กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 222.2 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่

บทที่ 222.2 การจากลาบางครั้งก็สามารถกลับมาพบกันได้ใหม่

นักพรตเต๋าคนนี้ก็คือลูกศิษย์คนที่สามของมรรคาจารย์เต๋าแห่งใต้หล้ามืดสลัว ลู่เฉิน

ลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวแบ่งออกเป็นอีกสามลัทธิ เจ้าลัทธิของลัทธิทั้งสามนี้มีตำแหน่งสูงส่งเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน เทียบเท่ากับหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและเหวินเซิ่งของใต้หล้าไพศาล

ลู่เฉินตบศีรษะของเด็กชายชุดเขียว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พอเถอะ เลิกทำเป็นหูหนวกตาบอดได้แล้ว หากข้าผู้เป็นนักพรตคิดจะทำอะไรกับเจ้าจริงๆ เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะมีประโยชน์งั้นหรือ?”

จนถึงตอนนี้เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่รู้ตัวตนของลู่เฉิน แต่ดูจากวิชาอภินิหารของนักพรตเต๋าสวมกวานดอกบัวผู้นี้ ประเด็นสำคัญคืออีกฝ่ายยังใช้มันต่อหน้าเว่ยป้อและผู้เฒ่าวิปลาสด้วย เด็กชายชุดเขียวจึงรู้ว่าตัวเองมาชนตอเข้าอีกแล้ว อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้มากว่าตอนี้จะแข็งกว่าทุกครั้งที่เคยพบมาก่อนหน้านี้มากนัก

“ท่านผู้นี้” ลู่เฉินเดินไปทางหน้าผาเป็นเพื่อนเด็กชายชุดเขียว เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เคยได้ยินเรื่องปิดหูขโมยกระดิ่งหรือไม่?”

เด็กชายชุดเขียวยกหลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดเหมือนสะอื้น “เคย”

ลู่เฉินถามว่า “แล้วรู้สึกว่าอย่างไร? บอกมาตามความรู้สึกที่แท้จริง”

เด็กชายชุดเขียวสูดน้ำมูก “แค่รู้สึกว่าสนุก”

ลู่เฉินทอดถอนใจ “เด็กมีอนาคตสามารถสั่งสอนได้”

เด็กชายชุดเขียวพลันนั่งยองลงไป ยกสองมือกุมหัว ทอดสายตามองไปยังทิศไกลอย่างเหม่อลอย ใบหน้าเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยากน่าเวทนายิ่ง

เขาเริ่มคิดถึงเฉินผิงอันแล้ว หากเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย ต่อให้ขอบเขตของนายท่านผู้เฒ่าคนนี้จะไม่สูงมากพอ แต่เด็กชายชุดเขียวกลับรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา

ลู่เฉินลบสีหน้าเมตตาปราณีทิ้งอย่างสิ้นเชิง เบี่ยงตัวก้มหน้าลงมองเด็กน้อยที่กำลังเหม่อลอย เอ่ยถามเสียงเบาว่า “งูน้ำน้อย อยากติดตามข้าผู้เป็นนักพรตไปยังใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่?”

เด็กชายชุดเขียวเงยหน้า น้ำตานองเต็มใบหน้า ดวงหน้าเล็กๆ ยับยุ่ง ปากบิดเบ้ พูดน่าสงสาร “หากข้าปฏิเสธ ท่านจะยกเท้าเหยียบให้หัวข้าเละเลยหรือไม่?”

ลู่เฉินส่ายหน้ายิ้ม “แน่นอนว่าไม่ ข้าผู้เป็นนักพรตก็แค่จะย้ายบ่อน้ำบ่อนั้นไป เพราะไม่ว่าจะน้ำพุข้างในก็ดี หรือเมล็ดพันธ์บัวทองก็ช่าง ต่างก็ถือเป็นของที่ข้าผู้เป็นนักพรตทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันสูญเสียโชควาสนาครั้งใหญ่ไป เจ้ามักจะชมตัวเองว่าเป็นวีรบุรุษเป็นชายชาตรีไม่ใช่หรือ? เจ้ากินดื่มของคนอื่นเขาโดยไม่จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียวมาตลอดทาง จะไม่มีน้ำใจสักหน่อยหรือ? จะดีจะชั่วก็ควรทำอะไรเพื่อเฉินผิงอันบ้างไม่ใช่หรือไง?”

เด็กชายชุดเขียวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตายังพร่ามัวไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่มีน้ำใจแค่ครั้งสองครั้ง เฉินผิงอันก็ไม่ตำหนิข้าหรอก”

ลู่เฉินกุมขมับ มาเจอเข้ากับคนซื่อบื้อแบบนี้ เขาก็จนปัญญาเหมือนกัน ช่างเถอะ วาสนายังมาไม่ถึง ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน

เขาถอนหายใจ เอ่ยกับเด็กชายชุดเขียวว่า “วันหน้าบอกกับเฉินผิงอันด้วยว่า เรื่องของบ่อน้ำ เขาติดค้างน้ำใจข้าหนึ่งครั้ง อนาคตยังต้องคืนให้ข้า ส่วนเจ้า ตอนที่จะลงน้ำกลายเป็นเจียว สามารถไปที่แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตกของกุรุทวีป หากสามารถประคองตัวไปได้จนถึงแม่น้ำตอนบนก็เท่ากับเจ้าประสบความสำเร็จ ถึงเวลานั้นสามารถให้เฉินผิงอันช่วยคุ้มกันให้กับเจ้าได้ อืม นี่ก็คือน้ำใจที่เขาต้องใช้คืนให้ข้าผู้เป็นนักพรต”

เด็กชายชุดเขียวถามหยั่งเชิง “เหตุใดท่านเซียนถึงดีกับข้าขนาดนี้?”

ลู่เฉินมองความคิดของเจ้าตัวน้อยออกจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หนึ่ง ข้าผู้เป็นนักพรตมิใช่บิดาหรือบรรพบุรุษที่พลัดพรากจากเจ้าไปนานหลายปี สอง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้สนใจในเนื้อหนังเจียวหลงของเจ้าหลังจากที่เจ้ากลายร่างเป็นเจียวแล้ว สาม การที่ข้าผู้เป็นนักพรตแนะนำเจ้าก็เพราะชาติกำเนิดของเจ้าค่อนข้างจะพิเศษ อีกทั้งวันหน้ายังอาจจะถามเจ้าอีกครั้งว่าอยากไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่”

แล้วร่างของลู่เฉินก็วูบหายไป

เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนมองไป ข้างกายของนังเด็กโง่กับเว่ยป้อก็ไม่มีนักพรตสวมกวานดอกบัวแล้ว

วินาทีนั้นเขาที่น้ำหูน้ำตาไหลเต็มหน้าพลันหัวเราะ เดินอาดๆ กลับไปหาเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่ตรงเรือนไม้ไผ่ กล่าวอย่างฮึกเหิมว่า “นังเด็กโง่ รู้หรือไม่! ท่านเซียนผู้เฒ่าชมว่าพรสวรรค์ของข้ายอดเยี่ยมมาก เกือบจะคุกเข่าขอรับข้าไปเป็นลูกศิษย์ แถมยังบอกด้วยว่าจะพาข้าไปใช้ชีวิตเสวยสุขอยู่ที่ใต้หล้าอะไรสักอย่างนี่แหละ! ข้าเป็นใครกัน ในเมื่อยอมรับเฉินผิงอันเป็นนายท่านผู้เฒ่าแล้ว ก็ควรจะต้องมีคุณธรรมของคนในยุทธภพถูกหรือไม่? ก็เลยปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล เจ้าไม่เห็นว่าตอนนั้นในดวงตาของท่านเซียนผู้เฒ่าเปล่งวูบวาบไปด้วยประกายน้ำตา เฮ้อ น่าสงสารท่านเซียนผู้เฒ่าที่มีความจริงใจ จะโทษก็ต้องโทษที่เฉินผิงอันโชคดีเกินไป รับข้าเป็นเด็กรับใช้ แล้วก็ต้องโทษข้าที่มีน้ำใจเกินไป! อ้อ ใช่แล้ว นังเด็กโง่ ท่านเซียนผู้เฒ่าพูดอะไรกับเจ้ารึ?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูชูมือเล็กๆ ขึ้นมา ในมือมีแสงสีทองเปล่งระยิบระยับ นางกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านเซียนผู้เฒ่าคุยเรื่องกฎการเขียนตัวอักษรบางอย่างกับข้า สุดท้ายบอกว่าเจ้าต้องมาพูดจาเหลวไหลให้ข้าฟังแน่นอน เลยให้ข้าตบหน้าเจ้าแทนเขา”

แล้วเสียงเพี๊ยะก็ดังกังวาน

เด็กชายชุดเขียวถูกฝ่ามือสีทองตบลงบนใบหน้าเต็มแรง ร่างทั้งร่างหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายตลบกว่าจะร่วงลงพื้น เด็กชายชุดเขียวนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น แกล้งตายมันเสียเลย

เว่ยป้อที่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำหันไปมองชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ที่เงียบสงบด้วยความกังวลใจ

……

แคว้นกู่อวี๋ จวนส่วนตัวที่มีนามว่า ‘จวนต้าเม่า’ มีบัณฑิตหน้าตาหล่อเหลาเรือนกายสูงใหญ่คนหนึ่งที่ใบหน้าซีดขาวคล้ายป่วยไข้กำลังกินปลาเปรี้ยวหวานดอกท้อซึ่งเพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ มือข้างซ้ายของเขาถือช้อนเงินที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ มือข้างขวาถือตะเกียบสีเขียวคู่หนึ่ง รับประทานอาหารเลิศรสมื้อนี้อย่างเชื่องช้า ข้างมือยังมีเหล้าหมักของบรรณาการจากแคว้นกู่อวี๋วางไว้หนึ่งกา บางครั้งเขาจะวางตะเกียบลงแล้วยกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งคำ

หน้าโต๊ะอาหารของบัณฑิตผู้สง่างามมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดซึ่งมีชื่อเสียงสยบหนึ่งทิศทางของแคว้นกู่อวี๋ยืนอยู่

ปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่มีวรยุทธ์เป็นขอบเขตสี่ขั้นสูงสุดฝึกฝนเล่าเรียนด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จ จิตสังหารรุนแรงอย่างถึงที่สุด เขาที่อยู่ในยุทธภพของแคว้นกู่อวี๋และแคว้นรอบๆ อีกหลายแคว้นมีทั้งชื่อเสียงดีและเลวปะปนกันไป เป็นที่ยอมรับกันว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์สูง แต่กลับไร้คุณธรรม มีเพียงผู้ที่เลื่อมใสปรมาจารย์ท่านนี้เท่านั้นที่จะเชื่อมั่นในตัวเขา ขอเพียงแค่เจอกับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างไม่ว่าจากสำนักใดก็ตาม เขาก็สามารถกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง

นักฆ่าขอบเขตสี่คนหนึ่งที่ไม่ได้ปกปิดโฉมหน้า คือชายฉกรรจ์หยาบกระด้างไม่สะดุดตาคนหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาสวมหน้ากากใบหน้าปลอมเอาไว้ คนผู้นี้คือเจ้าของหอหม่ายตู๋ (ซื้อกล่อง) แห่งแคว้นกู่อวี๋ หอหม่ายตู่คือองค์กรนักฆ่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปหลายแคว้น ความหมายก็คือราคายุติธรรม ผู้ว่าจ้างแค่เอาเงินใส่กล่องไม้มาก็จะได้รับของตอบแทนเป็นไข่มุก (มาจากสำนวนหม่ายตู๋หวนจู ซื้อกล่องคืนไข่มุก ใช้เปรียบเทียบกับผู้ที่มีตาแต่หามีแววไม่ ไม่อาจแยกแยะว่าสิ่งใดมีคุณค่าที่แท้จริง สิ่งใดเป็นเพียงเครื่องปรุงแต่ง)

เขาเคยรับงานมาทำเองงานหนึ่ง คือการสังหารผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง อีกนิดเดียวก็เกือบจะทำสำเร็จ หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีสมบัติของสำนักที่ไม่แพร่งพรายชิ้นหนึ่ง เกรงว่าเขาคงทำสำเร็จแล้ว หลังจากนั้นมาหอหม่ายตู๋ก็เจอกับการแก้แค้นที่หนักหน่วงรุนแรงดุจสายฟ้าหนักหมื่นชั่งจนเกือบจะต้องทำตัวหายเข้ากลีบเมฆ ทว่าช่วงเวลานี้หอหม่ายตู๋ก็ได้แสดงให้เห็นถึงเลือดนักสู้แห่งยุทธภพที่มากพอ พวกเขาไล่ล่าสังหารลูกศิษย์ของตระกูลเซียนแห่งนั้นที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์โดยเฉพาะ พัวพันโรมรันกันอยู่เป็นเวลายาวนานถึงยี่สิบกว่าปี ฝ่ายหนึ่งเกือบจะพินาศดับสูญ อีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายราชครูของแคว้นกู่อวี๋ต้องออกหน้ากำราบด้วยตัวเอง ทั้งสองฝ่ายถึงยุติการต่อสู้ลง

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าสำนักในยุทธภพไม่ได้มีเพียงผู้ที่เอาตัวรอดไปวันๆ หรือผู้ที่ยืมจมูกคนอื่นหายใจเท่านั้น ยังมีความห้าวหาญเยี่ยงวีรบุรุษผู้กล้าที่ยอมทุ่มสุดตัว กล้ากระชากเทพเซียนลงมาจากภูเขาด้วย

ผู้ฝึกลมปราณที่เหลืออีกสองคน สตรีโตเต็มวัยเรือนร่างเย้ายวนคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนอิสระ เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ มีวิธีการมากมายไม่ซ้ำรูปแบบ สามารถทำให้จิตวิญญาณของคนเน่าเปื่อยยุ่ยสลายได้โดยที่ป้องกันอย่างไรก็ไม่เป็นผล ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพหรือเทพเซียนบนภูเขาก็ไม่มีใครยินดีที่จะหาเรื่อง ‘ฮูหยินอสรพิษ’ ผู้นี้

แต่ผู้ฝึกลมปราณอีกคนหนึ่งกลับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนในราชสำนักแคว้นกู่อวี๋

เหตุผลที่ทำให้บุคคลยิ่งใหญ่ทั้งสี่มารวมตัวกันนั้นง่ายมาก คนหนุ่มที่มองแล้วดูคล้ายบัณฑิตที่เดินทางมาสอบในเมืองหลวงผู้นั้นก็คือราชครูของแคว้นกู่อวี๋

กินปลาเปรี้ยวหวานดอกท้อสดใหม่รสชาติดีเยี่ยมจานนั้นอิ่มแล้ว เขาก็ควักกระดาษสามแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ แต่ละแผ่นล้วนวาดภาพเหมือนของบุคคลหนึ่งเอาไว้ เขางอนิ้วเคาะลงไปยังภาพของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลัง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในคลังสมบัติมีสมบัติอาคมระดับสามอยู่ชิ้นหนึ่ง ใครที่สามารถฆ่าคนผู้นี้ได้สำเร็จก็เอามันไปด้วยกันได้เลย บอกไว้ก่อนว่ามีความเป็นได้มากที่เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหก ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสามเป็นแค่ภาพลวงตา อย่าถูกเขาหลอกเด็ดขาด ข้าสนแค่หัวของเขาเท่านั้น ส่วนข้อที่ว่าจะฆ่าอย่างไร ข้าไม่สนใจ คนอื่นๆ อีกสองคน หากฆ่าได้ก็มีรางวัลเหมือนกัน ทุกท่านวางใจได้”

คนทั้งสามทยอยกันจากไป เหลือเพียงผู้ฝึกลมปราณที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่นคนนั้น

เขาเอ่ยเย้ยว่า “ราชครูฉู่ ใช้ทรัพย์สินของผู้อื่นมาหลอกให้คนทำประโยชน์แก่ตน ไม่ค่อยดีกระมัง?”

บัณฑิตยิ้มบางๆ ถามว่า “คือความหมายของเจ้า หรือความหมายของฮ่องเต้ล่ะ?”

คนผู้นั้นเงียบไม่ตอบคำถาม

บัณฑิตเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แค่เจ้าเอาศีรษะคนมาได้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? ของก็ยังเป็นของในคลังสมบัติสกุลฉู่ ก็แค่มาเปลี่ยนมือที่ข้าเท่านั้น”

คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นแล้วหมุนกายจากไป

……

หลังจากหยุดจอดที่แคว้นหนันเจี้ยน เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวลำนั้นก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะยานลมลงใต้ไปอีกครั้ง

เรือคุนที่ขับเคลื่อนอยู่กลางอากาศตำแหน่งกึ่งกลางค่อนไปทางใต้ของแจกันสมบัติทวีปยังคงพบเจอกับสภาพอากาศดีที่ลมพลิ้วไหวเมฆเคลื่อนคล้อย

ยามสนธยาของวันนี้ ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมหมวกขนเตียวที่ฟันหักไปซี่หนึ่งเดินออกมาจากเรือนพักหลังเดี่ยวที่หรูหราของตน มายังหัวเรือที่การมองเห็นเปิดกว้างอย่างถึงที่สุด ดวงอาทิตย์กลมโตตกลงทางทิศตะวันตก เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่งามจับตา

ผู้เฒ่ามองภาพนี้อยู่นาน โดยไม่ทันรู้ตัวก็มีสตรีผู้หนึ่งที่ออกมาเดินเล่นเช่นเดียวกันมายืนอยู่ข้างกาย ใช้กระบี่บินขนาดเล็กชื่อว่า ‘สายฟ้าแลบ’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งกุรุทวีปมาเป็นปิ่นปักผม นางเองก็มีจินตนาการที่เลิศล้ำยิ่งนัก แน่นอนว่าที่มากกว่านั้นคือการยอมจ่ายเงินมือเติบอย่างใจกว้าง

ตรงปลายหางของสายฟ้าแลบมีไข่มุกเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ เหตุผลยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ เป็นเพราะบิดาของหญิงสาวกลัวว่าสายฟ้าแลบเร็วเกินไป บุตรสาวจะไม่สามารถควบคุมมันได้ จึงไปหาไข่มุกชือ (ชือคือมังกรที่ไม่มีเขาในตำนาน) เม็ดหนึ่งมาจากพื้นที่ลับของวังมังกรแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขายังยอมหลอมกระบี่ขึ้นมาใหม่รอบหนึ่ง เพื่อใช้มันเจาะรูให้กับไข่มุก หวังชะลอความเร็วของกระบี่บิน

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อไม่ได้หันหน้าไปมองเด็กสาวที่เพิ่ง ‘ผูกปมแค้น’ กันเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เฒ่าหัวเราะ แต่ริมฝีปากไม่ขยับ เขาทำเพียงแค่ส่งเสียงในใจไปให้นาง “แม่นางน้อย เจ้าไม่ควรมาพบข้า ระวังว่าจะเผยพิรุธ ถึงเวลานั้นต่อให้บิดาของเจ้าจะรักเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”

เด็กสาวสีหน้าเย็นชา ตอบกลับด้วยเสียงในใจ “ผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่ง เหตุใดเจ้าต้องทำอะไรแบบนี้ เจ้าไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีลูกหลาน แล้วก็ไม่มีลูกศิษย์…”

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อยกมือลูบหมวกขนเตียว คราวนี้เขาเปล่งเสียงพูดออกมาโดยตรงอย่างไม่คิดปิดบังอีกต่อไป “แม่นางน้อย หากเจ้าไม่ชอบคุณชายหูลวี่ผู้นั้นก็พูดออกมาตรงๆ สิ ไม่ต้องรู้สึกว่าผู้ชายคนหนึ่งถ้าเป็นคนดี แล้วเจ้าจะต้องชอบเขาได้ วันหน้าหากเจอกับบุรุษที่เจ้าชอบจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนเลว แล้วเจ้าจะต้องไม่ชอบเขาคนนั้น”

ใบหน้าของเด็กสาวแดงก่ำเล็กน้อย

ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ระหกระเหินมาทั้งชีวิต สี่สมุทรคือบ้าน สุดท้ายกลับรู้สึกว่าเรือนเล็กๆ บนเรือคุนหลังนี้ทำให้คนสงบจิตใจได้ โชคดีที่ก่อนจะขึ้นเรือนำตำรามาด้วยหนึ่งหลัง ทุกวันพอเปิดประตูออกมาก็เห็นทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล เห็นภูเขาแม่น้ำ ดวงตะวันดวงจันทรา ช่างสบายตาสบายใจซะจริง กลับไปแล้วปิดประตูลงก็คือตำราที่วางไว้เต็มโต๊ะ บทความแห่งคุณธรรมสามารถฝึกจิตใจได้…”

เด็กสาวถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ บิดาของนางเป็นคนจัดการให้ บอกว่าจะต้องให้นางออกจากบ้านมาผ่อนคลายจิตใจให้ได้

แรกเริ่มบิดาของนางคิดจะเปิดโอกาสให้นางกับคุณชายหูลวี่คนนั้น จนกระทั่งมาถึงท่าเรือภูเขาอู๋ถงแห่งราชวงศ์ต้าหลีถึงได้รู้ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่นางคิด

เมื่อวานนางถึงเพิ่งรู้เรื่องภายในอย่างแท้จริง เพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่งผู้นี้กลับเป็นหมากสำคัญ

เป็นกระดานหมากที่กว้างใหญ่ยิ่งนัก

นางถึงขั้นคิดว่าตัวเองก็ตกเป็นหมากในกระดานนี้ด้วย

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท