กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 231.2 เมฆดำกดทับเหนือเมือง

บทที่ 231.2 เมฆดำกดทับเหนือเมือง

มารเฒ่าหมี่หัวเราะหึหึ “สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ! เจ้าเฒ่าเฉินอดทนไม่ไหวจนต้องไปตรวจสอบที่นั่นด้วยตัวเอง เขามันพาตัวมาติดกับดักชัดๆ!”

สายตาของสตรีแต่งงานแล้วเป็นประกาย จ้องเขม็งไปยังถ้วยแก้วใบเล็กที่อยู่ในมือของเซียนหลิวหลีกลางภาพ “นั่นก็คือถ้วยหลิวหลีมรดกของเซียนผู้หนึ่งหรือ?”

มารเฒ่าหมี่พลันกำฝ่ามือเข้าหากัน ไอเลือดที่อยู่ใจกลางฝ่ามือกลุ่มนั้นลอยกลับเข้าไปในร่าง หันหน้ามาส่งยิ้มเย็นชา “ทำไม คิดจะแย่งกับข้างั้นรึ?”

ริ้วคลื่นในดวงตาของสตรีแต่งงานแล้วไหลวูบวาบ ยิ้มหวานกล่าวว่า “บ่าวหรือจะกล้า”

มารเฒ่าหมี่ไม่สนใจท่าทางเสแสร้งของสตรีแต่งงานแล้ว ในใจของเขารีบชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ตาเฒ่าเฉินต้องการในครั้งนี้ แรกเริ่มคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ใต้เปลือกตาของเทพอภิบาลเมืองร่างทอง

ปากเขาบอกว่าอยากได้สาวงามมีชีวิตชีวาบนภาพฝาผนังซึ่งผ่านการรมควันธูปมานานหลายร้อยปี จึงบ่มเพาะให้เกิดกลิ่นอายแห่งเซียนอย่างแท้จริง

อีกอย่างหลังจากที่เขาเก็บวิญญาณหญิงสาวจากในสุสานไร้ญาติมาได้ก็สามารถเอาภาพฝาผนังนี้มาเป็นที่พักพิงของดวงวิญญาณพวกนาง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถหล่อเลี้ยงให้เกิดวัตถุหยินผีสาวอย่างสตรีสวมชุดสีสันสดใสได้อีกหลายคน

เวลานี้มารเฒ่าหมี่ถึงได้กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

ไม่แน่ว่า…ตราประทับที่มาจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ชิ้นนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในจวนเจ้าเมืองหรือจวนเจ้า แต่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองมาตั้งแต่แรก!

และสหายเก่าแก่ของเขาคนนี้ก็คิดจะฮุบผลประโยชน์ทั้งหมดไว้คนเดียวมาตั้งแต่ต้น ไม่คิดจะทิ้งตราประทับที่พวกเขาอาจารย์และศิษย์ต้องวางแผนอย่างยากลำบากหลายปีเพื่อให้ได้มันมาครองอย่างที่ได้เคยตกลงกันไว้

ตาเฒ่าเฉิน เซียนหลิวหลีตัวดี!

สหาย ในเมื่อเจ้าไม่มีคุณธรรมก็อย่าว่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจ!

……

ท้องฟ้าเหนือเมืองแยนจือที่เดิมทีเป็นสีฟ้าสดใสเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นมืดสลัวอึมครึม เมฆดำล่องลอยมาจากสี่ทิศกดทับปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ผู้คนรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข

รถม้าคันหนึ่งขับออกไปจากประตูใหญ่ทางทิศใต้ของเมืองอย่างปลอดภัย กุนซือเฒ่ามือหนึ่งกุมเชือกบังคับม้า อีกมือหนึ่งหยิบสุรารสดีหนึ่งกาที่เตรียมมาทำท่าจะยกขึ้นดื่ม แต่กลับมองไปเห็นว่าข้างถนนทางหลวงที่ห่างออกไปไม่ไกลมีบัณฑิตยากจนคนหนึ่งกวักมือยิกๆ ปากก็ตะโกนไปด้วย “เหล่าซ่งๆ ข้าคือเพื่อนของคุณหนูใหญ่พวกเจ้า นางอยู่บนรถม้าไหม?”

ผู้เฒ่าร่างผอมสูงใจกระตุก หรือว่าปีศาจหมายตาจวนเจ้าเมืองมานานแล้ว? ตัดสินใจว่าจะตัดรากถอนโคน? แม้แต่คุณชายกับคุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ยอมปล่อยไป?

หญิงสาวรีบเลิกผ้าม่านขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “ท่านอาซ่ง นั่นเพื่อนข้าเอง เขาชื่อหลิ่วชื่อเฉิง เป็นบัณฑิตที่เดินทางมาจากแคว้นไป๋ซาน”

จากนั้นอีกศีรษะหนึ่งก็ลอดตามมา ถามอย่างสงสัย “หลิ่วชื่อเฉิง เจ้าออกจากเมืองไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมเพิ่งเดินมาถึงตรงนี้? แอบไปเกี้ยวพาคุณหนูตระกูลใดระหว่างทางหรือไง?”

ผู้เฒ่าลังเลไปชั่วขณะ แต่ก็ยังหยุดรถม้า

เฝ้าสังเกตเหตุการณ์อยู่เงียบๆ

ได้ยินคำหยอกเย้าจากว่าที่น้องภรรยาอย่างหลิวเกาหวา หลิวชื่อเฉิงก็กลอกตา วิ่งเหยาะๆ มาเบื้องหน้า

แม้ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตาเฒ่าประหลาดถึงพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้ากะทันหันแล้วคืนร่างให้ตนชั่วคราว แต่หลิ่วชื่อเฉิงก็คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรซะตาเฒ่าก็รับปากแล้วว่า ขอแค่ตนเกลี้ยกล่อมให้รถม้าคันนี้ย้อนกลับเข้าไปในเมืองได้ เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ตนได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว

ตอนนี้บนร่างของหลิ่วชื่อเฉิงยังคงสวมชุดเต๋าสีชมพูชุดนั้น แต่ตาเฒ่าบอกว่าหากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบลงไป รวมถึงเทพเซียนโอสถทองคำกระจอกๆ ต่างก็ไม่สามารถมองผ่านเวทอำพรางตามหัศจรรย์ที่เขาร่ายไว้ได้

หลิ่วชื่อเฉิงยืนอยู่ข้างรถม้า หอบหายใจฮักๆ ถามว่า “ทำไม พวกเจ้าก็จะหนีเหมือนกันหรือ? หลิวเกาหวา เจ้ามันลูกอกตัญญู ทำใจดำโยนบิดามารดาของเจ้าทิ้งลงน้ำลึก ทิ้งลงกองไฟได้ลงคอหรือ? ในเมืองมีปีศาจก่อเรื่องวุ่นวายมากมายถึงเพียงนั้น ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองก็ควรเป็นคนแรกที่เสนอตัวออกหน้า อย่างน้อยก็ควรชูมือกู่ร้อง เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ของจวนเจ้าเมืองให้ดี สาบานตนว่าต่อให้ต้องตายก็ไม่ยอมถอยหนีถึงจะถูก ข้าออกจากเมืองไปไกลมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าจะจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ เจ้าลองคิดดู ข้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งยังรู้สึกว่าต้องเผชิญหน้าอย่างมีคุณธรรม บัณฑิตที่ผ่านการเล่าเรียนเขียนอ่านอย่างข้าควรสละชีวิตอย่างไม่กลัวตายเพื่อความถูกต้อง…”

กุนซือเฒ่าโมโหจนกัดฟันกรอดๆ อยากจะฟาดฝ่ามือใส่หน้าบัณฑิตยากจนคนนี้สักที

หลิวเกาหวามองบัณฑิตยากจนด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน

พี่สาวเขาตอนนี้สายตาเคลิบเคลิ้ม น้ำตาเอ่อคลอดวงตา ยกสองมือวางทับกันบนตำแหน่งหัวใจ รู้สึกว่าหลิ่วหลางของนางต้องเห็นแก่นางเป็นแน่

หลิวเกาหวามองค้อน “จะกลับเจ้าก็กลับไปเอง ข้าจะไปหลบภัยกับพี่สาว”

หลิ่วชื่อเฉิงบ่นในใจ ตาเฒ่า ทำยังไงดี ว่าที่น้องเมียข้าคนนี้ไม่มีความกล้าหาญดุจดั่งวีรบุรุษเอาเสียเลย ที่ข้าพูดไปก็ไม่ต่างจากสีซอให้ควายฟัง

แต่แล้วจู่ๆ หลิ่วชื่อเฉิงก็ค้นพบว่าเขาควบคุมขาของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เท้าของเขาเหยียบลงบนถนนทางหลวง ‘เบาๆ’

เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว

บนถนนทางหลวงทั้งสายคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น มองมาจากทางกำแพงเมืองจะเหมือนว่ามีเจียวหลงสีเหลืองยาวหลายลี้ตัวหนึ่งปรากฎขึ้นจากความว่างเปล่า

หลิ่วชื่อเฉิงกลืนน้ำลาย กระแอมหนึ่งที เอามือสองข้างไพล่หลัง พยายามให้ตัวเองมีมาดของยอดฝีมือมากที่สุด “บอกกับพวกเจ้าตามตรง ข้าหลิ่วชื่อเฉิงคือเทพเซียนขอบเขตโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง!”

กุนซือเฒ่าพลันหน้าเปลี่ยนสี อึ้งค้างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เกรงว่าคงมีเพียงปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ที่อยู่บนยอดสูงที่สุดของที่สุดในแคว้นไฉ่อี ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่เฒ่าที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกคนนั้นเท่านั้นกระมังที่ถึงจะมีพลังมหาศาลเพียงแค่กระทืบเท้าครั้งเดียวแบบนี้?

หรือว่าบัณฑิตยากจนเหลาะแหละตรงหน้าผู้นี้คือเทพเซียนบนภูเขาที่ลงมาท่องเที่ยวในโลกมนุษย์จริงๆ?

หลิ่วชื่อเฉิงพยายามเขย่งปลายเท้า หมายจะบินขึ้นไปบนรถม้าโดยตรง แต่ร่างของเขาไม่ขยับแม้แต่น้อย จึงได้แต่ปีนขึ้นไปบนรถม้าด้วยตัวเอง

หลังจากเบียดแทรกตัวเข้าไปในห้องโดยสารแล้วก็ไปนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้องที่กำลงมองหน้ากัน ยกขานั่งขัดสมาธิ หลิ่วชื่อเฉินหันหน้าไปมองหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณหนูหลิว เมื่อใจมีความมุ่งมั่นและศรัทธาสิ่งที่ปรารถนาก็จะบรรลุผล ถูกไหม?”

……

เฉินผิงอันกับเด็กสาวสวมกระพรวนเงินวิ่งมาถึงบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับจวนเจ้าเมือง เฉินผิงอันก็หยุดยืนนิ่ง เด็กสาวกำลังจะเปิดปากถาม เฉินผิงอันก็ชี้ไปยังหัวกำแพงของจวนและหอสูง เด็กสาวมองตามไปก็พลันใจหายวาบ เพราะนางมองเห็นธนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษของสำนักโม่ซึ่งกำลังชี้ปลายลูกศรแหลมคมมายังคนทั้งสอง มือธนูหลายสิบคนต่างก็สวมชุดเสื้อเกราะซึ่งเป็นรูปแบบของทางกองทัพแคว้นไฉ่อี เด็กสาวขมวดคิ้ว

“ดูเหมือนจะเป็นทหารของแม่ทัพหม่าที่เขาทิ้งไว้ในจวน ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้จักข้า ไม่อย่างนั้นให้ข้าตะโกนบอกพวกเขาดีไหม? ขอแค่ข้าออกหน้าเป็นคนอธิบายก็น่าจะพอ กลัวก็แต่ว่าหากทางการคิดจะสอบถามขึ้นมา คงเสียเวลาไม่น้อย”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วก็เกิดลังเลเล็กน้อย “แยกย้ายกันไปดีกว่า เจ้าไม่ต้องรีบร้อนบุกเข้าไป ถ้าถูกขัดขวางก็อธิบายให้พวกเขาฟังสักหน่อยก็ได้ แต่ข้าต้องรีบหาเพื่อนๆ ข้าให้พบในทันที”

เด็กสาวเองก็มีนิสัยทำอะไรรวดเร็วฉับไว จึงพยักหน้ารับทันที “ตกลง! เอาตามที่ท่านเทพเซียนผู้เฒ่าบอก!”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วทะยานตัวกระโดดขึ้นสูง ลูกธนูลูกหนึ่งก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันดีดร่างขึ้นสูงอีกครั้ง เหยียบลงไปบนตัวลูกธนู ปลายเท้าแตะเบาๆ หนึ่งครั้งก็พุ่งตัวตรงดิ่งเข้าไปในจวนเจ้าเมือง

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท