กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 223.1 การต่อสู้บนถนนเส้นเล็ก

บทที่ 223.1 การต่อสู้บนถนนเส้นเล็ก

บนแท่นสูงใจกลางทะเลสาบ สตรีสวมอาภรณ์สีสันสดใสที่แปลงกายมาจากกระดาษยันต์สีเหลืองซึ่งหล่นสู่พื้นกำลังกวาดตามองไปรอบด้าน ประกายความฉลาดเฉลียวในดวงตาของนาง ไหนเลยจะเหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีชีวิต เห็นชัดๆ ว่านางคือคนตัวเป็นๆ

เทพเซียนเฒ่าที่ยืนอยู่ริมแท่นสูงหยิบขวดกระเบื้องสีชมพูขวดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ภายใต้การจับจ้องมองมาของผู้คน เขาเปิดจุกฝาขวดออกแล้วโยนขึ้นไปตรงกลางของแท่นสูง ขวดกระเบื้องกลิ้งไปหยุดอยู่ข้างเท้าของสตรีอาภรณ์สดใส หลังจากความเงียบผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงพิณดังออกมาจากในขวดกระเบื้อง เสียงเพลงนั้นราวกับเสียงที่ยอดฝีมือกำลังบรรเลงด้วยตัวเอง หากมีผู้เชี่ยวชาญด้านการบรรเลงพิณมาอยู่ตรงนี้จะสามารถฟังออกว่าเสียงพิณเริ่มบรรเลงจากจังหวะเนิบช้า และเมื่อเสียงพิณดังขึ้น สตรีสวมชุดสีสันสดใสก็ค่อยๆ ขยับร่าง ชายแขนเสื้อกว้างและยาวของนางประหนึ่งก้อนเมฆสีรุ้งที่ลอยเคลื่อนคล้อย

เสียงพิณหยุดชะงักลงเล็กน้อย สตรีชุดสีสดก็หยุดตามไปด้วย ยืนค้างอยู่ในท่าอ่อนช้อยไขว้ขาเข้าด้วยกัน

หัวรองเท้าปักลายสีชมพูเขย่งขึ้นเล็กน้อยเหมือนมุมแหลมของดอกบัวตูมดอกเล็ก

หลังจากนั้นเสียงพิณก็เปลี่ยนจากช้ามาเป็นเร็ว ท่าร่ายรำของสาวงามก็เร็วตามไปด้วย เอวของนางบิดพลิ้วราวกับสายลม ยามที่หันมาชม้ายชายตา ในดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันลึกล้ำ

เมื่อเสียงพิณขาดๆ หายๆ เดี๋ยวเน้นหนักเดี๋ยวแผ่วเบาเหมือนไข่มุกกำมือใหญ่ถูกเทลงบนถาดหยก

เทพเซียนผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ แล้วพลันชูชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น ชายแขนเสื้อแต่ละข้างของเขามีกระดาษยันต์สีเหลืองลอยออกมาสี่แผ่น พอหล่นลงพื้นควันสีเขียวก็ตลบอบอวล ปกคลุมสตรีชุดสีสันสดใสผู้นั้นไว้ภายใน ทุกคนเพียงแค่ได้ยินว่าเสียงพิณถี่กระชั้นมากขึ้น แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของสาวงามจึงเริ่มร้อนใจ และเริ่มคาดหวังรอคอยกันมากขึ้น

ทันใดนั้นเสียงพิณก็พลันดังลั่นประหนึ่งเสียงขวดเงินแตก

และวินาทีนั้นก็เห็นเพียงว่าท่ามกลางกลุ่มควันที่ล่องลอยอยู่นั้นมีดรุณีน้อยสวมชุดขาวพลิ้วไหวแปดคนปรากฏกายอย่างรวดเร็ว พวกนางกระโดดออกไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีสตรีชุดสีสันสดใสเป็นจุดศูนย์กลาง ในมือของพวกนางถือกระบี่ยาว ขณะเดียวกันเด็กสาวชุดขาวถือกระบี่ที่เคลื่อนไหวว่องไวก็พากันเปล่งเสียงร้องคล้ายเสียงที่ใช้ในการเซ่นไหว้ทวยเทพของชนเผ่าป่าเถื่อนสมัยโบราณอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่เสียงนี้ไม่เพียงแต่ทำลายความสง่างามของพวกนาง กลับกันยังเพิ่มลักษณะพลังอันองอาจเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้ชายชาตรีให้กับพวกนาง

ในศาลาที่อยู่ติดกับริมทะเลสาบ แม่ทัพฝ่ายบู๊วัยกลางคนที่นำกองกำลังมาเฝ้าพิทักษ์อยู่บริเวณใกล้เคียงกับเมืองแยนจือดวงตาเป็นประกาย รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เดิมทีเขามาที่นี่ตามคำเชิญก็แค่ทำตามมารยาทเท่านั้น เวลานี้พอได้เห็นภาพนี้เองกับตากลับอดที่จะปรบมือเอ่ยชื่นชมไม่ได้ “เป็นท่าม้าเหล็กบุกตะลุยที่องอาจยิ่งนัก! โดยเฉพาะการที่สตรีหลายคนถือกระบี่พุ่งมาด้านหน้าที่ยิ่งมีพลังอำนาจสมกับท่าทางนี้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว”

ใต้เท้าเจ้าเมืองลูบหนวดหัวเราะ พยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “ไม่ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ”

หลังจากนั้นเสียงพิณก็ยิ่งเสียดสูงเข้าสู่ชั้นเมฆ ประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิที่ซัดตลบอยู่ในทะเลเมฆ ส่วนเด็กสาวชุดขาวทั้งแปดคนนั้นก็ยังโอบล้อมอยู่รอบกายสตรีสวมชุดสีสันที่ยืนอยู่ตรงกลางตลอดเวลา พวกนางหมุนตัวเป็นวงอย่างรวดเร็ว ออกกระบี่ว่องไว ส่วนสตรีที่สวมชุดสีสดกลับจงใจชะลอความเร็วในการร่ายรำ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กสาวถือกระบี่ที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบแล้วจึงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด อีกทั้งมีหลายครั้งที่พวกเด็กสาวถือกระบี่เอนตัวไปด้านหลังแล้วออกกระบี่ ปลายกระบี่อยู่ห่างจากสตรีชุดสดใสแค่นิ้วกว่าๆ เท่านั้น เฉียดฉิวเสี่ยงอันตรายอย่างมากจริงๆ ทว่าสตรีชุดสีสันสดใสกลับแย้มยิ้มประดุจบุปผาผลิบานได้ตลอดเวลา

ภาพเหตุการณ์นี้ที่ปรากฏบนแท่นสูงกลางทะเลสาบทั้งให้ความรู้สึกงดงามคล้ายเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหล ทั้งมีเสน่ห์อันน่าตื่นตาตื่นใจ

เทพเซียนผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “เก็บ!”

ในขณะที่สตรีบนแท่นสูงพลิ้วร่างเคลื่อนไหวอย่างว่องไวนั้นเอง แสงกระบี่สีขาวหิมะสว่างพร่างพราวก็พากันสาดยิงออกไปสี่ทิศ บางครั้งก็สาดสะท้อนอยู่บนใบหน้าของพวกแขกที่มาชมการแสดงอยู่ริมทะเลสาบ หลายคนตกใจรีบยกมือปิดหน้า ทว่าเวลานี้เอง หลังจากที่เทพเซียนผู้เฒ่าเอ่ยคำว่า ‘เก็บ’ ออกมาแล้ว

เด็กสาวชุดขาวทั้งแปดคนก็พลันหยุดชะงัก กลายร่างมาเป็นยันต์กระดาษเหลืองหลายแผ่นที่ลอยอยู่กลางอากาศ เทพเซียนเฒ่ากวักมือเรียก กระดาษเหลืองก็บินกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อของเทพเซียนผู้เฒ่าประหนึ่งฝูงสกุณาที่บินกลับคืนรัง

สตรีสวมชุดหลากสีค้อมตัวลงหยิบขวดกระเบื้องขวดนั้นขึ้นมาแล้วเดินนวยนาดเอามันมาส่งให้กับเทพเซียนผู้เฒ่า จากนั้นจึงหันมาคลี่ยิ้มหวานหยดย้อยให้แก่แขกที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ แล้วนางก็กลับคืนไปเป็นกระดาษเหลืองหยาบๆ แผ่นหนึ่งไม่ต่างจากเด็กสาวชุดขาว ถูกเทพเซียนผู้เฒ่าเก็บไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

การแสดงของเทพเซียนผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลในครั้งนี้ทำให้ผู้ชมทุกคนต้องทอดถอนใจด้วยความชื่นชม สยบคนมีเงินทุกคนของเมืองแยนจือที่มาร่วมชมความครึกครื้นได้อย่างอยู่หมัด ทำให้คนบางส่วนที่มีใจคิดจะท้าทาย ‘เซียนซือ’ ไม่มีหน้าฮาป่าใส่เขา

นักพรตหนุ่มอ้อมผ่านบุตรชายเจ้าเมืองที่นั่งอยู่ตรงกลางถามเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่สวี มองสายสนกลในออกหรือไม่? ใช่ปีศาจหรือภูตผีตัวประหลาดหรือเปล่า? แต่ว่ากระดิ่งสดับปีศาจของข้าไม่มีความเคลื่อนไหวนะ”

ชายฉกรรจ์เคราดกทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาลูบคลำปลายคางพลางพึมพำกับตัวเองว่า “เด็กสาวชุดขาวคนที่มีใฝตรงมุมปาก หุ่นก้านเหมือนจะไม่เป็นรองสตรีที่สวมเสื้อสีสดเลย”

หลิวเกาหวาที่จมอยู่ในภวังค์ของความตกตะลึงก็พูดงึมงำว่า “ความสามารถมหัศจรรย์อย่างแท้จริง มิน่าเล่าในตำราจึงมักจะมีบทบรรยายถึงคนที่ขึ้นเขาไปฝึกตนเป็นเซียน หากข้าได้เรียนวิชาของเทพเซียนวิชานี้ วันหน้าไหนเลยจะยังต้องไปดื่มเหล้าที่หอโคมเขียวอยู่อีก”

ชายฉกรรจ์เคราดกคืนสติ หันไปถามนักพรตหนุ่ม “เฉินผิงอันยังไม่กลับมารึ? คงไม่ได้ตกส้วมไปแล้วกระมัง?”

นักพรตหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะแอบไปฝึกวิชาหมัดแล้วก็ได้”

ชายฉกรรจ์เคราดกพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเห็นด้วย “เฉินผิงอันทำเรื่องที่ทำลายความสนุกสนานแบบนี้ได้แน่นอน อันที่จริงกลับไปลองให้คุณชายหลิวเชิญพวกเราไปสถานเริงรมย์ของเมืองแยนจือสักครั้งดูสิ รับรองว่าหากครั้งหน้าเฉินผิงอันยังได้เจอเรื่องดีๆ แบบนี้อีก เขาต้องอยากจะกลับมานั่งอยู่ข้างแท่นสูงกลางทะเลสาบแห่งนี้แทนเป็นแน่”

หลิวเกาหวาเอ่ยอย่างลำบากใจ “จอมยุทธ์ใหญ่สวี ข้ายากจนจนบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านแล้ว สภาพของบ้านข้าก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย หากพูดถึงสายลมจันทรา (เปรียบเปรยถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิง) เมื่อก่อนก็เคยถูกเพื่อนลากไป พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย แรกเริ่มพวกผู้หญิงก็ยังเห็นแก่ที่ข้าเป็นบุตรชายของเจ้าเมือง เต็มใจพูดจายกยอเอาใจข้า บางครั้งยังเสนอตัวเข้ามาอิงแอบในอ้อมกอด ภายหลังทุกคนต่างก็ด่าข้าลับหลังว่าข้าคือไก่เหล็กที่ขนไม่ร่วงแม้แต่เส้นเดียว (เปรียบเปรยถึงคนขี้เหนียว) ขาดก็แค่ไม่ได้ชักสีหน้าใส่ข้าเท่านั้น”

ชายฉกรรจ์เอ่ยสัพยอก “เป็นถึงบุตรของขุนนางกลับกลายมาเป็นคนเส็งเคร็งแบบนี้ได้ก็ถือว่าเจ้าหลิวเกาหวามีความสามารถเช่นกัน ทำไม เรียนหนังสือไม่ได้ดิบไม่ได้ดี ไม่อาจสืบทอดกิจการของบิดา แต่ก็ยังกลัวขายหน้าไม่ยอมหากินทางอื่น ถึงท้ายที่สุดจะไปซ้ายก็ไม่ใช่จะไปขวาก็ไม่สุด วันๆ เลยเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ทำการทำงานแบบนี้น่ะหรือ?”

สีหน้าของหลิวเกาหวาหม่นหมอง เอ่ยเย้ยตัวเอง “หากไม่เป็นเพราะในบ้านมีข้าเป็นบุตรชายคนเดียว บิดาข้าจึงยังอยากให้ข้าสืบทอดควันธูป หาไม่แล้วต่อให้ข้าตายอยู่ในบ้านโบราณ อย่างมากสุดเขาก็คงแค่เขียนคำไว้อาลัยฉบับหนึ่งด้วยถ้อยคำที่กินใจจนคนฟังแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกของพวกเราก็มีแค่นั้นเอง”

ชายฉกรรจ์เคราดกปอกส้มผลหนึ่งแล้วบิครึ่งหนึ่งยื่นส่งให้หลิวเกาหวา ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำปลอบใจใดๆ

ในยุคสมัยที่บ้านเมืองสงบสุข ผู้คนกินอิ่มนอนหลับไร้กังวล คนหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่สมดั่งใจ

รอจนเกิดเรื่องเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าความโชคร้ายทั้งหลายที่คิดไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละที่เรียกว่าโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว

นักพรตหนุ่มเริ่มเป็นห่วงเฉินผิงอันจึงคิดจะลุกไปตามหา เพียงแต่ว่าพอมองไปตามทางระเบียงก็เห็นว่ามีคนเบียดเสียดกันจนหาที่ว่างไม่เจอ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ไป

……

มาถึงจุดที่ห่างไกลจากผู้คน เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงมุมกำแพง ห่างจากกำแพงฝั่งนอกของบ้านหลังนี้ไปประมาณเจ็ดแปดก้าวก็ไม่เดินหน้าต่ออีก

เด็กหนุ่มชุดดำนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง มองประเมินเฉินผิงอันด้วยสายตามีเลศนัย เอ่ยด้วยภาษาท้องถิ่นดั้งเดิมของหลงเฉวียน “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ริมธารน้ำ มองไม่ออกว่าปณิธานหมัดของเจ้าลึกหรือตื้น ตอนนี้มาลองย้อนนึกดู การต่อสู้ที่สุสานเทพเซียนแห่งนั้น เป็นข้าที่ประมาทเกินไป แพ้แล้วก็ไม่ถือว่าอยุติธรรมเกินไปนัก”

ได้ยินสำเนียงของบ้านเกิดที่ไม่ได้ยินมานาน

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยินดีเลยสักนิด

ไอ้หมอนี่ก็คือหม่าขู่เสวียนจากตรอกซิ่งฮวา ถูกภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารแห่งแจกันสมบัติทวีปรับตัวไปเป็นลูกศิษย์

ตอนนั้นที่อยู่สุสานเทพเซียน หม่าขู่เสวียนคิดจะสังหารคนสองคนจึงจงใจเก็บสะสมพละกำลัง หวังว่าจะสามารถกำจัดทั้งเฉินผิงอันและหนิงเหยาได้ในรวดเดียว เฉินผิงอันถึงคว้าโอกาสเอาไว้ได้ อีกนิดเดียวก็เกือบจะใช้มีดทับกระโปรงที่หนิงเหยาให้ยืมสังหารไอ้หมอนี่ได้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นยอดฝีมือของภูเขาเจินอู่ออกหน้าขัดขวาง เฉินผิงอันจึงทำไม่สำเร็จ

ในมือของหม่าขู่เสวียนกำเมล็ดถั่วเหลืองโรยเกลือไว้กำมือหนึ่ง เขาโยนเข้าปากทีละเม็ด เคี้ยวเสียงกรุบกรับอย่างเอร็ดอร่อย

เดิมทีตอนที่เขาอยู่บนภูเขาเจินอู่ยังกังวลว่าเจ้าคนจากตรอกหนีผิงผู้นี้จะตายไปแล้ว หรือไม่ก็กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ถ้าเช่นนั้นในอนาคตหากเขาคิดจะแก้ปมแค้นที่ผูกไว้ในสุสานเทพเซียนก็จะกลายเป็นการแก้แค้นที่น่าเบื่อหน่าย หนึ่งปีกว่ามานี้ เขาหม่าขู่เสวียนติดตามอาจารย์คนที่สองไปฝึกตนที่เขาเจินอู่ หลังขึ้นไปบนภูเขาก็กลายเป็นคนดัง ไม่กล้าพูดว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีป ทว่าหลายสิบแคว้นน้อยใหญ่รอบภูเขาเจินอู่ มีใครที่ไม่รู้ว่าบนภูเขาเจินอู่มีผู้มากพรสวรรค์ที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้งปรากฎตัวขึ้นบนโลก? พวกผู้เฒ่าประหลาด บุรพาจารย์สำนักการทหารที่อยู่บนภูเขาเหล่านั้น มีใครกล้าอาศัยตบะและวัยที่สูงกว่ามาดูหมิ่นเขาบ้าง?

เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีก็ฝ่าทะลุสามขอบเขต บุกตะลุยไปข้างหน้าดุจผ่าลำไม้ไผ่ ตอนนี้อยู่ลำดับสูงสุดของขอบเขตสร้างกระท่อมขอบเขตที่ห้า น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง

บนภูเขาเจินอู่ การต่อสู้ระหว่างคนในวัยเดียวกัน การประลองฝีมือน้อยใหญ่สิบหกครั้ง เขาหม่าขู่เสวียนไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว

น่าเสียดายที่ครั้งนี้ลงจากภูเขามาหาศัตรู พอจะเรียกว่ามีบุญคุณต้องตอบแทน มีความแค้นต้องชำระได้อย่างถูไถ แต่ก็ยังไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตห้าเลื่อนเข้าสู่ห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ ดังนั้นหม่าขู่เสวียนจึงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก จึงบอกให้อาจารย์ที่ลงจากภูเขามาเป็นเพื่อนเขากลับขึ้นเขาไปก่อน เขาบอกว่าอยากจะผ่อนคลายอยู่ในยุทธภพ หาปรมาจารย์ที่หลอมลมปราณได้ถึงขอบเขตสามมาขัดเกลาฝีมือสักหน่อย ดูสิว่าจะสามารถใช้หินบนภูเขาของคนอื่นมากลึงเป็นหยก ช่วยให้ตัวเองฝ่าขอบเขตได้สำเร็จหรือไม่ แต่ต่อให้ไม่ต้องใช้สมบัติอาคมมากมายที่เขาเจินอู่มอบให้เป็นของขวัญ ของรางวัล หรือได้จากการชนะการเดิมพัน หม่าขู่เสวียนที่เดินทางอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังผ่านห้าหกแคว้นเล็กๆ มาแล้วก็ยังตามหาปรมาจารย์ที่สมชื่อไม่เจอสักคน อย่างมากก็มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ขอบเขตห้าที่สร้างชื่อเสียงจอมปลอม รับหมัดจากเขาได้แค่ไม่กี่หมัดเท่านั้น

หม่าขู่เสวียนกินถั่วเหลืองโรยเกลือพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เฉินผิงอัน ดูจากท่าทางของเจ้าคงตัดสินใจจะเดินบนเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้วสินะ? อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก หากโชคดี เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกก็ทำให้ต้าหลีของเราหมายตาได้แล้ว ถึงเวลานั้นไปสมัครเป็นแม่ทัพในสนามรบที่ได้กุมอำนาจแท้จริงเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่าเจ้าเฉินผิงอันสร้างเกียรติยศหน้าตาให้กับบรรพบุรุษแล้ว”

เฉินผิงอันถามเข้าประเด็น “เจ้ามาหาข้า? หรือว่าแค่ผ่านทางมา?”

หม่าขู่เสวียนรู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า หัวเราะปากกว้างจนหุบปากไม่ลง กว่าจะหยุดหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาโยนถั่วเหลืองเม็ดสุดท้ายเข้าปาก เอ่ยเย้ยหยันว่า “แค่ผ่านทางมาเท่านั้น เจ้าเฉินผิงอันก็เข้าข้างตัวเองเกินไป ข้าน่ะ เป็นเพราะก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าแคว้นไฉ่อีมีเทพกระบี่ท่านหนึ่งที่เก็บตัวสันโดษไม่เผยกายบนโลกมาสามสิบปีแล้ว ทุกคนต่างก็พูดกันว่าเวทกระบี่ของเขายอดเยี่ยม ร้ายกาจยิ่งกว่าเทพเซียนบนภูเขาเสียอีก เล่าลือกันว่าในมือไร้กระบี่แต่ในใจมีกระบี่อะไรเทือกนั้น ข้าถึงได้ทุ่มเทกำลังกายมหาศาลเพื่อมาตามหาเขา ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ยอมลงมือ บอกว่าเขาถอยออกมาจากยุทธภพแล้ว ทำเอาข้าโมโหแทบตาย หาตัวเขามาเกินครึ่งเดือน มีหรือจะไล่ข้าได้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว แต่ไม่ว่าข้าจะลงมืออย่างไร เขาก็เอาแต่หลบเลี่ยงไม่ยอมต่อสู้ เอาแต่หนีห่างท่าเดียว หากข้าไล่ตามไปต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดเดียวก็จะผิดต่อวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของข้าที่แค่คิดจะหาคนมาประมือด้วยเท่านั้น ข้าก็เลยคิดหาวิธี ไปตามหาลูกหลานของเขาในยุทธภพมา หิ้วหัวสองหัวไปพบเทพกระบี่ท่านนี้ ในที่สุดเขาก็ยอมต่อสู้กับข้า เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่ใช้กระบี่คนหนึ่งจะคู่ควรกับคำว่า ‘เทพกระบี่’ ได้อย่างไร เจ้าว่าใช่หรือไม่ เฉินผิงอัน?”

ตอนอยู่บนภูเขาเจินอู่ อันที่จริงหม่าขู่เสวียนเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย ไม่ใช่คนที่จะมาพูดจ้อไม่หยุดปากแบบนี้ เว้นเสียแต่ว่าบางครั้งที่บรรลุอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ขอบเขตมีการเลื่อนขั้นที่ถึงจะออกจากที่พักไปเข่นฆ่าผู้คน ทว่าเวลานอกเหนือจากนั้นกลับปิดด่านตั้งใจฝึกตนอยู่ตลอดเวลา หากไม่นับอาจารย์ในนามของเขาคนนั้น ลำพังเพียงแค่บุรพาจารย์ที่คอยป้อนหมัดและถ่ายทอดสัจธรรมแห่งสำนักการทหารให้แก่เขาก็มีถึงสองคน คนหนึ่งคือคนที่ทางภูเขาเจินอู่จัดสรรมาให้ อีกคนหนึ่งคือคนที่ถูกชะตากับหม่าขู่เสวียนจึงเสนอตัวด้วยตัวเอง มองหม่าขู่เสวียนเป็นดั่งผู้สืบทอดของตน

หม่าขู่เสวียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพอมาอยู่ต่อหน้าคนวัยเดียวกันจากตรอกหนีผิงผู้นี้ถึงได้รู้สึกอยากพูดนัก แน่นอนว่าหลังจากพูดสิ่งที่อยากพูดจบไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นให้ต้องทำ

ยกตัวอย่างเช่นสู้กันอีกครั้ง!

หลังจากที่ได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขา หม่าขู่เสวียนก็สาบานกับตัวเองว่า การต่อสู้กับคนวัยเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เขาต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น ห้าขอบเขตล่างเป็นเช่นนี้ อนาคตเมื่อถึงห้าขอบเขตกลางก็ควรเป็นเช่นนี้ วันหน้าเมื่อเป็นห้าขอบเขตบนก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้!

ดังนั้นเฉินผิงอันเด็กหนุ่มจากบ้านเกิดก็คือปมเล็กๆ ในใจของเขา การฝึกตนของสำนักการทหาร ปมในใจเล็กๆ แค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่มันสร้างความหงุดหงิดขุ่นใจ ในใจหม่าขู่เสวียนย่อมไม่สบอารมณ์ บนภูเขาเจินอู่ที่มีเทพเซียนกองเป็นภูเขา เขายังสามารถเปิดฉากสังหารไปทั่วสารทิศ แต่ในอดีตกลับเคยพ่ายแพ้ให้กับเด็กบ้านนอกที่เป็นวรยุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ อย่างนั้นหรือ?

เฉินผิงอันถาม “พบกันแล้วจะสู้กันสักครั้งหรือไม่?”

หม่าขู่เสวียนถูมือ หัวเราะหึหึ “ไม่เป็นไร ต่อให้ใช้ขอบเขตสามต้านทานขอบเขตสามจะไม่ถือเป็นการรังแกเจ้าเฉินผิงอัน แต่เห็นแก่ที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าจะพยายามยั้งมือ ไม่ให้พลาดพลั้งฆ่าเจ้าโดยไม่ทันระวังก็แล้วกัน ต่อให้คืนนี้เจ้าจะบาดเจ็บหรือพิการ ในอนาคตรอจนข้าก้าวขึ้นสู่ห้าขอบเขตบนแล้ว ศึกที่สุสานเทพเซียนก็มากพอจะทำให้เจ้าภาคภูมิใจได้แล้ว เพียงแต่ว่าข้าขอแนะนำอะไรเจ้าสักคำ เจ้าแค่แอบดีใจอยู่กับตัวเองก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาไปแพร่งพรายกับคนนอก เพราะหากข้าได้ยินข่าวเข้า ก็จะไม่เกรงใจเจ้าอีกต่อไป”

หม่าขู่เสวียนก้มหน้ามองคนวัยเดียวกันที่สีหน้ายังเป็นปกติ ในใจก็ให้หงุดหงิด โอ้โห รู้จักเรียนรู้ที่จะทำตัวสุขุมเยือกเย็นเสียด้วย ดูท่าการออกเดินทางครั้งนี้ กว่าจะเดินมาถึงแคว้นไฉ่อีก็คงมีประสบการณ์มาบ้าง ใบหน้าของหม่าขู่เสวียนยังคงมีรอยยิ้มประดับ บอกกับตัวเองว่าหลังจากโดนซัดไม่กี่หมัดจนหมอบกระแต ไอ้หมอนี่ก็คงรู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว

หม่าขู่เสวียนเตรียมจะลุกขึ้นกระโดดลงมาจากกำแพง เฉินผิงอันกลับเอ่ยก่อนว่า “ไปสู้กันข้างนอก”

หม่าขู่เสวียนที่นั่งยองอยู่บนกำแพงหงายตัวไปด้านหลังแล้วร่างก็หายวับไป ราวกับว่าหล่นลงไปบนถนนนอกกำแพง

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นก็แตะปลายเท้าเบาๆ กระโดดขึ้นไปบนกำแพง เห็นว่าหม่าขู่เสวียนเดินอยู่บนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน กระดิกนิ้วเข้าหาตน

เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันเหยียบลงบนพื้น หม่าขู่เสวียนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเกาหัว ปรายตามองไปยังกล่องกระบี่ด้านหลังเฉินผิงอัน ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เจ้าจะใช้อาวุธอะไรก็ได้ จะไม่ถือว่าเจ้าเอาเปรียบข้า”

เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลง ขยับไปข้างหน้าอย่าง ‘เชื่องช้า’ ด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราเขย่าขุนเขาทันที

น้ำลึกย่อมไร้เสียง

ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้ เก็บสีหน้าความคิดไว้ภายใน หวนกลับสู่ความเป็นธรรมชาติ หลักการแห่งหมัดก็คือเหตุผล

แม้มองดูเหมือนหม่าขู่เสวียนจะพูดจาสบายๆ เห็นเฉินผิงอันเป็นเพียงแค่กบใต้บ่อตัวหนึ่ง ทว่าเมื่อเขาสงบใจเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างเป็นทางการ พลังอำนาจทั่วร่างของเด็กหนุ่มชุดดำก็พลันเปลี่ยนไป มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดวางแนบไว้ตรงหน้าท้อง มืออีกข้างหนึ่งกางออกไพล่ไว้ด้านหลัง มือที่กำเป็นหมัดใช้ปลายเล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือเบาๆ ด้วยความเคยชิน

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากกันประมาณสิบกว่าก้าว

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท