กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 220.1 ตราประทับภูเขาและแม่น้ำ

บทที่ 220.1 ตราประทับภูเขาและแม่น้ำ

หญิงชรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัว พอเห็นเฉินผิงอันก็ตกตะลึงเล็กน้อย บุรุษต้องอยู่ห่างจากห้องครัว นี่คือคำสอนของอริยะ แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าไม่กินอาหารที่ไม่สด ไม่ใหม่ ไม่สะอาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่าวิญญูชนและนักปราชญ์จะต้องลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง ทว่าเพียงไม่นานหญิงชราก็โล่งใจได้ เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เดินทางไปทั่วสารทิศ เคยชินกับการนอนกลางดินกินกลางทราย อีกอย่างเขาก็ดูไม่เหมือนลูกหลานตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ แต่ถึงกระนั้นหญิงชราก็ไม่คิดว่าเฉินผิงอันจะช่วยอะไรได้มาก จึงให้เขาช่วยทำงานเล็กน้อยๆ อย่างคัดเลือกผัก แล้วก็ช่วยดูไฟที่ตุ๋นอาหาร เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานอะไร เพียงแค่ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่นางบอก สุดท้ายในห้องครัวที่อากาศอบอุ่นก็มีเสียงสับผักบนเขียงดังปั่กๆๆ อย่างคล่องแคล่วของหญิงชรา เฉินผิงอันนั่งปอกหน่อไม้อยู่บนม้านั่งตัวเล็ก กลิ่นหอมสดชื่นของพืชหญ้าลอยเข้าจมูกมาเป็นระลอก

หญิงชราถามชวนคุย “คุณชายเฉิน มือซ้ายของเจ้าไปโดนอะไรมา?”

เฉินผิงอันชำเลืองมองมือซ้ายที่พันผ้าฝ้ายของตัวเอง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หกล้มโดยไม่ทันระวัง ไม่เป็นอะไรมาก”

ยากนักกว่าที่หญิงชราจะหาคนมาพูดคุยด้วยได้ จึงพูดยิ้มๆ “ฝนตกพื้นลื่น ทำให้คุณชายได้รับบาดเจ็บแล้ว บ้านหลังนี้ของพวกเราอยู่มานานหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ตกอยู่ในสภาพยากลำบากเพราะถูกพวกเสือและหมาป่ารุมล้อมจ้องเล่นงาน เลยยิ่งไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเข้าไปใหญ่ อย่างมากสุดก็แค่ซ่อมแซมกำแพงบ้านเท่านั้น เวลากลางคืนก็น้อยครั้งนักที่จะแขวนโคมไฟ เพราะกลัวว่าจะทำให้ชาวบ้านตกใจ หลายปีที่ผ่านมานี้จึงไม่กล้าเชิญพวกช่างมาช่วยซ่อมแซมให้ ล้วนเป็นข้าที่ซ่อมเองอย่างส่งเดช แน่นอนว่าฝีมือย่อมไม่น่ามอง ก้อนหินอิฐปูพื้นหลายจุดเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่ราบเรียบ หากไปอยู่ในบ้านของคนตระกูลใหญ่ในเมือง ไม่เพียงแต่คนในบ้านตัวเองที่เห็นแล้วรำคาญตา หากคนบ้านอื่นมาเห็นเข้า คงถูกหัวเราะเยาะตายแน่ แถมยังจะต้องถูกคนเอาไปพูดลับหลัง คำพูดไม่น่าฟังมีหมดทุกรูปแบบ ยังดีที่นายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ นี่ถือเป็นวาสนาของข้า”

น้ำเสียงของหญิงชราราบเรียบ เนิบช้าดุจน้ำนิ่งที่ไหลลึก ระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมา อารมณ์สุขทุกข์เศร้าเบิกบานล้วนตกตะกอนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนางทีละนิด

นี่คือวาสนาของข้า

นี่น่าจะเป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงที่หญิงชรามีให้กับชีวิตของตัวเอง

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “บ้านหลังนี้มีท่านยายคอยให้ความช่วยเหลือก็ถือเป็นความโชคดีของพวกเขาสองสามีภรรยาเช่นกัน”

หญิงชราอึ้งงันไปเล็กน้อย หันหน้ามาเอ่ยสัพยอกด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ มองดูเหมือนเป็นคนซื่อๆ แต่ทำไมรู้จักพูดขนาดนี้?”

เฉินผิงอันเอาหน่อไม้ทั้งหมดที่ปอกเสร็จแล้ววางไว้ในตะกร้าไม้ไผ่สะอาดใบหนึ่ง เงยหน้าขึ้นกล่าว “ท่านยาย ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงนะ”

หญิงชรามองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของเด็กหนุ่มแล้ว “อืม” รับหนึ่งคำ ตอนที่หันตัวกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งฉีกกว้างกว่าเดิม ชวนคุยต่ออีกครั้งว่า “คุณชายเฉิน มีผู้หญิงที่ชอบแล้วหรือยัง ผู้หญิงในเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อีเรามีชื่อเสียงด้านความงดงาม หากไม่รีบร้อนเดินทางก็สามารถไปเดินเล่นงานวัด ไม่แน่ว่าอาจจะพบเจอเนื้อคู่ก็เป็นได้ อีกอย่างถึงแม้ว่าวิถีวรยุทธ์ของคุณชายจะไม่สูง แต่หากมาอยู่ในสถานที่เล็กๆ ที่ไม่มีเทพไม่มีเซียนอย่างเมืองแยนจือนี้ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย หากยินดีลงหลักปักฐานที่นี่ คิดจะเป็นแม่ทัพนายกองก็เหลือเฟือ ถึงเวลานั้นแต่งงานกับคุณหนูในตระกูลผู้มีความรู้สักคนก็ดีมากไม่ใช่หรือ”

เฉินผิงอันเขินอายเล็กน้อย อึกๆ อักๆ ไม่กล้าต่อบทสนทนานี้

หญิงชราหันหน้ากลับมาชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าคิ้วตาเริ่มปรากฎความหล่อเหลา แล้วยิ้มอย่างเข้าใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “เข้าใจแล้ว คุณชายเฉินต้องมีผู้หญิงที่รักอยู่แล้วแน่ๆ”

เฉินผิงอันเงียบไปนานกว่าจะเอ่ยถามหน้าแดงก่ำ “ท่านยาย หากผู้หญิงที่ข้าชอบเคยถามข้าว่าข้าชอบนางหรือไม่ ตอนนั้นข้าบอกว่าไม่ชอบ แต่ตอนนี้จะไปหานางแล้วบอกว่าข้าชอบนาง ท่านว่านางจะคิดว่าข้าเป็นคนขี้โกหกเชื่อถือไม่ได้หรือไม่?”

“คุณชายเฉิน เจ้าพูดวกไปวนมาซะจริง”

หญิงชราหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นึ่งกับข้าวจานหนึ่งทิ้งไว้แล้วนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กข้างเตาไฟ ถามยิ้มๆ ว่า “ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงไม่บอกว่าชอบนางล่ะ? เพราะขี้ขลาดหรือว่าลำบากใจ? หรือรู้สึกว่าถ้าพยักหน้าตอบว่าใช่จะขายหน้านาง ก็เลยแสร้งวางตัวเป็นวีรบุรุษ?”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างตั้งใจแล้วให้คำตอบที่จากใจจริง “ข้าคงโง่กระมัง”

คราวนี้หญิงชราถูกหยอกให้ขำเข้าจริงๆ นางหัวเราะจนใบหน้าแก่ชราดูอ่อนโยนลง “ข้ารู้สึกว่าผู้หญิงที่เจ้าชอบน่าจะไม่โกรธ ผู้หญิงคนหนึ่ง หากมีคนมาชอบ อีกทั้งยังเป็นความชอบแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องที่งดงามเรื่องหนึ่ง”

เฉินผิงอันงุ่นง่านเล็กน้อย ยกตะกร้าใส่หน่อไม้ไปวางไว้ข้างเตาไฟ “แต่แม่นางคนนั้นบอกกับข้าว่า นางจะชอบแค่เซียนกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น…”

หญิงชรากลั้นยิ้ม “โอ้โห ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ เซียนกระบี่ใหญ่จะอย่างไรก็ต้องเป็นเทพเซียนขอบเขตหก คุณชายของข้าพรสวรรค์ดีเยี่ยมถึงขนาดนั้น ในอดีตเคยฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่สูงส่งอย่างสำนักโองการเทพก็ยังไม่เคยได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ไม่ได้กลายเป็นขอบเขตถ้ำสถิตในตำนาน คุณชายเฉิน ยายแก่อย่างข้าขอให้คำแนะนำเจ้าสักคำ เจ้าลองปรึกษากับแม่นางคนนั้นดูว่าจะเปลี่ยนข้อเรียกร้องจากเซียนกระบี่ใหญ่มาเป็นเซียนกระบี่เล็ก หรือเซียนกระบี่ธรรมดาได้หรือไม่? ขอบเขตถ้ำสถิตสูงเกินไปแล้ว ขอบเขตสี่ ขอบเขตห้าเป็นอย่างไร? ต้องรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้านี้ ต่อให้ขอบเขตจะต่ำแค่ไหนก็ยังมีชีวิตที่สุขสบายมาก ขอบเขตสี่ห้าก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เซียนกระบี่ใหญ่ที่แม่นางหนิงพูดถึง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขอบเขตสิบสองแน่นอน!

ต่อให้หนิงเหยาจะพูดคุยง่ายอย่างที่คิดไว้ ยอมลดระดับข้อเรียกลงให้ตนจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นขอบเขตเซียนกระบี่อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะนั่นกระมัง?

เฉินผิงอันถอนหายใจ จู่ๆ ก็เอ่ยเตือนว่า “ท่านยาย กับข้าวสุกแล้ว”

หญิงชรารีบลุกขึ้นยืน เปิดฝาหม้อออก เพียงไม่นานอาหารที่ครบทั้งกลิ่นและสีดูน่ารับประทานก็ถูกตักใส่จาน นางให้เฉินผิงอันยกอาหารจานนั้นไปส่งที่ห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม แถมยังบอกกับเขาว่าส่งเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกลับมา อยู่กินอาหารที่นั่นไปเลย หลังจากนี้นางจะเป็นคนยกอาหารไปให้เอง เฉินผิงอันวิ่งปรู๊ดจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เห็นว่าหญิงชราแสร้งทำเป็นโมโห เฉินผิงอันเลยถามยิ้มๆ ว่า “ท่านยาย ข้ามาเอาเหล้า อีกอย่างข้าคุยกับผู้เฒ่าหยางมาก่อนแล้ว เขารับปากว่าจะยกเหล้าให้ข้า…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าขึ้นมาส่าย ยิ้มกว้างสดใส “ใส่ไว้ในนี้ได้จนกว่าจะเต็ม”

หญิงชราหยิบกระบวยตักเหล้าออกมาจากในชั้นเก่าแก่ทาสีแดง จากนั้นก็ชี้ไปยังไหเหล้าใบใหญ่หลายใบที่วางไว้ตรงมุมกำแพงด้วยรอยยิ้ม “ยกไหใบที่ยังไม่ได้เปิดออกไป ด้านบนมีอีกไหหนึ่งที่เปิดผนึกแล้ว ข้างในเป็นเหล้าต้มเองซึ่งยังเหลืออีกเกือบครึ่งไห เจ้าสามารถเอาบรรจุไว้ในน้ำเต้าได้ ถึงอย่างไรก็น่าจะพอ”

จากนั้นหญิงชราก็ไม่สนใจเด็กหนุ่มที่นั่งยองลงมุมกำแพงเพื่อตักเหล้าใส่น้ำเต้าอีก หันมาตั้งหน้าตั้งหน้าผัดกับข้าวของตัวเอง สุดท้ายเฉินผิงอันจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็บอกหญิงชราคำหนึ่งแล้วยกไหเหล้าออกไปจากห้องครัว

หญิงชราหันมามองตามด้วยรอยยิ้ม น้ำเต้าสีชาดตรงเอวเด็กหนุ่มดูเก่าแก่เป็นปกติ ไม่มีอะไรสะดุดตา เด็กคนนี้อายุยังน้อยก็เป็นผีขี้เหล้าแล้วรึ?

ไม่รู้ว่าหลังเจอกับแม่นางที่อยู่ในใจคนนั้นแล้ว เหล้าในน้ำเต้าจะกลายเป็นเหล้ามงคลหรือเหล้าดับทุกข์กันแน่

แต่หญิงชราก็ยังหวังให้เด็กหนุ่มสมปรารถนา เหมือนคุณชายกับคุณหนูที่กลายมาเป็นคู่สามีภรรยากัน

ห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม บรรยากาศด้านในชื่นมื่นปรองดอง

เจ้าบ้านชายหญิง ผีชางหยางหว่างกับผีสาวภูตต้นไม้ที่ชื่อแท้จริงคืออิงอิงนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือ มือดาบเคราดกถูกเชิญให้นั่งบนตำแหน่งประธาน สวีหย่วนเสียเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมาจึงคร้านที่จะปฏิเสธ นักพรตจางซานนั่งอยู่ทางฝั่งขวามือ ตอนที่เฉินผิงอันยกอาหารและสุราเข้ามาส่ง พวกเขาก็เริ่มกินดื่มกันอย่างสำราญ ส่วนผีสาวนั้นค่อนข้างจะน่าตลก รากต้นไม้ที่ยาวเหยียดของนางเหมือนเถาวัลย์สีเขียวที่ทอดยาวมาจากทางหอซิ่วโหลว ผ่านประตูหอเข้ามาทางห้องโถงหลัก เพื่อไม่ทำให้ทุกคนหมดสนุก นางยังจงใจสวมผ้าคลุมหน้าผืนหนาเพื่อบดบังโฉมหน้าของตัวเองด้วย

ก่อนหน้านี้มือดาบเคราดกก็ถามแล้วว่ามีเวทลับของตระกูลเซียนอะไรหรือไม่ที่สามารถช่วยให้ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้กลับคืนสู่โฉมหน้าดั้งเดิมได้ หยางหว่างส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เล่าต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียดโดยไม่คิดจะปิดบังความจริง ที่แท้นี่เกี่ยวพันกับเวทลับค่ายกลบทสรรเสริญคำเขียวซึ่งเป็นวิชานอกรีตของสำนักโองการเทพ รวมไปถึงแกนต้นไม้บรรพบุรุษต้นอวี๋ของแคว้นกู่อวี๋ ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อน กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่การนำค่ายกลของบ้านโบราณมาผสานรวมกับแก่นต้นอวี๋โบราณ ไม่อาจจะเคลื่อนย้ายได้ อีกทั้งเดิมทีรัศมีหลายร้อยลี้รอบพื้นที่แห่งนี้เดิมทีก็เป็นสุสานระเกะระกะแห่งหนึ่งอยู่แล้ว เพราะเมื่อสองร้อยปีก่อนแคว้นไฉ่อีเจอกับโรคระบาดชนิดหนึ่ง คนหลายแสนคนเป็นโรคตายเฉียบพลัน ศพส่วนใหญ่ล้วนถูกนำมาฝังที่เมืองแยนจือ ฮ่องเต้หลายพระองค์ของแคว้นไฉ่อีหวังอยากจะเปลี่ยนฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้ ทว่าต่อให้เป็นตอนนั้นที่มีเทพเซียนลัทธิเต๋าขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวผ่านมายังแคว้นไฉ่อี ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าเฝ้า และได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ลงมือทำอะไรไปมากมาย ลำพังแค่จัดพิธีกรรมปัดเป่าภัยพิบัติสองครั้งใหญ่ก็สูญเงินไปเกือบล้านตำลึงเงิน เสียดายก็แต่ดีได้ไม่กี่ปี ภาพเหตุการณ์น่าสังเวชที่ไอสกปรกอบอวล ผีและวิญญาณล่องลอยเร่ร่อนไปทั่วก็กลับคืนมาอีกครั้ง แม้แต่เทพเซียนก็ยังจนปัญญา

รากที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้เป็นทั้งยาช่วยชีวิตของผีสาว แต่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการดื่มยาพิษดับกระหาย ในที่สุดวันหนึ่งนางก็ต้องกลายมาเป็นผีร้าย ข้อนี้ผีชางอย่างหยางหว่างบอกตามตรงอย่างไม่ปิดบัง ผีสาวเองก็ยอมรับอย่างเปิดเผย ที่แท้สองสามีภรรยาคู่นี้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า หากวันนั้นมาถึงจริงๆ พวกเขาจะฆ่าตัวตายกันทั้งคู่ จะได้ไม่ต้องสร้างหายนะให้กับชาวบ้าน

อันที่จริงแก่นของต้นอวี๋โบราณนั้นเกิดมาก็สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเขารีบร้อนรั้งวิญญาณของอิงอิงผีสาวเอาไว้ บวกกับที่ภายหลังเหมือนคนป่วยหนักแล้วรักษาส่งเดช ไม่ทันคิดให้รอบคอบ ถึงเป็นเหตุให้ดวงวิญญาณของนางก้าวไปสู่ความชั่วร้ายทีละนิด หากสามารถดูดซับปราณวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง อันที่จริงก็มีหวังที่สติปัญญาของนางจะกลับคืนมา อีกทั้งยังสามารถหันหลับมาเลี้ยงดูโชคชะตาของพื้นที่แห่งนี้ กลายมาเป็นบุคคลที่คล้ายคลึงกับเทพภูเขาเถื่อน แต่ด้วยนิสัยดั้งเดิมของนาง รวมไปถึงความเกี่ยวข้องกับต้นอวี๋โบราณนั้น นางจะต้องแตกต่างไปจากคนแซ่ฉินอย่างสิ้นเชิง นางจะสร้างความสุขและโชควาสนาให้กับพื้นที่แถบนี้ ไม่เหมือนกับเทพภูเขาแซ่ฉินที่มีแต่จะทำลายพวกมัน

สุดท้ายหยางหว่างเอ่ยหยอกเย้าอย่างใจกว้างว่า อย่างมากที่สุดอีกสามสิบปี บ้านหลังนี้ก็น่าจะไม่มีคน ไม่มีสุราและไม่มีอาหารแล้ว ดังนั้นหวังว่าท่านทั้งสามจะมาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้งก่อนถึงเวลานั้น อย่างน้อยที่นี่ก็ยังพอมีห้องพักสะอาด มีผ้าห่ม สามารถเป็นที่พักเท้าได้ อีกทั้งยังสามารถมาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนอย่างในคืนนี้

เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำในรัศมีหลายร้อยลี้ มือดาบเคราดกและนักพรตจางซานเฟิงต่างก็ไม่อาจหาคำมาตอบโต้ได้ พวกเขาไม่มีวิธีที่ได้ผลมาเสนอจริงๆ เพราะมีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติ ‘ชี้มือชี้ไม้’ กับสถานที่แห่งนี้ ขอบเขตสิบเรียกว่าอริยะ นี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ช่วงแรกๆ พวกเขาจะได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากราชวงศ์ในโลกมนุษย์อย่างมาก เพราะเทพเซียนห้าขอบเขตบนนั้นมีน้อยเกินไป ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตสิบกลับจำเป็นต้องยึดครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานในการสั่งสมตบะ เวลาที่เจอกับทางตันหรือภาวะยากลำบาก บางครั้งก็จะมีการคบค้าสมาคมกับแม่ทัพหรือไม่ก็จักรพรรดิด้านล่างภูเขา ด้วยเหตุนี้คำเรียกขานที่ว่าอริยะของลัทธิขงจื๊อ เทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋า หรืออรหันต์ร่างทองคำของลัทธิพุทธต่างก็ถูกนับรวมอยู่ในนี้

ตอนนี้เฉินผิงอันชอบดื่มเหล้าก็จริง แต่ทุกครั้งจะดื่มไม่มากนัก มือดาบเคราดกกลับมีนิสัยชอบดื่มเหล้าถ้วยใหญ่กินเนื้อคำโต นักพรตจางซานเฟิงกินเหล้าเก่งสู้เฉินผิงอันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ดันเป็นคนหน้าบาง ถูกหยางหว่างและสวีหย่วนเสียชวนคำสองคำก็กระดกดื่มหมดไปทีละครึ่งถ้วย ถ้วยแล้วถ้วยเล่า จนถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็ต้องรินเหล้าต้มให้เขาแค่เล็กน้อย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้นักพรตหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อก็ยังนั่งตัวโงนเงน ใบหน้าแดงปลั่ง พูดเสียงดังกว่าเดิมมาก คุยเรื่องประสบการณ์ในยุทธภพกับชายฉกรรจ์เคราดก พูดคุยเรื่องบทกวีกับหยางหว่างผีชางที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลปัญญาชน พูดคุยกันอย่างถูกคอ อารมณ์ดีมาก

หญิงชราคอยยกอาหารมาส่งให้เป็นระยะ เห็นว่าไหเหล้าเกลี้ยงแล้วก็ไปยกไหใหม่มาให้

ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็สบายใจ อารมณ์แจ่มใส

ในขณะที่เหล้าไหที่สองใกล้จะหมด เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “พี่ฉู่ พี่ฉู่! เจ้าไปไหนแล้ว อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียวสิ!”

เพียงไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงสะอื้น “นักพรตน้อย เจ้าคนแซ่เฉิน ทำไมพวกเจ้าก็หายไปด้วยล่ะ หรือว่าถูกปีศาจร้ายจับกินจนเกลี้ยงไปหมดแล้ว? ไม่นะ ปีศาจในบ้านหลังนี้ หากเจ้าคิดจะกินคนก็กินไปให้หมดสิ อย่ากินข้าเป็นคนสุดท้าย…”

ตอนนั้นหญิงชรากำลังยกอาหารเข้ามาพอดี จึงเตรียมจะไปปลอบใจลูกหลานตระกูลขุนนางแซ่หลิวเพื่ออธิบายต้นสายปลายเหตุให้เขาฟัง

เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนบอกว่าเขาไปเองดีกว่า หญิงชราคิดแล้วก็รู้สึกว่าถูก หากนางไป เกรงว่าบัณฑิตน่าสงสารคนนั้นคงตกใจจนหมดสติเป็นแน่

ตอนที่บัณฑิตแซ่หลิวถูกเฉินผิงอันพาเดินเข้ามาในเรือนพักชั้นสาม สองขาของเขาสั่นระริก ริมฝีปากซีดเขียว พอเห็นมือดาบเคราดกคนนั้นอาการก็พอจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าพอเห็นรากต้นไม้น่ากลัวที่อ้อมจากประตูด้านหลังเข้ามาในห้องโถงหลัก ดวงตาสองข้างของเขาก็เหลือกขึ้น อีกนิดเดียวจะเป็นลมหมดสติ เพียงแต่ว่าถูกเฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักมือบีบแขนของเขาแรงๆ เขาเจ็บจนได้สติ บัณฑิตหนุ่มหน้ามุ่ยคอตกบ่นพึมไม่หยุด “ให้ข้าเป็นลมหมดสติไปก็ดีแล้วนี่นา”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากไม่ไหวจริงๆ ก็ดื่มเหล้าเพิ่มความกล้าซะ จะได้เมาให้หลับไป ความกล้าแค่นี้ อย่างไรก็ควรต้องมีบ้างกระมัง?”

บัณฑิตแซ่หลิวกล่าวอย่างน่าสงสาร “ไม่มีไม่ได้หรือ?”

เฉินผิงอันโมโหจนกลายเป็นขำ พูดจริงจัง “ไม่ได้!”

มองสีหน้าของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง ดูไม่เหมือนว่ากำลังแสร้งข่มขู่เขา บัณฑิตแซ่หลิวได้แต่ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ พูดเหมือนเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง “ดื่มก็ดื่ม! ต่อให้เป็นเหล้าที่ดื่มแล้วตายก็คือเหล้าเหมือนกัน!”

พอไปนั่งที่โต๊ะ บัณฑิตหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองใคร เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว

 —–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท