จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามคำถามหนึ่ง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี เจ้าเสียใจกับการเลือกครั้งนั้นไหม?”
ชายฉกรรจ์ก้มหน้าดื่มเหล้าเงียบๆ หลังจากเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็กระตุกมุมปาก “คนที่ตายไปแล้ว ข้าไม่รู้ แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่เสียใจทีหลังแทบตายอยู่แล้ว”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มือดาบผู้มีความห้าวหาญเต็มอ้อมอกไม่ห้าวหาญเหมือนที่เคย
เฉินผิงอันไม่ได้พูดว่าจะอยู่ต่อหรือจากไปโดยตรง
ตอนนั้นที่พวกพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปศึกษาต่อที่ต้าสุย ทุกเรื่องต้องให้เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจก็เพราะเขาจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่มีพื้นที่เหลือให้เขาแสดงความขลาดกลัวและลังเล
ตอนนี้เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง เฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นเสมอไปอีกแล้ว
ส่วนจางซานเฟิงนั้นทำอะไรไม่ถูก เขาเหลียวซ้ายแลขวา เอ่ยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร?”
สวีหย่วนเสียจมอยู่ในภวังค์ของความเงียบ ยกเหล้าขึ้นดื่มคำแล้วคำเล่าไม่หยุด
เฉินผิงอันถามอีกครั้งว่า “หากอยู่ต่อแล้วเกิดเรื่อง พวกเราสามคนถูกบีบให้ต้องออกหน้า จะมีความเป็นไปได้มากหรือไม่ว่าแม้แต่ตัวเองก็อาจจะยังเอาตัวไม่รอด?”
สวีหย่วนเสียใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “กลัวก็แต่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีในนอกประสาน ใช้ความตั้งใจเอาชนะความไม่ตั้งใจ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า จะต้องคิดหาวิธีกำราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสองศาลเจ้าบุ๋นบู๊เสียก่อน แล้วนับประสาอะไรกับที่ดูท่าแล้วตอนนี้เทพบุ๋นบู๊ต่างก็ได้รับผลกระทบจากค่ายกลของบ้านโบราณและเทพภูเขาเถื่อน ศักยภาพจึงไม่เหมือนเดิมนานแล้ว ทำให้เกิดช่องโหว่ได้ง่าย ยังดีที่ก่อนหน้านี้ข้าเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมือง ดูจากควันธูป รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างและภาพปรากฏการณ์แล้วเหมือนว่าจะไม่แย่…”
เฉินผิงอันถาม “พวกเราสามารถไปหาเทพอภิบาลเมืองท่านนี้โดยตรงได้เลยหรือไม่? เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างชัดเจน? เจ้าเมืองกับแม่ทัพไม่เข้าใจความร้ายกาจของภูตผีปีศาจพวกนี้ อีกทั้งหากเจอเรื่องเข้าจริง เกรงว่าก็คงดีแต่จะใช้คำพูดเดิมๆ ในวงการขุนนางมาผลักภาระความรับผิดชอบ ทว่าเทพอภิบาลเมืองท่านนี้มีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเมืองอย่างใกล้ชิด ถ้าพูดไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าเมืองหลิวสามารถหลบเลี่ยงได้ แม่ทัพหม่าสามารถไม่เคลื่อนทัพให้ความช่วยเหลือ แต่เทพอภิบาลเมืองไม่มีทางหนีพ้นแน่นอน อีกอย่างหากภูตผีปีศาจมีวัตถุประสงค์บางอย่างจริงๆ ก็ต้องลงมือกับเทพอภิบาลเมืองในท้องที่ก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นเทพอภิบาลเมืองต้องใส่ใจมากกว่าพวกขุนนางในพื้นที่แน่ๆ”
ดวงตาของชายฉกรรจ์เคราดกเป็นประกาย ตบขาตัวเองฉาดใหญ่ กล่าวเสียงหนักว่า “ใช้ได้!”
นักพรตจางซานเฟิงหันมายิ้มและยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน
และเวลานี้เองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หลังจากเดินไปเปิดประตูเฉินผิงอันก็เห็นว่าบัณฑิตแซ่หลิ่วและคู่พี่น้องหลิวเกาหวาสามคนมีสีหน้าหวั่นวิตก หลิวเกาหวาพอนั่งแปะลงบนเก้าอี้ได้ก็เทเหล้าให้ตัวเองเต็มจอก “พวกเจ้าว่าแปลกหรือไม่ เมื่อครู่นี้รูปปั้นเทพสวรรค์ในศาลเทพอภิบาลเมืองปริร้าวไปเกินครึ่งร่าง แถมยังมีเลือดสดปริ่มออกมาไหลนองเต็มพื้น ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ด้านในศาลเทพอภิบาลเมืองยังมีแต่พวกงู หนู แมงป่องเต็มไปหมด น่าขยะแขยงยิ่งนัก ตอนนี้บิดาข้าได้ส่งคนให้ไปปิดประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองเอาไว้แล้ว พวกชาวบ้านจะได้ไม่ต้องตกอกตกใจ”
ชายฉกรรจ์เคราดกสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาหันไปมองสบตากับเฉินผิงอันและจางซานเฟิงโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เฉินผิงอันถามว่า “ศาลบุ๋นบู๊สองแห่งมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไหม?”
หลิวเกาหวาอึ้งตะลึง ก่อนส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้อนี้ข้าไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่มีอะไรน่าดู พวกเราคนในพื้นที่จึงไม่ค่อยชอบไปสถานที่สองแห่งนั้นเท่าไหร่”
เผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน หญิงสาวยังค่อนข้างกระอักกระอ่วน ได้แต่นั่งอยู่ข้างหลิ่วหลางซึ่งนั่งห่างจากเฉินผิงอันไกลที่สุด นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีครั้งหนึ่งตอนที่ยกน้ำชาไปส่ง บังเอิญได้ยินท่านพ่อคุยกับนักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่มาเป็นแขกในจวน บอกว่าถึงแม้ศาลเจ้าทั้งสองแห่งจะมีควันธูปเฟื่องฟู แต่กลับถือว่ามีแค่คนบูชาแต่ไม่มีคนนับถือ นักพรตเฒ่าเองก็จนใจไม่น้อย บอกว่าทางราชสำนักก็ทำอะไรไม่ได้ แคว้นไฉ่อีมีพื้นที่เพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่จะมีเทพแห่งขุนเขาอีกองค์หนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ แถมยังบอกด้วยว่าหากในเมืองแยนจือมีเมล็ดพันธ์บัณฑิตถือกำเนิดขึ้นสักคน และสามารถเข้าไปอยู่ในสำนักศึกษากวานหูได้ ไม่แน่ว่าฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ท่านพ่อข้าได้แต่ถอนหายใจส่ายหน้า พูดไปตามตรงว่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างที่ว่านี้จะมีในแคว้นไฉ่อีได้อย่างไร”
หลิ่วชื่อเฉิงสีหน้าฉงน กล่าวอย่างสงสัย “พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน? ศาลเจ้าบุ๋นบู๊ องค์เทพแห่งขุนเขาอะไรกัน? สำนักกวานหูข้าพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะตั้งอยู่ริมชายแดนของแคว้นป๋ายซานพวกเรา ข้ายังเคยเข้าไปเที่ยวเล่นอยู่หลายครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าพอจะถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตได้สักครึ่งตัวหรือไม่? แม่นางหลิว เจ้าวางใจเถอะ ทุกปีสำนักศึกษากวานหูจะรับสมัครบัณฑิตจากแคว้นป๋ายซานหนึ่งคน ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติพิเศษที่มีต่อแคว้นป๋ายซาน ไม่แน่ว่าวันใดข้าหลิ่วชื่อเฉิงอาจจะสามารถ…”
หลิวเกาหวากลอกตา “เจ้าอาจจะไม่ได้รับเลือกเสียมากกว่า ความรู้นิดๆ หน่อยๆ ในหัวของเจ้าไม่ได้มากไปกว่าข้าสักเท่าไหร่หรอก”
หลิ่วชื่อเฉิงขัดเคืองจึงไม่พูดอะไรอีก
ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผสมปนเปกันมั่วซั่วของเขา เอามาใช้กับสตรีได้ แต่ใช้กับบัณฑิตไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
พูดคุยกันอีกพักหนึ่ง สองพี่น้องก็จากไป ก่อนจะจากไป หลิวเกาหวานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนว่า “ด้วยเรื่องศาลเทพอภิบาลเมือง ฟังจากความหมายของท่านพ่อข้า นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเมืองแยนจือก็จะเริ่มมีการใช้กฎที่เข้มงวดแล้ว ออกจากเมืองง่าย เข้ามาในเมืองยาก แต่ไม่แน่ว่าวันมะรืนหากคิดจะออกจากเมืองก็ยังเป็นเรื่องยากไปด้วย ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงคิดจะจากไปวันนี้ พวกเจ้าสามคนล่ะ? บอกไว้ก่อนว่าหากมีการใช้กฎเข้มงวดจริงๆ แม่ทัพหม่าต้องยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ด้วยตัวเองเป็นแน่ ถึงเวลานั้นบุตรชายเจ้าเมืองอย่างข้าคงไม่มีความสามารถช่วยขอร้องแทนพวกเจ้าได้ หากจะไป อย่างช้าที่สุดก็คือวันพรุ่งนี้”
หลิ่วชื่อเฉิงพาพี่สาวของหลิวเกาหวาออกไปจากห้องแล้ว กำลังบอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ในห้องของจางซานเฟิง ยังดีที่หลิวเกาหวารออยู่ด้านข้าง คู่รักหนุ่มสาวจึงไม่กล้าแนบชิดคลอเคลียกันสักเท่าไหร่
หลังจากที่สวีหย่วนเสียปิดประตูลงก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ “มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าศาลเทพอภิบาลเมืองจะเกิดเรื่องแล้ว ดูท่าปีศาจนอกรีตกลุ่มนี้คงวางแผนไว้ใหญ่มากทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือจะตบะลดระดับลง ถูกคนใช้วิธีการต่ำช้าพันธนาการอยู่ในศาล หรือว่าถูกฆ่าตายไปแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะปรากฏอย่างเด่นชัด จวนเจ้าเมืองและฐานทัพที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงน่าจะเริ่มระแวดระวังกันแล้ว หากพวกเรานำข่าวไปบอกในเวลานี้ ระดับความน่าเชื่อถือจะเพิ่มขึ้นสูงมาก”
นักพรตหนุ่มมองมาทางเฉินผิงอัน ถามหยั่งเชิงว่า “ไม่อย่างนั้นพวกเราเอาข่าวไปบอกจวนเจ้าเมืองแล้วออกจากเมืองกันดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าและจอมยุทธ์ใหญ่สวีตามพวกหลิวเกาหวาไป ไปที่บ้านของข้า ข้าจะไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ยิ่งรู้ความจริงเร็วเท่าไหร่ ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจของพวกเรา”
จางซานเฟิงไม่สงสัยว่าทำไมถึงต้องแยกย้ายกันไป แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ไปสถานที่อันตรายอย่างศาลเทพอภิบาลเมืองแทนเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันอธิบายยิ้มๆ “เจ้ากับจอมยุทธ์ใหญ่สวี คนหนึ่งต้องชักดาบ ซึ่งทางที่ดีต้องรวดเร็วปานลมกรดเพื่อแสดงให้เห็นถึงมาดปรมาจารย์ของตน ส่วนอีกคนหนึ่งต้องบังคับให้กระบี่ไม้ท้อบินทะยานไปทั่ว เพื่อให้แสดงให้เห็นว่าตัวเองคือจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่เชี่ยวชาญด้านการปราบปีศาจกำจัดมารมากที่สุด ข้าจะไปทำอะไร? ไปรำหมัดให้ใต้เท้าเจ้าเมืองดูหรือไง?”
ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จางซานเฟิงคิดตามก็เข้าใจได้ จึงบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องไปหยิบยันต์สามแผ่นออกมาจากในห่อสัมภาระ สองแผ่นคือยันต์ลมร้ายจุดไฟที่มีระดับต่ำที่สุด แต่ใช้ได้ผลมากที่สุด หากมีลมปราณความชั่วร้ายหรือสิ่งสกปรกปรากฏขึ้น กระดาษยันต์สีเหลืองจะเผาไหม้ตัวเอง แผ่นที่อยู่ด้านล่างสุดคือยันต์เทพเดินทางที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ม้าเกราะ หากกรอกปราณวิญญาณหรือลมปราณที่แท้จริงเข้าไป ภายในหนึ่งก้านธูปจะสามารถห้อตะบึงได้เร็วเหมือนม้า เหมือนบินทะยานอยู่กลางสายลมโดยที่ไม่เปลืองแรงกายเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ เก็บยันต์ทั้งสามแผ่นไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยหยอกว่า “ไม่กลัวว่าข้าจะหนีไปดื้อๆ หรือ?”
นักพรตหนุ่มถลึงตาใส่เขา “เฉินผิงอัน เจ้าห้ามหนีเด็ดขาดเลยนะ!”
เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน
จางซานเฟิงหัวเราะชอบใจ
ถ้าเฉินผิงอันต้องแยกตัวไปคนเดียว ใช่ว่าจางซานเฟิงจะไม่เสียดายยันต์เทพเดินทางที่มีราคาสูงลิ่วชิ้นนั้น แต่สิ่งที่เขาเสียดายมากที่สุดคือต้องเสียเพื่อนดีๆ ไปคนหนึ่ง
คนทั้งสามแยกกันตรงประตูหน้าโรงเตี๊ยม สวีหย่วนเสียพาจางซานเฟิงไล่ตามหลิวเกาหวาไปที่จวนเจ้าเมืองซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
เฉินผิงอันไปทางเดียวกับบัณฑิตหลิ่วที่ต้องออกจากเมืองทางทิศตะวันออกพอดี เพียงแต่ว่าคนหนึ่งตรงไปที่ประตูตะวันออก อีกคนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางศาลเทพอภิบาลเมืองที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ไม่มีแม่นางหลิวอยู่ด้วย บัณฑิตหลิ่วก็ไม่เหลือภาระทางจิตใจของความเป็นบัณฑิตอีกต่อไป เขาก้มหัวค้อมเอวติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “คุณชายเฉินฺ? เจ้าใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ในตำนานหรือไม่? แม้ว่าจะอายุยังน้อย เพิ่งออกจากบ้านมาหาประสบการณ์ แต่เพราะพรสวรรค์ดีเกินไป มีชาติกำเนิดจากตระกูลที่มีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นแท้จริงแล้วเจ้าก็คือยอดฝีมือที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในยุทธภพ? ฝ่ามือที่ตบมาในคืนนั้นถึงได้ดูเป็นมายาล่องลอย ทำให้ข้ามองไม่เห็นว่าเจ้าลงมืออย่างไร ไม่มีแม้แต่สายลมพัดโชย ถือว่าอยู่ในขอบเขตที่มหัศจรรย์แล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ขอแค่เป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์ ต่อยเจ้าหนึ่งหมัด เจ้าก็มองไม่เห็นหรอกว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร”
บัณฑิตหลิ่วรู้สึกเหมือนได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง “เป็นไปไม่ได้! คุณชายเฉิน เจ้าต้องเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านร้านตลาดอย่างแน่นอน ถ้าให้ข้าเดานะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเซียนกระบี่แคว้นไฉ่อีที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นคนนั้นก็ได้ ไม่อย่างนั้นใครจะพกกระบี่สองเล่มออกจากบ้านบ้างล่ะ? หนึ่งเล่มในนั้นก็คือ ‘ตะวันสว่าง’ ที่เซียนกระบี่ท่านนั้นเคยพกตอนท่องอยู่ในยุทธภพเมื่อครั้งอดีตใช่หรือไม่? ขอข้าจับหน่อยสิ?”
เฉินผิงอันค่อนข้างจะนับถือในจินตนาการอันบรรเจิดของคนผู้นี้ ด้วยไม่อยากเถียงกับเขาเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น จึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ใช่ๆๆ คือตะวันสว่าง เจ้าต้องระวังให้มาก ด้านในเต็มไปด้วยปราณกระบี่แหลมคม ขอแค่เจ้าชักมันออกจากฝัก ก็จะถูกปราณกระบี่บาดผิวเนื้อให้ปริแตก เจ้ากลัวหรือไม่?”
“ไม่กลัว”
หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้า ทว่าสองมือที่เดิมทีคิดจะลูบคลำกล่องกระบี่กลับย้ายไปไพล่หลังตัวเองแต่โดยดี
หลังจากที่คนทั้งสองแยกทางกัน หลิ่วชื่อเฉิงก็เดินตามทางไปยังประตูเมืองต่ออีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงหอเรือนป้อมกำแพงเมือง เขาก็คือเทพเซียนเฒ่าที่แสดงบนแท่นสูงใจลางทะเลสาบ เวลานี้ข้างกายของเทพเซียนเฒ่ายังมีแม่ทัพหม่าที่สวมเสื้อเกราะ รวมไปถึงคนแปลกหน้าสองคนที่อายุไม่น้อยยืนอยู่ เทพเซียนผู้เฒ่ากำลังชี้นิ้วเข้ามาในตัวเมือง
หลิ่วชื่อเฉิงจุ๊ปากพูด “นำโจรเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัวแท้ๆ”
อีกฝั่งหนึ่ง เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็มาถึงลานกว้างนอกศาลเทพอภิบาลเมือง เขาเพ่งสายตามองไป เพราะว่าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณจึงมองเบาะแสด้านภาพปรากฎการณ์อะไรไม่ออก แต่ลางสังหรณ์ของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวบอกกับเฉินผิงอันว่า ศาลเทพอภิบาลเมืองที่มีกำแพงสีแดงกระเบื้องเขียว หลังคาเป็นแก้วมังกรเพลิงแห่งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความเงียบสงบสันติสุขก่อนหน้านี้ กลับมีกลิ่นคาวเลือดและความมืดมนหนักอึ้งเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เปรียบเปรยได้กับมีคนโยนท่อนฟืนลงไปบนพื้นดินที่มีแต่หิมะขาวโพลน คนธรรมดาที่เดินผ่านทางมาอาจไม่สังเกต แต่ขอแค่เป็นคนที่สายตาดีพอย่อมต้องมองเห็น อีกทั้งยังค่อนข้างจะสะดุดตาด้วย
ตรงประตูของศาลเทพอภิบาลเมืองมีทหารยืนเฝ้าอยู่ ไม่อนุญาตให้คนเข้าไปปักธูปกราบไหว้แล้ว
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กวาดตามองไปรอบด้าน หากำแพงสูงมุมที่ค่อนข้างเงียบสงบแล้วเดินไปใกล้เงียบๆ ขณะเดียวกันก็หยิบยันต์ลมร้ายจุดไฟแผ่นหนึ่งออกมา
เมื่อไปถึงตรงนั้นก็ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คน ดีดปลายเท้าหนึ่งที เฉินผิงอันก็กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง พลิกตัวลงไปด้านใน พอสองเท้าสัมผัสพื้น แผ่นยันต์ก็ลุกไหม้ติดไฟ
ภาพนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาตรวจสอบจริงเท็จอีกแล้ว มั่นใจได้เลยว่าเป็นฝีมือของปีศาจร้าย
เฉินผิงอันใช้มือหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ยกเหล้าต้มขึ้นดื่มอึกใหญ่
มือหนึ่งอ้อมผ่านด้านหลังศีรษะไปตบกล่องไม้ที่อยู่ด้านหลัง กระบี่ไม้ไหวถูกตั้งชื่อว่าปราบมาร ส่วนกระบี่เล่มที่ช่างหร่วนสร้างขึ้นถูกตั้งชื่อชั่วคราวว่ากำจัดปีศาจ
ไม่ว่าเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจะไม่เห็นด้วย บอกว่าเป็นชื่อที่ใช้กันเกร่อ โหลจนแทบจะทนรับไม่ได้อย่างไร แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าตั้งชื่อกระบี่สองเล่มนี้ว่ากำจัดปีศาจปราบมารนั้นดีมากแล้ว
ในเมื่อตั้งชื่อดีขนาดนี้ จะทำผิดต่อชื่อดีๆ ได้อย่างไร
เฉินผิงอันกระทืบงูพิษตัวหนึ่งที่พุ่งพรวดเข้ามาเบาๆ มองดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อันที่จริงงูพิษตัวนั้นร่างเละเทะอยู่นานแล้ว
ความสนใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันยังอยู่ที่รูปปั้นองค์เทพหลากสีของขุนนางสวรรค์สองตนที่ตั้งตระหง่านอยู่นอกประตูใหญ่สีชาด หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดสดที่หลั่งรินไม่หยุด และยังมีงูพิษสีสันงดงามจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมพัน เลื้อยกระดุบกระดิบ ยังมีแมงป่องขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือที่ยืนอยู่บนศีรษะหรือไม่ก็แขนของเทวรูป ทั่วร่างของมันเป็นสีดำสนิทดุจหมึก ท่าทางอวดเบ่งบารมี และยังมีหนูมุดเข้ามุดออกหน้าท้องและซีกหน้าของเทวรูปที่ปริแตกอย่างกำเริบเสิบสานสุดขีด
เฉินผิงอันหวนนึกถึงสภาพอเนจอนาถของสุสานเทพเซียนที่บ้านเกิด ไฟโทสะก็พุ่งสูงขึ้นมาสามจั้งทันใด เขาเดินเลียบไปตามมุมกำแพง พยายามปล่อยสมองของตัวเองให้โล่งว่างปลอดโปร่ง ลมหายใจนิ่งสงบ เพราะการออกหมัดในแต่ละครั้งจะแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อย รวมไปถึงลมปราณที่แท้จริงทั่วร่างจะหนาหรือบาง และจะโคจรเร็วหรือช้าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกจะมีมากหรือน้อย
เฉินผิงอันเดินพลางพูดกับตัวเองในใจว่า “เฉินผิงอัน หากสู้ไม่ไหวก็ต้องหนีไปให้ได้เร็วที่สุด!”
——————————