จู่ๆ ชุยฉานก็เอ่ยขึ้นว่า “ต่อให้ตอนนี้มีวิธีรวมวิญญาณเข้าเป็นหนึ่ง เจ้าก็ไม่ยินดีจะทำแล้วใช่หรือไม่?”
ชุยตงซานที่ค้อมตัวไปหยิบเม็ดหมากเก็บใส่โถอย่างต่อเนื่องตอบเสียงขุ่น “ยังต้องถามอีกหรือ? ชุยฉานมีนิสัยเป็นอย่างไร ยอมเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเป็นแบบนี้ หนึ่งหมื่นปีให้หลังก็ยังจะเป็นแบบนี้!”
ชุยฉานทอดถอนใจ “เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ และบางทีก็ไร้สาระได้อย่างน่าเหลือเชื่อ”
ชุยตงซานถามยิ้มๆ “ตอนนี้ข่าวสารของข้าไม่ว่องไวนัก ทางฝ่ายแคว้นไฉ่อีตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปเกิดเรื่องวุ่นวายกันแล้วใช่ไหม?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “แม้ว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม และเรื่องวุ่นวายนั่นก็จบลงแล้ว”
ชุยตงซานที่เก็บกระดานหมากอยู่นานชำเลืองมองตาเฒ่าที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมราวกับนายท่านใหญ่ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ตัดสินใจเลิกเปลืองแรงให้เหนื่อยยาก ทิ้งตัวนอนหงายกางแขนกางขาบนเสื่อไม้ไผ่ผืนใหญ่ที่ทอขึ้นอย่างประณีต พูดงึมงำ “เจ้าโชคดีกว่าข้ามากเลย ซิ่วไฉเฒ่าเป็นพวกชอบรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวคนเหนือกว่า ไม่ยินดีจะแตกหักกับเจ้าก็เลยหันมาเล่นงานหนุ่มน้อยที่ไร้เดียงสาอย่างข้า เจ้าไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ ข้าผู้อาวุโสได้รับความอยุติธรรมและถูกผู้คนดูแคลนมากเท่าไหร่”
ชุยฉานเงียบไม่ต่อคำ
ชุยตงซานนอนหงายอยู่บนเสื่อ ยกมือลูบหน้าผากราวกับว่าตอนนี้ก็ยังเจ็บตุบๆ ภาพที่หลี่เป่าผิงเด็กบ้านั่นเอาตราประทับทุบหัวเขาก็คือเงามืดในใจ!
ชุยตงซานยกขานอนไขว่ห้าง ถอนหายใจเฮือกๆ “ฮ่องเต้ต้าสุยถือว่าเป็นคนกล้าหาญ ทนรับความอัปยศแบกภาระหนักอึ้งได้ การที่เขายอมถูกหยามเกียรติลงนามเป็นพันธมิตรกับต้าหลีในครั้งนี้ สกุลเกาแห่งเมืองอี้หยางต้าสุยต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัว ยอมพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ต้องยอมยกแคว้นใต้อาณัติซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงให้ต้าหลีด้วยสาเหตุนี้ถึงหนึ่งร้อยปี ได้แต่ทนมองให้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ควบผ่านประตูหน้าบ้านของตัวเองคาตา และนี่ย่อมต้องเป็นการควบรวมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปมาก่อน”
ชุยฉานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อีกร้อยปีให้หลัง สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะเป็นอย่างไร เจ้าและข้ามองเห็นได้หรือ? ต่อให้มองเห็น แล้วจะถูกต้องเสมอไปหรืออย่างไร? การอดทนข่มกลั้นของสกุลเกาต้าสุยในวันนี้ ก็ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจจะได้กลายเป็นคนมาทีหลังที่ก้าวนำไปก่อน”
ชุยตงซานส่ายหน้า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง”
ชุยฉานแค่นหัวเราะ “ที่แท้ข้าชุยฉานตอนเป็นเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะนิสัยหรือสายตาก็ล้วนไม่เอาไหน มิน่าเล่าวันนี้ข้าถึงมีสภาพน่าอนาถได้ถึงขนาดนี้”
ชุยตงซานไม่โกรธ เขากระดิกขาข้างหนึ่ง สอดสองมือหนุนเป็นหมอนใต้ท้ายทอย สายตาจ้องเป๋งไปที่เพดาน “ไม่รู้ว่าทำไม เจ้าดูถูกข้าในเวลานี้ ข้าเองก็ไม่ชอบเจ้าในตอนนี้เหมือนกัน คนที่ส่องกระจก ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกันเอง ฮ่าๆ ไม่นึกว่าใต้หล้าจะมีเรื่องที่น่าสนใจขนาดนี้”
ชุยฉานลังเลอยู่ชั่วขณะ “ท่านปู่ไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน พักอาศัยอยู่ในเรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้สติกลับคืนมามากแล้ว แต่ว่า…”
“รู้อยู่แล้วว่าต้องมีไอ้คำว่า ‘แต่’ สมควรตายนี่!”
ชุยตงซานยกมือสองข้างอุดหู นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเสื่อ ร้องคร่ำครวญเลียนแบบหลี่ไหว “ไม่ฟังๆ คนระยำท่องคัมภีร์”
ชุยฉานไม่สนใจเขา ยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ก่อนหน้าที่ลู่เฉินจะไปจากใต้หล้าไพศาล ได้ไปหาเขาและประมือกันในเรือนไม้ไผ่ เจ้าน่าจะรู้ดีว่า ด้วยนิสัยดึงดันที่พอได้ฝึกวิชาหมัดก็ฝึกจนธาตุไฟเข้าแทรกของเขาแล้ว ปรารถนาสูงสุดในชีวิตคืออยากรู้ว่าเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบกับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบสาม หรือแม้แต่กับเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบสี่ ใครสูงใครต่ำ และต่อให้ต่ำ จะต่ำกว่ากันมากน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิที่ดูแลลัทธิเต๋าสายหนึ่ง…”
ชุยตงซานหันหน้ามามองผู้เฒ่าที่มีหมากล้อมหนึ่งกระดานกั้นขวาง “ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ควรต้องเคารพกฎที่ศาลเจ้าบุ๋นตั้งไว้กระมัง อย่างมากสุดก็ได้แค่ใช้ขอบเขตสิบสาม หากท่านปู่สามารถกลับคืนสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีพลังให้ต่อสู้เสียเลย ไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นต้องตายสถานเดียว”
ชุยฉานส่ายหน้า “ลู่เฉินเล่นตุกติก พาเขาเข้าไปในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้สนามต่อสู้จึงไม่ถือว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้ว”
ชุยตงซานผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยปราณสังหาร แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นเก็บอารมณ์อย่างถึงที่สุด “ท่านปู่ตายแล้ว?”
ชุยฉานจิบชา ก่อนพูดเนิบช้าว่า “เปล่า หลังจบเรื่องเขาเดินออกมาจากในเรือนไม้ไผ่ ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการขายสี่สมบัติในห้องหนังสือ (พู่กัน กระดาษ หมึก จานฝนหมึก) เหมือนชาวบ้านทั่วไปของเมืองเล็กคนหนึ่ง ตอนที่ข้าไปหาเขา เขาบอกว่าตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กนั่น ลู่เฉินใช้มรรคกถาที่ลี้ลับเรียกผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบถึงสิบคนออกมาให้เขาใช้งาน ลองจินตนาการดู หนึ่งคนสองหมัด ถูกผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนานสิบท่านโอบล้อม ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าจะยังปล่อยหมัดนั้นออกไปหรือไม่?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน แล้วก็นั่งลงขัดสมาธิอีกครั้ง ยื่นมือมาทึ้งผมตัวเอง กล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้าย่อมไม่ทำอยู่แล้ว แต่เขาน่ะทำแน่นอน ท่านปู่จะไม่รู้เลยหรือว่า เมื่อเก็บหมัดนี้กลับมาก็เท่ากับว่าโยนขอบเขตสิบเอ็ดของวิถีวรยุทธ์ในตำนานทิ้งไป? หากไม่ปล่อยหมัดนี้ออกไป สิ่งที่แสวงหามาทั้งชีวิตก็ล้วนถูกละทิ้งไปทั้งหมดน่ะสิ”
ชุยฉานวางถ้วยชาลง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ต่อให้เขาปล่อยหมัดไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก หรืออาจถึงขั้นเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ดได้อย่างราบรื่น ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้า และยังมีเฉินผิงอัน วันหน้าจะยังมีชีวิตที่เป็นสุขได้อีกหรือ? พวกตาแก่ทั้งหลายที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังมานับร้อยนับพันปีอาจจะยอมปล่อยให้แจกันสมบัติทวีปมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมรับเทพแห่งการต่อสู้ขอบเขตสิบเอ็ดคนใหม่ได้ ดังนั้นหมัดนี้ของเขาจึงเป็นการแลกเปลี่ยนกับเจ้าลัทธิลู่เฉิน หรือจะพูดอีกอย่างว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เอาขอบเขตสิบเอ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งไปแลกกับโอกาสที่จะได้ขายของเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แลกมาด้วยวันเวลาที่สงบสุขร่มเย็นไปตลอดชีวิต”
ชุยตงซานทิ้งตัวนอนหงายดังตุ้บ “น่าเบื่อ”
หัวใจของชุยฉานสั่นไหวเล็กน้อย หันขวับไปมองที่นอกประตู
ชุยตงซานก็ทำแบบเดียวกัน
ชุยฉานหัวเราะหยัน “ฉีจิ้งชุน! วิญญาณไม่ยอมดับสลายไปเสียที จนกระทั่งบัดนี้ถึงได้ยอมหยุดอย่างแท้จริง ข้าอยากจะรู้นัก ว่าเจ้าจะยังมีวิธีรับมือเหลือทิ้งไว้ให้เล่นหมากล้อมกับข้าอีกหรือไม่!”
ชุยตงซานกล่าวอย่างมีใจสู้แต่ไร้กำลัง “เหล่าชุยเอ๋ย เจ้าอยากจะปวดหัวก็ปวดหัวไปคนเดียวเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เล่นหมากล้อมกับฉีจิ้งชุนอีกแล้ว เพราะมันยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่”
ชุยฉานส่งเสียงหึในลำคอ ลุกขึ้นยืนหลุบตามองต่ำมายังตัวเองที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะหยัน “โคลนเละปั้นไม่ติดกำแพง!”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคักได้หน้าตาเฉย “อันที่จริงนอนอาบแดดอยู่ในโคลนเละๆ ก็สบายจะตายไป อย่าได้ปั้นประคองข้าขึ้นมาเด็ดขาดเชียว ใครทำอย่างนั้นข้าโกรธตายเลย”
ชุยฉานยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “เอามา!”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “อะไร?”
สีหน้าของชุยฉานดำคล้ำ “วัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น!”
ชุยตงซานพลิกตัวกลับ หันก้นให้ชุยฉาน
สีหน้าของชุยฉานเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “ให้เจ้ายืมใช้ยี่สิบปี วันหน้าต่อให้เจ้ายังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ข้าก็ยังจะเอาคืนอยู่ดี”
ชุยตงซานพลิกตัวกลับมาอย่างว่องไว ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง เอ่ยต่อรองราคา “อย่างน้อยห้าสิบปี!”
ชุยฉานเดินไปที่หน้าประตู ชายแขนเสื้อกว้างส่ายสะบัด “สามสิบปี หากยังกล้าได้คืบเอาศอก ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้”
หลังจากชุยฉานจากไปแล้ว ชุยตงซานก็กลิ้งตัวจากบนเสื่อมาจนถึงหน้าประตู
ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่นอกธรณีประตูเหมือนหุ่นไม้ตัวหนึ่ง
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน ชำเลืองตามองท่านั่งของเด็กสาวแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เซี่ยเซี่ย ที่แท้ก้นเจ้าก็ใหญ่ถึงขนาดนี้ มิน่าเล่าถึงคิดอยากจะเป็นอาจารย์แม่ของข้า”
เด็กสาวนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย ท่านั่งยังคงเดิม แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ชุยตงซานกระโดดผลุงขึ้น วิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวแล้วเตะก้นของนางอย่างแรงจนร่างของเด็กสาวล้มทิ่มเข้าไปในลานบ้าน
เด็กหนุ่มชุดขาวยกมือสองข้างเท้าเอว หัวเราะเสียงดังสนั่น
เด็กสาวลุกขึ้นยืนเงียบๆ แม้แต่ฝุ่นดินที่เปื้อนอยู่บนตัวก็ยังไม่กล้าปัด
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ยื่นมือมาตบลงบนตำแหน่งหัวใจ “เห็นท่าทางที่น่าสงสารของเจ้าแล้ว หัวใจของคุณชายอย่างข้าก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดคว้าน”
เซี่ยเซี่ยฝืนเค้นรอยยิ้มทั้งที่ในใจไม่เบิกบาน
ชุยตงซานรีบยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ส่วนมืออีกข้างสะบัดอย่างแรง “รีบหันหน้ากลับไป เจอผีกลางวันแสกๆ โดยแท้ ตาของข้าผู้เป็นคุณชายใกล้จะบอดแล้ว!”
เด็กสาวหันหน้ากลับมา สายตาเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสดใสสีคราม
ตอนเป็นเด็กนางมักจะไม่เข้าใจว่าทำไม ‘ฟ้าใสไร้เมฆ’ ถึงเป็นอากาศที่ดีที่สุด เมฆทอประกายหลากสีไม่ได้น่ามองกว่าหรอกหรือ? จนกระทั่งขึ้นมาบนภูเขา นางถึงได้เข้าใจว่าที่แท้เมื่อไร้เมฆก็ไร้ลมมรสุม
……
หลี่เป่าผิงใช้ ‘ตราคำสั่งผู้นำ’ ที่ทำจากไม้ชิ้นหนึ่งมาเรียกรวมตัวทุกคน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมานางเพิ่งจะอ่านนิยายจอมยุทธ์ใหญ่ในยุทธภพจบไปเล่มหนึ่ง ขอแค่คนที่ถูกยกย่องให้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพนำป้ายคำสั่งนี้ออกมาก็สามารถออกคำสั่งคนในยุทธภพ มีบารมีน่าเกรงขามอย่างมาก นางถือป้ายไม้ที่ทำขึ้นมาเองแผ่นนั้นเดินอาดๆ ไปเคาะประตูห้องบานแล้วบานเล่า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ชูป้ายคำสั่งในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเดินไปยังห้องถัดไป
สุดท้ายหลินโส่วอี หลี่ไหว อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย หรือแม้แต่ชุยตงซานก็มาร่วมสนุก ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ในหอพักของหลี่เป่าผิง รอให้ผู้นำยุทธภพท่านนี้เอื้อนเอ่ย
หลี่เป่าผิงกระแอมหนึ่งที แขวนป้ายไม้แผ่นเล็กคล้องคอเอาไว้ บนโต๊ะวางจดหมายฉบับหนาไว้หนึ่งปึก
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงเปิดผนึกจดหมายออกอย่างเชื่องช้า กล่าวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “อาจารย์อาน้อยเขียนจดหมายมาให้พวกเรา ในฐานะผู้นำสาขาย่อยตงซานที่อยู่ภายใต้อำนาจศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้ข้าจะเริ่มอ่านให้พวกเจ้าฟัง พวกเจ้าจงจำไว้ว่าอย่าเอะอะเสียงดัง ห้ามเพิกเฉยไม่ใส่ใจ ห้าม…หลี่ไหวกลับไปนั่งดีๆ เดี๋ยวนี้! แล้วก็ชุยตงซาน ห้ามนั่งไขว่ห้าง! อวี๋ลู่อย่าเพิ่งแทะเมล็ดแตง!”
คนทั้งกลุ่มได้แต่นั่งตัวตรง ล้างหูรอฟังอย่างว่าง่าย
แม่นางน้อยอ่านจดหมายฉบับที่อาจารย์อาน้อยเขียนมาให้นางก่อน นางอ่านได้อย่างมีจังหวะจะโคนเสนาะหู
จากนั้นก็พับจดหมายเก็บอย่างระมัดระวัง เอาวางไว้ข้างมือ ดึงจดหมายฉบับที่สองออกมาจากในซอง เป็นจดหมายของหลี่ไหว หลังจากนั้นจึงเป็นจดหมายของหลินโส่วอี ส่วนจดหมายของอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยเขียนไว้ในแผ่นเดียวกัน
เนื้อหาที่เฉินผิงอันเขียนไว้ในจดหมายส่วนใหญ่เป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ ตอนช่วงปีใหม่ของเมืองเล็กบ้านเกิด นอกจากนั้นก็บอกพวกเขาว่าห้ามทะเลาะกัน เวลาออกไปข้างนอกต้องสามัคคีกันให้มาก อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อย่าทำให้คนที่บ้านเป็นห่วง เวลาเรียนก็อย่าให้เหนื่อยเกินไปนัก ลงจากเขาไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์บ้าง หรือจะจับคู่กันไปเดินเล่นในเมืองหลวงต้าสุยก็ได้ ฯลฯ ที่เขียนไว้มากที่สุดก็คือเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เขาพบเจอหลังเดินทางออกจากเมืองหลวงต้าสุย รวมไปถึงบรรยายภาพบรรยากาศตอนอยู่บนเรือคุนแล้วมองต่ำลงไปบนพื้นดิน ภาษาที่เขียนไม่มีท่วงทำนองของความสละสลวยแม้แต่น้อย ถ้อยคำเรียบง่าย ตรงไปตรงมา เพียงแต่ว่ามีความจริงใจเอาจริงเอาจังอย่างเต็มเปี่ยม ทุกคนถึงขั้นจินตนาการได้เลยว่าตอนที่เฉินผิงอันจับพู่กันเขียนจดหมายต้องนั่งตัวตรงอย่างสำรวม และมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าพวกเขาในเวลานี้แน่นอน
หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายทุกฉบับจบก็ใช้สองมือทำท่าสยบลมปราณไว้ตรงจุดตันเถียน “เสร็จสิ้น!”
หลี่ไหวกล่าวอย่างอัดอั้น “หลี่เป่าผิง ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เขียนจดหมายให้พวกเราคนละฉบับอยู่แล้ว เจ้ามอบจดหมายให้พวกเราก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงหันมาถลึงตาใส่ หลี่ไหวทำคอย่น
ชุยตงซานชี้จมูกตัวเอง “ของข้าล่ะ?”
หลี่เป่าผิงยกสองแขนขึ้นกอดอก นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว ส่ายหน้า “อาจารย์อาน้อยไม่ได้เขียนจดหมายให้เจ้า”
ชุยตงซานเงยหน้าทำท่าคล้ายมีน้ำตาไหลอาบแก้ม พึมพำเบาๆ “ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีอาจารย์ที่ไร้คุณธรรมไร้น้ำใจได้ถึงขนาดนี้”
จู่ๆ หลี่เป่าผิงก็หัวเราะร่า หยิบตั๋วเงินที่มีตราของโรงรับจำนำเก่าแก่ต้าหลีออกมาสี่ห้าแผ่น “ในจดหมายของข้า อาจารย์อาน้อยได้สั่งความไว้เรื่องหนึ่ง เมื่อครู่ข้าลืมอ่าน เอ้า เอาไป อาจารย์อาน้อยบอกว่าเงินสองพันตำลึงที่ติดเจ้าไว้ คืนให้เจ้าแล้ว ชุยตงซาน วันหน้าเจ้าจะเบี้ยวหนี้บอกว่าอาจารย์อาน้อยยังไม่คืนเงินให้เจ้าไม่ได้ เพราะข้าจะเป็นพยานให้อาจารย์อาน้อยเอง!”
ชุยตงซานรับตั๋วเงินเบาหวิวหลายแผ่นนั้นมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดปานจะขาดใจ แต่แล้วจู่ๆ ในดวงตาก็มีประกายแห่งความคาดหวังผุดขึ้น “เป่าผิง อาจารย์อาน้อยของเจ้าได้พูดถึงเรื่องกลอนคู่หรือไม่ ที่ข้าเป็นคนเขียนน่ะ อาจารย์ได้เอาติดบนผนังบ้านในวันปีใหม่บ้างหรือเปล่า? เจ้าลองหาอย่างละเอียดอีกทีสิ ไม่แน่อาจอ่านข้ามไปก็ได้นะ?”
หลี่เป่าผิงพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ไม่มี! จดหมายของอาจารย์อาน้อย ข้าอ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาเก้ารอบจนท่องย้อนกลับหลังได้แล้ว!”
ชุยตงซานทำสีหน้าคลางแคลงใจ ลุกขึ้นโน้มตัวหมายจะยื่นมือไปหยิบจดหมาย กะว่าจะเอามาอ่านด้วยตัวเอง
หลี่เป่าผิงตบฝ่ามือกดทับลงบนจดหมายที่พับอย่างประณีตแล้ววางทับซ้อนกันไว้กองนั้น หันมาถลึงตาเดือดดาลใส่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาที่ไม่เอาไหนของตัวเอง “บังอาจ!”
สิ่งหนึ่งมักจะสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอ
ชุยตงซานหดมือกลับอย่างหวาดหวั่น นั่งกลับลงไปอีกครั้งแล้วถอนหายใจเฮือกๆ รู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว
หลี่ไหวเอ่ยเบาๆ “ชุยตงซาน รังเกียจที่ตั๋วเงินเกะกะลูกตาหรือ? ถ้าอย่างนั้นให้ข้าดีไหมล่ะ?”
ชุยตงซานเก็บตั๋วเงิน เหล่ตามามอง “ตั๋วเงินไม่เกะกะลูกตา เจ้านั่นแหละที่เกะกะ”
หลี่ไหวยกสองมือกอดอกเลียนแบบหลี่เป่าผิง กล่าวอย่างลำพองใจ “พูดอะไรระวังหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าเป็นผู้นำสาขาย่อยหอพักอักษรอู้ของสาขาย่อยตงซานภายใต้อำนาจการปกครองศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วนะ?!”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เอามือปัดก้น ด่าเจ้าลูกหมานี่ยิ้มๆ “ไสหัวไปเลย!”
หลี่เป่าผิงเก็บจดหมายทุกฉบับกลับไปใส่ในซอง “ข้าจะช่วยพวกเจ้าเก็บจดหมายไว้ก่อน พวกเจ้าจะได้ไม่ทำหาย เลิกประชุม!”
ชุยตงซานเดินหาวออกไปจากหอพัก
หลินโส่วอีและหลี่ไหวเดินออกไปพร้อมกัน
อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยเดินรั้งท้ายสุด
อวี๋ลู่เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบา “จดหมายที่เฉินผิงอันเขียนให้พวกเราสองคน ของข้ามากกว่าของเจ้ายี่สิบสี่ตัวอักษรแน่ะ”
เซี่ยเซี่ยพูดหน้าดำ “อวี๋ลู่ เจ้าปัญญาอ่อนหรือไง?”
อวี๋ลู่ยิ้มน่าเตะ
……
กลางภูเขาลึกที่ตั้งของหมู่บ้านวารีกระบี่ น้ำตกที่ยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามประหนึ่งผ้าต่วนสีขาวที่พุ่งลงมาจากชั้นฟ้า
ด้านล่างน้ำตกคือบ่อน้ำสีมรกตที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ พอจะมองเห็นเงาร่างของปลาสีแดงแหวกว่ายได้รำไร
เสียงน้ำตกดังเหมือนเสียงฟ้าผ่า ไอน้ำลอยแผ่อบอวลไปสี่ทิศ
เฉินผิงอันยืนอยู่กลางศาลาข้างบ่อน้ำลึกที่สร้างขึ้นอย่างประณีต ครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง
หากตัวเองใช้หนึ่งกระบี่ฟันลงไป จะสามารถผ่าม่านน้ำของน้ำตกให้แหวกออกจากกันได้หรือไม่?
เฉินผิงอันประเมินน้ำหนักของน้ำตก จากนั้นก็คิดถึงสภาพกระอักกระอ่วนของตัวเองที่แม้แต่จะออกกระบี่ก็ยังทำไม่เป็น คำตอบก็คือไม่ได้
เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียงสีแดงของศาลาริมน้ำ เดิมทีคิดจะฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ทว่ามืออีกข้างหนึ่งกลับยื่นไปปลดน้ำเต้าตามจิตใต้สำนึก ดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกก็เงยหน้าขึ้นมองยอดบนของน้ำตก แล้วค่อยๆ ไล่สายตาลงมาข้างล่าง
ประหนึ่งปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่ไหลจากชายแขนเสื้อของเซียนลงมายังโลกมนุษย์
—–