“สวยจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นของชั้นเยี่ยมที่ต้องจ่ายด้วยเหรียญเงินเกล็ดหิมะแปดสิบเหรียญ ก็แค่ขี้ขลาดไปสักหน่อย ข้าอุตส่าห์ยอมจ่ายด้วยเงินสองร้อยเกล็ดหิมะก็ยังไม่กล้าช่วยสร้างใบหน้าปลอมที่คล้ายเฮ้อเสี่ยวเหลียงสักเจ็ดแปดส่วนให้ข้า” สตรีแต่งงานแล้ววางกระจกลง จากนั้นก็ฉีกหนังหน้าออก เผยให้เห็นเป็นใบหน้าของหญิงชราที่มีกระเต็มหน้า
ปากของชายฉกรรจ์มันแผล็บ หัวเราะครึกครื้น “นั่นสิๆ หากสามารถเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือซูเจี้ยสักเจ็ดแปดส่วน อย่าว่าแต่เงินเกล็ดหิมะสองร้อยเหรียญเลย ห้าร้อยเหรียญ ข้าก็เต็มใจจ่าย ได้กอดเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือเทพเธิดาซูเจี้ยกลิ้งผ้าห่มตั้งแต่เช้าจรดเย็น จุ๊ๆๆ นั่นมันชีวิตของเทพเซียนแท้ๆ ข้าผู้อาวุโสไม่หลับไม่นอนทั้งคืนเลยก็ยังได้!”
สตรีแต่งงานแล้วมองค้อนชายฉกรรจ์ พูดเรื่องเป็นการเป็นงานต่ออีกครั้ง “เซียนกระบี่น้อยของสำนักโองการเทพแซ่ฟู่คนหนึ่งก็เข้าร่วมกับพรรคหลิงซีเดินทางลงใต้มาด้วย อายุไม่มาก แต่วางท่าใหญ่โตยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก ระหว่างที่เดินทางลงใต้ บุรพาจารย์สองท่านของพรรคหลิงซีแทบจะยกแม่นางน้อยคนนั้นขึ้นหิ้งบูชา”
ผู้เฒ่าเจ้าของร้านวางตะเกียบลง สีหน้าเคร่งเครียด “จริงรึ?”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้า “หากไม่เป็นเช่นนี้ ต่อให้พวกเราสองสามีภรรยาคิดจะเลิกให้ความร่วมมือก่อนกำหนด แต่แยกย้ายกับพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร? เรื่องที่ทำลายผู้อื่นแล้วไม่ส่งผลดีต่อตัวเอง พวกเราไม่คิดจะทำหรอกนะ หากทำการค้าอย่างสะเพร่า กิจการก็ย่อมไม่ยั่งยืน”
ผู้เฒ่าถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญ “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนของสำนักโองการเทพเข้ามาร่วมด้วย? มีคนของพวกเจ้าแฝงตัวเป็นสายลับอยู่ในพรรคหลิงซีรึ? แถมยังมีลำดับศักดิ์ไม่ต่ำด้วย?”
สตรีแต่งงานแล้วย้อนถาม “แปลกมากนักหรือ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม “ที่แท้เจ้าก็ทำการค้าไปถึงบนภูเขาแล้ว นับถือๆ”
ชายฉกรรจ์โยนกระดูกน่องไก่ลงบนพื้น เอ่ยแทรกขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ต้องทำไปถึงบนยอดเขาต่างหากถึงจะถือว่าร้ายกาจ กิจการเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเราจะนับเป็นอะไรได้”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “มารเฒ่าหมี่ เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริง แต่บอกกับเจ้าตามตรง หากเจ้ายืนกรานจะมัดตัวเองอยู่กับเซียนหลิวหลี พวกเราสองสามีจะไม่พูดอะไรมากอีก กินข้าวเสร็จแล้วจะไปทันที งานทางฝ่ายของพรรคหลิงซีก็ถือว่าพวกเราได้กำไรมาก้อนใหญ่แล้ว หากเจ้ายินดีจะร่วมหัวจมท้ายไปกับพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็วางแผนให้ดี หลังจากสลัดเซียนหลิวหลีทิ้งไปแล้วก็เปิดค่ายกลก่อนกำหนด ฉวยโอกาสที่ผู้คนกำลังวุ่นวายรีบฉกสมบัติอาคมชิ้นนั้นมาแล้วหนีไปทันที”
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงลังเลเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์เช็ดปาก “สังหารเซียนหลิวหลี ไม่เพียงแต่ถ้วยหลิวหลี (ถ้วยแก้ว) ของเขาที่จะเป็นของเจ้า สมบัติทุกชิ้นของสหายเจ้าคนนี้ เจ้าเอาไปได้เท่าไหร่ก็เอาไป แต่ตราประทับชิ้นนั้นต้องเป็นของพวกเรา”
มารเฒ่าหมี่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “รอเดี๋ยว”
เขาหันไปมองลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดคนนั้น “โยนเหรียญทองแดงคำนวณดูสิว่าจะดีหรือร้าย”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ปากแดงฟันขาว เขายิ้มสดใส ควักเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งมากำไว้ในฝ่ามือ นั่งยองบนพื้น เงยหน้าถาม “เหล่าหมี่ มีผลประโยชน์ไหม?”
ผู้เฒ่ากล่าวเรียบๆ “ทุกคืนหลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องสวมชุดของสตรีอีกแล้ว”
ลูกศิษย์อีกสองคนสีหน้าเป็นปกติ พวกเขาหันมายิ้มให้กัน เด็กหนุ่มหน้าแดงนิดๆ พูดเขินๆ ด้วยเสียงนุ่มหวาน “นี่จะถือเป็นผลประโยชน์ได้อย่างไร เหล่าหมี่ท่านเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีไหม?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าส่วนหนึ่ง”
เด็กหนุ่มที่น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม “ได้ผลประโยชน์แล้ว ศิษย์ยังจะมีชีวิตได้ใช้มันหรือไม่?”
มารเฒ่าหมี่ปรายตามองลูกศิษย์สองคนที่เข้ามาอยู่ในสำนักของเขานานแล้วด้วยสายตาเย็นชา พยักหน้าให้เด็กหนุ่ม “มี”
เด็กหนุ่มยิ้มหวาน เขากัดปลายนิ้วของตัวเองแล้วใช้ปลายนิ้วปาดคราบเลือดลงไปบนเหรียญทองแดง สุดท้ายถึงวางลง เพ่งมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงระคนยินดี “มหามงคล!”
มารเฒ่าหมี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก หันไปมองสองสามีภรรยา “ข้าจะให้ลูกศิษย์ไปเปิดค่ายกลล่วงหน้า พวกเราสามคนช่วยกันรับมือเซียนหลิวหลี รีบรบรีบจบ เป็นอย่างไร?”
สายตาของสตรีแต่งงานแล้วค่อยๆ ดึงกลับมาจากบนใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม นางอารมณ์ดีอย่างมาก “ได้สิ”
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ถามด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “มารเฒ่าหมี่ เจ้าเป็นเพื่อนกับเซียนหลิวหลีมาร้อยกว่าปี จะตัดใจลงมือได้ลงจริงๆ หรือ?”
มารเฒ่าหมี่ใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมา “มอบถ้วยหลิวหลีซึ่งเป็นของที่เซียนท่านหนึ่งทิ้งไว้ให้เป็นของรางวัล โดยบอกให้เจ้าฆ่าเมียตัวเอง เจ้าจะทำหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ไม่พอใจ
ทว่าสตรีแต่งงานแล้วกลับไม่เสียใจแม้แต่น้อย นางควักกระจกออกมาส่องซ้ายส่องขวาอีกครั้ง “หากในสายตาของเจ้าคนใจดำผู้นี้ ข้ามีค่าเทียบเท่ากับถ้วยหลิวหลีหนึ่งใบ ชีวิตนี้ของข้าก็ไม่ถือว่าเสียเปล่าแล้ว”
……
นอกศาลเทพอภิบาลเมือง เด็กสาวยืนตัวสั่นอยู่ตรงประตูหลังของตำหนักใหญ่ชั้นที่หนึ่ง นางถึงขั้นไม่กล้ายืนอยู่บนลานเล็กระหว่างตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ย
เพราะในตำหนักเทพอธิบาลเมืองที่อยู่ด้านหน้ากำลังเกิดการต่อสู้รุนแรงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนในสายตานางถูกเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินที่ธาตุไฟเข้าแทรกเหยียบกลางหลัง ทว่าท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มกลับร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะเขาสามารถยืดเอวขึ้นตรงได้ในเสี้ยววินาที บีบให้เทพอภิบาลเมืองถอยหลังไปสองก้าว หลังจากนั้นเทพอภิบาลเมืองร่างทองของแคว้นไฉ่อีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็ระเบิดพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจ เขาสาวเท้าก้าวเร็วๆ ราวกับบินไล่ตามเซียนกระบี่ที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังอยู่ในตำหนักใหญ่ที่กว้างขวางอย่างว่องไว
ระหว่างนี้เซียนกระบี่หนุ่มยังออกท่าหมัดประหลาดยี่สิบเอ็ดครั้งเหมือนกับตอนที่ต่อยทำลายค่ายกล ทั้งๆ ที่สามารถต่อยให้ทองคำบนร่างของเทพอภิบาลที่ถูกมารร้ายเข้าสิงแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยร่วงกราวอยู่ในตำหนักใหญ่ เทวรูปดินเผาเกิดรอยปริร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน มีควันดำผุดออกมาเป็นเส้นๆ ได้แล้ว แต่พอเทพอภิบาลเมืองร่างทองคำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง สร้างตราประทับฝ่ามือประหลาดที่เด็กสาวไม่รู้จัก ผงสีทองไม่เพียงแต่กลับมารวมตัวกันบนพื้นผิวของเทวรูป แม้แต่รอยแตกร้าวก็ยังประสานตัวหายดีได้ดังเดิมในเสี้ยววินาที
นอกจากดวงตาทั้งคู่ของเทพอภิบาลเมืองที่เป็นสีดำดุจหมึก แผ่กลิ่นอายอึมครึมน่าสะพรึงกลัว หากประสานสายตากับเขาจะทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลัง แต่นอกจากนี้แล้ว เขาก็ยังมีร่างสีทองเปล่งประกาย เจิดจรัสบาดตา เรือนกายสูงสามจั้ง ทุกหมัดที่ต่อยลงไปล้วนกระแทกให้กำแพงยุบถล่ม ทุกเท้าที่กระทืบลงไปล้วนทำให้พื้นอิฐปริแตก ราวกับองค์เทพผู้เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจจากชั้นฟ้าที่เยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์เพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร
เด็กสาวกระพรวนเงินมีแต่ความกังวลใจ เทพอภิบาลเมืองร่างทองที่มองดูเหมือนไร้เทียมทานขนาดนี้ จะมีใครเอาชนะได้จริงๆ หรือ?
นางเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ถึงไม่เรียกกระดาษยันต์สีทองสองแผ่นนั้นออกมา? หรือแม้แต่กระบี่บินก็ยังไม่ยอมเรียกใช้? กลับเอาแต่ต่อสู้ประชิดตัวอยู่กับเทพอภิบาลเมือง ท่าหมัดถูกเปลี่ยนไปหลายท่าแล้ว และมีหลายครั้งที่นางเห็นกับตาตัวเองว่าเทพเซียนสะพายกระบี่ถูกต่อยจนปลิวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ฟังจากเสียงน่าจะถูกเทพอภิบาลเมืองร่างทองต่อยอัดเข้าไปในกำแพง ภายหลังเทพอภิบาลเมืองจึงดึงเสาคานขนาดใหญ่ต้นหนึ่งออก ไม่สนใจว่าตำหนักเทพอภิบาลเมืองจะถล่มลงมา ใช้มันเป็นอาวุธที่เดี๋ยวก็ฟาดเดี๋ยวก็ตวัดเหวี่ยงอย่างบ้าคลั่ง
เทพเซียนตีกัน แผ่นดินไหวภูเขาสั่นคลอนอย่างแท้จริง
เด็กสาวที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ แอบท่องในใจว่าสู้ๆ สู้ๆ
แม้ว่าตอนนี้เทพเซียนผู้เฒ่าจะตกเป็นรองชั่วคราว แต่ก็ต่อสู้ได้อย่างองอาจห้าวหาญ
ยกตัวอย่างเช่นเขายกแขนสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ แข็งใจต้านรับเสาคานต้นใหญ่ที่ตีแสกหน้าลงมา เสาคานหักท่อนเสียงดังสนั่น แต่เข่าทั้งสองข้างของเขาก็ทรุดจมลงไปในพื้นดินทันที
เด็กสาวรีบหลับตาลงข้างหนึ่ง เบี่ยงหน้าออกไปเพราะทนมองไม่ไหว ในใจคิดว่าต้องเจ็บมากแน่ๆ
แล้วก็เป็นอีกครั้ง เขาถูกเตะออกมานอกตำหนักใหญ่ ร่างทั้งร่างกลิ้งตลบอยู่กลางลานกว้างหลายสิบครั้ง เทพอภิบาลเมืองร่างทองยืนอยู่หลังธรณีประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา กระดิกนิ้วให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันลุกขึ้นได้ก็พุ่งตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ตำหนักเทพอภิบาลเมืองก็ถูกเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเหวินรื้อถอนจนเละ เสาใหญ่ห้าหกต้นถูกถอนออก ตำหนักใหญ่ที่ผ่านลมผ่านฝนมานานหลายร้อยปีถล่มครืน ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน เทพอภิบาลเมืองดึงเสาใหญ่สีแดงสดต้นสุดท้ายออก ผนังฝั่งซ้ายมือไม่ได้แตกพังไม่เหลือชิ้นดีอย่างผนังฝั่งขวา แต่ล้มครืนออกไปด้านนอกทั้งแถบ เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านบนของผนัง ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขาดวิ่นไปนานแล้ว เขาหันหน้ามาถ่มเลือดคำหนึ่งทิ้ง
เฉินผิงอันมองเทพอภิบาลเมืองตนนี้เป็นหม่าขู่เสวียนคนที่สอง อาศัยการต่อสู้ครั้งใหญ่มาขัดเกลาเรือนกายและจิตวิญญาณของตัวเอง
อาศัยแค่สองมือ น่าจะเอาชนะไม่ได้
ราวกับว่าเมื่ออยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง ไม่ว่าจะทุบตีหรือทำร้ายอย่างสาหัสรุนแรงแค่ไหน เทวรูปรูปนั้นก็สามารถกลับคืนสู่สภาวะสูงสุดได้ทุกครั้ง นี่มันไร้เหตุผลเกินไป
หางตาของเฉินผิงอันเหลือบไปมองกองซากปรักหักพัง ย้อนหนึ่งถึงตำแหน่งที่เทพอภิบาลเมืองยืนอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ในใจก็พลันกระจ่างแจ้ง
การที่วัตถุฟางจั้งถูกขนานนามให้เป็นถ้ำสวรรค์ขนาดจิ๋วก็เพราะว่ามีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน
ส่วนอริยะของฝ่ายต่างๆ ก็มีคำเรียกว่าเขตแดน ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ฉีและช่างหร่วนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู และขอแค่อริยะลัทธิขงจื๊ออยู่ในสำนักศึกษาหรือสถานศึกษา อริยะสำนักการทหารอยู่ในโบราณสถานของสนามรบโบราณ ฯลฯ เวลาที่พวกเขาต่อสู้กับคนอื่นก็มักจะได้เปรียบในด้านฟ้าอำนวยดินช่วยอวยพรเสมอ
คิดดูแล้วเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือผู้นี้ก็น่าจะใช้หลักการเดียวกัน
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาลองล่อหลอกให้เทพอภิบาลเมืองออกจากตำหนักเทพอภิบาลเมืองดู หากเป็นไปได้ หลอกพาเขาให้ออกไปจากพื้นที่ของศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ย่อมดีที่สุด
แต่เรื่องราวบนโลกมักไม่เป็นดั่งใจปรารถนา แม้ว่าเทพอภิบาลเมืองร่างทองจะถูกมารเข้าสิง สติสัมปชัญญะขุ่นมัว แต่ด้วยสัญชาตญาณ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมไปจากที่ตั้งของศาลเทพอภิบาลเมืองซึ่งกลายเป็นซากปรักไปแล้วแห่งนี้ ต่อให้เฉินผิงอันยอมให้ตัวเองบาดเจ็บ ถูกโยนออกไปนอกตำหนักเทพอภิบาลเมืองเพื่อหลอกล่ออีกฝ่ายถึงสองครั้ง แต่อย่างมากสุดเทพอภิบาลเมืองร่างทองก็แค่ใช้เสาคานที่หักท่อนมาเป็นอาวุธทุ่มกระแทกเข้าใส่เฉินผิงอันอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เขายังต้องรีบไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อเปิดโปงผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
และความสะใจอย่างเต็มคราบที่แท้จริงของการต่อสู้ครั้งนี้ก็ได้ระเบิดออกมาอย่างเต็มที่ในนาทีนี้
เฉินผิงอันปล่อยหมัดไม่หยุด ขณะเดียวกันชูอีกับสืออู่กระบี่บินที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็บินพรวดเข้าไปหาเทพอภิบาลเมืองร่างทอง
เหนือซากปรักของตำหนักเทพอภิบาลเมือง ชูอีสีขาวหิมะ สืออู่สีเขียวมรกต กระบี่บินสองเล่มต่างก็ร่วมมือกับเฉินผิงอันบินวนไปรอบเทวรูปเทพอภิบาลเมืองร่างทองในขณะที่เฉินผิงอันคอยปล่อยหมัด
เด็กสาวกระพรวนเงินที่มองดูอยู่ถึงกับตาพร่าลาย ปากอ้าตาค้าง
สุดท้ายเฉินผิงอันเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งออกมา จ่ายค่าตอบแทนด้วยการยอมให้ยันต์สีทองแผ่นหนึ่งหม่นหมองหมดประกายแสงลงอย่างสิ้นเชิง ถึงสามารถสยบเขาไว้ภายใน ร่างทองปริร้าวทุกอณูส่วน สุดท้ายหลงเหลือเพียงเศษชิ้นส่วนสีทองหลายสิบชิ้น รวมไปถึงกล่องไม้สีเขียวกล่องนั้น
เฉินผิงอันเก็บของเหล่านั้นมาเงียบๆ ลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กสาวแล้วถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าชื่อว่าอะไร?”
เด็กสาวส่งเสียงตอบอย่างเหม่อลอย “หลิวเกาซิน?”
เฉินผิงอันถาม “เกาซิ่ง?”
เด็กสาวหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยอธิบายว่า “เกาที่แปลว่าจุดสูง ซินที่แปลว่าอบอุ่นและหอมหวน ไม่ใช่ซิ่งจากเกาซิ่งที่แปลว่าดีใจ”
ตอนที่พ่อแม่ตั้งชื่อกับนาง มีความนัยว่าในอนาคตนางจะได้เป็นไม้เด่นงดงาม อีกทั้งยังอยู่จุดสูงสุดและส่งกลิ่นหอมหวน
ใบหน้าของเด็กสาวงดงาม จิตใจซื่อบริสุทธิ์
นางไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่อยู่ตรงหน้าเพิ่งต่อสู้กับเทพอภิบาลเมืองร่างทองเสร็จ กำลังต้องการเวลาในการปรับลมปราณ
เดิมทีเฉินผิงอันอยากพูดว่าชื่อนี้ตั้งได้ดีจริงๆ เรียบง่ายแต่สง่างาม เหมือนชื่อของตนอย่างมาก
แต่ผลกลับกลายเป็นว่าชื่อของอีกฝ่ายไม่ใช่ ‘เกาซิ่ง’ เขาจึงได้แต่กลืนคำพูดกลับลงคอ
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ถามเบาๆ ขึ้นมาอย่างลังเล “เจ้าคงไม่ใช่น้องสาวของหลิวเกาหวาหรอกกระมัง?”
ดวงตาเด็กสาวเป็นประกาย “ทำไม ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนก็รู้จักพี่ชายข้าด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ดีเลย ข้าต้องไปที่จวนเจ้าเมืองพอดี ไปบอกกับบิดาเจ้าว่าเทพเซียนเฒ่าผู้นั้นต่างหากที่เป็นตัวการร้ายที่แท้จริง”
คืนนั้นเด็กสาวไม่ได้ไปชมเรื่องสนุกที่แท่นสูงใจกลางทะเลสาบ จึงไม่เคยเห็นหน้าเทพเซียนผู้เฒ่ากับผีสาวชุดสีสันสดใสมาก่อน เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปบนกำแพงสูงแล้ว เด็กสาวรีบตามหลังไปติดๆ คนทั้งสองทยอยกันไต่ผนังกระโดดขึ้นไปบนชายคา แม้ว่าเด็กสาวจะมีเรือนกายที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้วเช่นกัน แต่อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับเฉินผิงอันได้ เพียงไม่นานนางก็หอบหายใจฮักๆ เฉินผิงอันจึงหยุดยืนอยู่บนหลังคาที่ชายคาตวัดโค้งแห่งหนึ่ง ให้นางได้พักผ่อนชั่วครู่
หลิวเกาซินเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เซียนกระบี่ผู้เฒ่า ทำไมท่านไม่ขี่กระบี่ล่ะ สามารถพาข้าทะยานลมไปยังบ้านข้าด้วยกัน จะได้ไปถึงเร็วขึ้นอีกหน่อย”
เรียกเซียนกระบี่มั่วซั่วก็ยังพอว่า แต่นี่ยังเติมคำว่า ‘ผู้เฒ่า’ เข้ามาด้วย?
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เลยเลือกไม่สนใจนางเสียเลย รอจนลมหายใจของเด็กสาวสงบลงแล้วก็เริ่มค้อมตัวก้มหน้าก้มตาวิ่งนำผ่านหลังคาแต่ละหลังไปอีกครั้ง
เด็กสาวคิดในใจตัวเองว่าเทพเซียนผู้เฒ่า เซียนกระบี่ผู้นี้ ไม่เดินบนเส้นทางปกติจริงๆ
แถมยังนิสัยดีมากอีกด้วย!
ก่อนหน้านี้ตอนที่คุยกัน นางยังถือโอกาสแอบมองเขาอยู่หลายครั้ง หน้าตานับว่าดีไม่น้อย ดูไม่แก่เลยสักนิดเดียว!
—–