พลิ้วกายลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ ยืนอยู่หน้าห้องตรงตำแหน่งเดิมของตน ทรุดตัวนั่งลงไปบนธรณีประตู วินาทีที่ก้นของเฉินผิงอันเพิ่งจะสัมผัสพื้น นักพรตหนุ่มก็โผล่พรวดเข้ามาพอดี
“เฉินผิงอัน!”
นักพรตจางซานพูดรัวเร็ว “พวกเราหยิบของแล้วรีบหนีกันเถอะ จอมยุทธ์สวีบอกให้พวกเรารีบไปที่เมืองเล็ก เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ข้ายังอธิบายไม่ได้…”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พลันชี้ไปทางประตูใหญ่ของเรือนโบราณ “มีคนบุกเข้ามา”
หลังจากคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าประตูมาก็พากันหุบร่มน้ำมัน เดินอ้อมกำแพงบังตาเข้ามาในระเบียงที่ทอดยาว ก้าวพรวดๆ มายังลานบ้านของเรือนที่พวกเขาพักอาศัย
คนกลุ่มนี้ต่างก็สวมชุดคลุมเต๋าที่เรียบง่ายแต่สง่างาม บนศีรษะสวมกวานหางปลาหนึ่งในสามลัทธิของสำนักเต๋า นักพรตห้าคน มีทั้งคนแก่ คนเด็ก ชายและหญิง รัศมีของแต่ละคนต่างก็ไม่ธรรมดา
นักพรตเฒ่าที่เดินนำหน้าน่าจะเป็นผู้นำ ท่ามกลางม่านราตรี เขายังคงมีสายตาเป็นประกายเจิดจ้าที่สาดยิงไปทั่วทิศ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ที่ฝึกวิชาลัทธิเต๋าจนประสบความสำเร็จกลายเป็นเทพเซียน
คนที่เหลืออีกสี่คนมีนักพรตหนุ่มที่อายุค่อนข้างน้อย ในมือถือกระพรวนทองแดง สะพายกระบี่ยาวฝักสีดำ พู่กระบี่คือด้ายสีทองที่ถักทอเป็นลวดลาย สะดุดตามากเป็นพิเศษ
มีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกัน สีหน้าของพวกเขาเย่อหยิ่ง ตรงเอวของคนผู้หนึ่งห้อยเชือกยาวสีดำที่ม้วนไว้เป็นขด อีกคนหนึ่งมีแส้ไม้ไผ่สีเขียวสลับเหลืองงดงามเสียบเอียงๆ อยู่ตรงเอว
และยังมีเด็กน้อยที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอีกคน เพราะเขาตัวเล็กที่สุด ขาสั้นที่สุด เวลาเดินจึงต้องจ้ำพรวดๆ ในมือถือแผ่นไม้ทรงยาวไม่สะดุดตา แต่บนแผ่นไม้กลับสลักสี่คำโบราณว่า ‘หมื่นผีศิโรราบ’
นักพรตหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “อาจารย์ คือคน ไม่ใช่ปีศาจ”
ผู้เฒ่าพยักหน้า แล้วก็ไม่สนใจเฉินผิงอันกับจางซานที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องพักอีก เขาเดินดิ่งตรงไปเบื้องหน้า ตอนที่ชายหญิงด้านหลังเขาเดินผ่านพวกเฉินผิงอันไป ต่างก็ไม่มีใครสนใจเฉินผิงอันที่สะพายกรอบไม้ไว้ข้างหลัง เพียงแค่มองชุดคลุมกับกวานเต๋าที่จางซานสวมใส่อยู่ไม่กี่ครั้ง ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไร
นักพรตห้าคนทิ้งคนทั้งสองไว้ข้างหลังอย่างไม่สนใจใยดี หลังจากที่นักพรตเฒ่าเดินเข้าไปในเรือนพักชั้นสามก็พลันตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนทรยศหยางหว่าง! ยังไม่ไสหัวออกมายอมรับผิดอีกรึ!”
บุรุษถือกระบี่ที่ยืนอยู่ใต้หอซิ่วโหลวได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้ก็ทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล
ดีใจก็เพราะผู้เฒ่าคนนี้คือลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักโองการเทพอย่างไม่ต้องสงสัย นี่หมายความว่าจดหมายขอความช่วยเหลือของตนฉบับนั้นใช้ได้ผล แม้ว่าทางสำนักจะตัดชื่อของตนออกจากทำเนียบรายชื่อนักพรตเต๋าไปนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่สนใจใยดี ยังยอมส่งคนลงจากภูเขามาตรวจสอบเรื่องนี้ นี่หมายความว่าเทพภูเขาเถื่อนแซ่ฉินคนนั้นหนีไม่พ้นต้องเดือดร้อนแน่
แต่ลึกๆ ในใจของบุรุษกลับมีความกังวลที่มากยิ่งกว่า นักพรตเฒ่าคือคนวัยเดียวกับเขา ต่างก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เข้าไปอยู่ในสำนักโองการเทพปีเดียวกัน อีกทั้งอาจารย์ของพวกเขายังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน และยิ่งมีอาจารย์ปู่คนเดียวกัน ทว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกลับเลวร้ายสุดขีด ตอนที่ฝึกตนอยู่ในสำนักโองการเทพ พวกเขาสองคนเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ ตอนนี้คนหนึ่งคือเซียนซือที่สูงส่งจนมิอาจเอื้อม อีกคนหนึ่งกลับเป็นผีชางต่ำต้อยที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่ จะเป็นผีก็ไม่เชิง หากนักพรตเฒ่าคิดจะเอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัว เขาจะทำอะไรได้?
ด้านหลังของผู้เฒ่า ไม่ใช่ด้านหลังของเขาหยางหว่าง มีสำนักโองการเทพซึ่งเป็นเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีปยืนหนุนอยู่
หลังจากที่บุรุษถือกระบี่บอกให้หญิงสาวหลบไปอยู่ด้านหลังตัวเองแล้วก็ไม่ได้ถือกระบี่อีก เขาทิ่มปลายกระบี่ยาวลงบนพื้นเบาๆ หันหน้าไปทางระเบียง กุมมือคารวะโค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด “หยางหว่างยินดีรับการลงโทษจากทางสำนัก”
ผู้เฒ่าเดินเข้ามาในลานของหอซิ่วโหลวอย่างฮึกเหิม กระตุกมุมปาก “หยางหว่าง ไม่เจอกันร้อยปี เจ้ามีชีวิตรุ่งเรืองไม่เบาเลยนี่”
มือดาบเคราดกหันหน้าไปมอง หลังมองเห็นการแต่งกายของนักพรตทั้งห้าอย่างชัดเจน เขากลับหันไปกุมมือคารวะบุรุษผีชาง ไม่ได้คารวะเซียนซือจากสำนักโองการเทพผู้สูงส่งคนนั้น “คืนนี้ข้าผู้แซ่สวีล่วงเกินพวกท่านสองสามีภรรยาแล้ว อยากจะขออภัยจากใจจริง! หากต้องการ ข้าผู้แซ่สวียินดีออกหน้าช่วยเหลือ”
ชายฉกรรจ์หนวดยาวท่องอยู่ในยุทธภพมายี่สิบกว่าปีจึงมีสายตาที่แหลมคมมาก เพียงแค่มองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างหยางหว่างกับผู้เฒ่าของสำนักโองการเทพผู้นั้นแล้ว
วาสนามาพร้อมกับโชคร้ายก็เป็นเช่นนี้แล
ดูจากการแต่งกายของนักพรตทั้งเด็กและแก่กลุ่มนี้ ขาดก็แค่ไม่ได้เขียนสี่คำว่า ‘คนของสำนักใหญ่’ แปะไว้บนหน้าผากก็เท่านั้น
นี่ทำให้นักพรตจางซานอดกล่าวอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตเต๋าของแจกันสมบัติทวีป” แล้วพอหันมามองการแต่งกายของตน นักพรตหนุ่มที่มาจากกุรุทวีปก็ให้รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ แต่เพราะเป็นห่วงมือดาบเคราดกจึงลากเฉินผิงอันให้ตามมาด้วยไกลๆ สุดท้ายมานั่งยองกันอยู่ข้างรั้วของระเบียง
นักพรตเฒ่าของสำนักโองการเทพได้พาเด็กรุ่นหลังในสำนักซึ่งลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์เดินเข้ามาในลานกว้างที่สภาพเละเทะแล้ว ฝ่ามือที่ไพล่ไว้ข้างหลังของเขาก็ทำภาษามือที่มีเฉพาะในสำนัก อีกสี่คนที่เหลือจึงกระจายตัวกันออกไปยืนอยู่คนละตำแหน่ง โอบล้อมชายหญิงเจ้าของบ้านเอาไว้ บุรุษหนุ่มคนที่สะพายกระบี่ถึงกับขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงสูง จากท่าทางนี้ไม่เหมือนท่าทางที่จะมาให้ความช่วยเหลือ
บุรุษนามว่าหยางหว่างจับมือผีสาวหน้าตาอัปลักษณ์เอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอให้ได้เป็นสามีภรรยา เคียงคู่กันไปทุกชาติทุกภพ”
ผีสาวยังคงพูดไม่ได้ นางส่งเสียงอือๆ อาๆ แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนรู้ว่า นางกำลังพูดประโยค “ขอให้ได้เป็นสามีภรรยา เคียงคู่กันไปทุกชาติทุกภพ”
เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เดิมทีคิดจะนั่งดูอยู่เฉยๆ พลันน้ำตาไหลพรากอาบหน้า
แม้แต่ตัวเขาเองยังงงงัน
ความทรงจำในวัยเด็กพร่าเลือนไปนานแล้ว หลายเรื่องราวล้วนจำได้ไม่ชัดเจน
ทว่ามีภาพหนึ่งที่จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังคงจำได้อย่างแจ่มชัด บิดาของเขาเป็นคนนิสัยทึ่มทื่อพูดไม่เก่ง นั่นอาจเป็นคำหวานประโยคเดียวที่เขาเคยพูดในชีวิต “ชาติหน้าพวกเราจะยังได้อยู่ด้วยกันอีกไหม?”
ตอนนั้นสตรีนิสัยเรียบร้อยอ่อนหวานกำลังปะชุนเสื้อ นางเพียงแค่ยิ้มแล้วถามกลับว่า “ทำไมถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ?”
ตอนนั้นเฉินผิงอันแอบอิงอยู่ในอ้อมอกของสตรี เพราะอายุยังน้อยเกินไปจึงไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายพวกนี้เท่าใดนัก แต่สีหน้าของท่านพ่อท่านแม่ในเวลานั้นกลับทำให้เด็กชายจดจำได้แม่นยำ
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็จากไปแล้ว ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกว่า หากชอบใครสักคนหนึ่งอย่างจริงจัง ดูเหมือนว่าเวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่พอ
ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
นักพรตจางซานค้นพบความผิดปกติของเฉินผิงอันโดยบังเอิญ เขาลูบซีกหน้าตัวเองด้วยความสงสัยเล็กน้อย ต่อให้ฝนจะตกหนักแค่ไหน ก็คงไม่ถึงขั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำฝนหรอกกระมัง? แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝนที่ตกกระหน่ำในคืนนี้มาจนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นเพียงสายฝนบางๆ แล้ว ต่อให้ไม่กางร่มก็ไม่เป็นไร
จางซานถามอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “เฉินผิงอัน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฉินผิงอันรีบเช็ดหน้าตัวเองลวกๆ เค้นรอยยิ้ม ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไรๆ คืนนี้มีเรื่องประหลาดมากมายเกิดขึ้น น่าตกใจเกินไป ข้าเป็นคนที่ความรู้สึกค่อนข้างช้า ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาให้ตกใจ ตอนนี้จบเรื่องแล้วถึงเพิ่งจะกล้าร้องไห้”
นักพรตจางซานทำสีหน้าเลื่อมใส ยื่นมือมาตบไหล่เฉินผิงอัน หันหน้ากลับไปกลั้นยิ้มพูดว่า “เจ้าคิดซะว่าข้าไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน”
นักพรตเฒ่าจากสำนักโองการเทพกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายหันมาส่งยิ้มให้บุรุษเจ้าของบ้านโบราณที่ยืนหลังตรงสง่าผ่าเผย จุ๊ปากพูด “วัตถุยังคงเดิม แต่คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว ทุกเรื่องต้องมีจุดสิ้นสุดจริงๆ ช่างเป็นคู่ยวนยางที่ชะตารันทดนัก หยางหว่าง เจ้าคิดว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร? ควรจะปฏิบัติตามกฎเหล็กของสำนัก หรือว่าไม่ต้องทำตามกฎ แต่ตัดสินโทษโดยอิงตามความสัมพันธ์ส่วนตัวของพวกเราดีล่ะ?”
บุรุษเจ้าของบ้านโบราณกัดฟันแน่น ไม่เอ่ยตอบ
เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดเขาก็คงต้องคุกเข่าขอร้อง หวังเพียงว่าเซียนซือจากสำนักโองการเทพท่านนี้จะเมตตา
มือดาบเคราดกจะอ้าปากพูด ด้วยคิดว่าเขาต้องกล่าวเพื่อความเป็นธรรมสักหน่อย ถ้าไม่ได้พูดต้องอัดอั้นมากแน่!
แต่นักพรตเฒ่ากลับหันขวับมามองเขาด้วยสายตามืดครึ้ม ตวาดกร้าวเสียงดัง “คนอื่นอย่าเข้ามายุ่ง หุบปากกันไปซะ! สำนักโองการเทพจัดการเรื่องในสำนักตัวเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือสั่ง!”
มือดาบเคราดกโมโหจนเส้นเลือดฝอยผุดขึ้นเต็มดวงตา ใจอยากจะยกดาบฟันแสกหน้าอีกฝ่ายยิ่งนัก
แต่สุดท้ายก็ได้แค่ทอดถอนใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เรื่องราวในสำนักใหญ่เช่นนี้ หากคนนอกกล้าเข้าไปยุ่ง ตายขึ้นมาก็เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าอย่างแท้จริง
ยุทธภพเป็นเช่นนี้ บนภูเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนทำให้คนต้องอัดอั้นตันใจ
และเวลานี้เอง เฉินผิงอันหันไปยื่นลูกกลมส่งให้นักพรตจางซานเงียบๆ “จางซาน นับแต่บัดนี้ไป พวกเราสองคนถือว่าไม่รู้จักกันแล้ว ของสิ่งนี้เจ้ารับไว้…”
นักพรตจางซานดันมือเขากลับมา ขยับศีรษะเข้ามากระซิบเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ทำอะไรเหลวไหลเด็ดขาด ขอแค่เจ้าชิงลงมือก่อนก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายไร้เหตุผล ข้าผู้เป็นนักพรตรู้ว่าควรจะจัดการกับเซียนซือพวกนี้อย่างไร รับรองว่าได้ผลกว่าตีกันเสียอีก จำไว้ว่าอีกเดี๋ยวหากข้าถูกอัด เจ้าห้ามลงมือช่วยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็จะสูญเปล่า”
เฉินผิงอันถาม “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
นักพรตจางซานยิ้มเจิดจ้า “ลองดูก่อน หากไม่ได้จริงๆ เจ้าก็ค่อยช่วยข้าแล้วกัน”
กล่าวประโยคนี้จบนักพรตจางซานก็รู้สึกตลกเล็กน้อย เฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามนั้น เข้าไปก็มีแต่จะถูกคนอื่นซ้อม ยังไงก็ต้องขอให้ท่านบุรพาจารย์แห่งสามลัทธิที่อยู่เบื้องบนช่วยปกปักษ์คุ้มครองศิษย์ลูกศิษย์หลาน ให้การลงมือของข้าจางซานเฟิงครั้งนี้ได้ผลดีด้วยเถอะ!
—–