พวกเฉินผิงอันสามคนถูกเจ้าเมืองหลิวรั้งตัวไว้ที่จวนอีกสามวัน
หลังจากผ่านมรสุมในครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าหลิวเกาหวาจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เขาไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวทอดอาลัยเหมือนเมื่อตอนที่พบกันแรกๆ อีกแล้ว เวลานี้เขามักจะไปขอความรู้จากบิดาบ่อยๆ มีทั้งความรู้ด้านบทความคุณธรรม แล้วก็มีทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้าน นึกถึงอะไรก็ถามถึงสิ่งนั้น เจ้าเมืองหลิวยังคงไม่ชอบใจในตัวบุตรชายคนนี้สักเท่าไหร่ แต่หลิวเกาหวากลับไม่รู้สึกร้อนตัว หรือคิดถอดใจถอยหนีเพียงเพราะบิดาแสดงความไม่สบอารมณ์ให้เห็นอีกแล้ว สองวันมานี้จึงทำให้เจ้าเมืองหลิวรำคาญใจไม่น้อย
เวลาที่มากกว่านั้น หลิวเกาหวายังคงตามติดชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตจางซานเฟิง นอกจากนี้ก็คอยจับตามองหลิ่วชื่อเฉิงบัณฑิตยากจนราวกับคอยป้องกันขโมยอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่ถือสาหากปัญญาชนตกยากจากแคว้นไป๋สุ่ยผู้นี้จะมาสู่ขอพี่สาวใหญ่ของเขา แต่ก่อนหน้าที่อีกฝ่ายจะยกเกี้ยวแปดคนหามแต่งพี่สาวของเขาเข้าบ้าน หากคิดจะใช้มือหมูเค็ม (เป็นคำแสลงของจีนหมายถึงการลวนลาม) มาเอาเปรียบพี่สาวของเขา หลิวเกาหวาไม่มีทางยอมแน่นอน
ในเมื่อเป็นสหายที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมา หลิวเกาหวาจึงไม่ได้พิถีพิถันเรื่องข้อห้ามอะไรมากนัก เรื่องในราชสำนัก ในวงการขุนนางของแคว้นไฉ่อีจึงถูกเขานำมาเล่าสู่พวกเฉินผิงอันฟังเป็นการส่วนตัวเหมือนอาหารเรียกน้ำย่อย
ภัยพิบัติที่ลุกลามสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านนับพันนับหมื่นตระกูลครั้งนี้ แม้ว่าปีศาจใหญ่จะพากับหลบเร้นกายหายเข้ากลีบเมฆ บ้างก็ถูกกำราบสังหาร บ้างก็หนีไปไกล แต่ผลกระทบที่มอบให้แก่ชาวบ้านเมืองแยนจือกลับยาวนานและลึกล้ำ จิตใจของผู้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ตระกูลเศรษฐีจำนวนมากก็เริ่มเตรียมตัวย้ายออกจากเมือง ไปอยู่เมืองอื่น ต่อให้เป็นในเมืองหลวงของแคว้นไฉ่อีที่แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นย้ายบ้านย้ายถิ่นฐาน แต่คนมีเงินมีอำนาจเหล่านี้ก็คิดแล้วว่าไม่ควรนำไข่ทั้งหมดมาวางไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน นี่ก็คือหลักการทั่วไปของเรื่องทางโลก
ว่ากันว่าหลังจากที่ราชสำนักของแคว้นไฉ่อีทราบข่าวก็ได้ส่งคนของกรมพิธีการและกรมกลาโหม ซึ่งก็คือคนประเภทที่ตำแหน่งขุนนางไม่สูงให้เดินทางออกจากที่ว่าการในเมืองหลวง มุ่งหน้าลงใต้มายังเมืองแยนจืออย่างเชื่องช้า แม้จะบอกว่ามาตรวจสอบคดีและปลอบใจผู้คน แต่เจ้าเมืองหลิวที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวงการขุนนางมาครึ่งชีวิตกลับรู้ดีว่านี่เป็นแค่การทำให้ดูพอเป็นพิธีของฮ่องเต้ท่านนั้นเท่านั้น เงินในกรมการคลังเพื่อบรรเทาสาธารณภัยก็ยิ่งไม่ต้องคาดหวัง สำหรับเมืองแยนจือที่เละเทะแห่งนี้ เงินเก็บของที่ว่าการมีแค่สองสามในสิบส่วนเท่านั้น และเขาก็ไม่ใช่ขุนนางไร้มโนธรรมประเภทที่ชอบเก็บภาษีรีดนาทาเร้นชาวบ้าน ดังนั้นจึงจำต้องอาศัยศักดิ์ศรีของเจ้าเมือง อาศัยใบหน้าแก่ๆ นี้ไปขอร้องคนอื่น อาศัยข้ออ้างว่าจะได้รับการบันทึกชื่อเสียงที่ดีงามลงในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ ได้ตั้งป้ายเกียรติยศเพื่อให้คนรุ่นหลังเคารพบูชา ไปขอเงินจากตระกูลของเศรษฐีผู้ร่ำรวยทั้งหลายที่อยู่ในเมือง อีกทั้งยังจำเป็นต้องจัดการเรื่องเงินนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนที่ใต้เท้าผู้แทนพระองค์จากสองกรมใหญ่ในเมืองหลวงจะเดินทางมาถึงเมือง จะสร้างความรำคาญพระทัยให้แก่ฮ่องเต้เพิ่มไม่ได้เด็ดขาด และยิ่งไม่ควรเพิ่มความยุ่งยากให้แก่กรมการคลังที่เดิมทีก็มีชีวิตยากลำบากอยู่แล้ว มีเพียงทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะรักษาหมวกขุนนางเจ้าเมืองของเขาเอาไว้ได้
ชีวิตคนมีขึ้นมีลง วงการขุนนาง วงการการค้า รวมไปถึงบนเส้นทางการฝึกตน ขณะที่ชีวิตของบางคนตกลง บางทีชีวิตของอีกคนก็อาจจะสูงขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นการลงมือของพวกเฉินผิงอันสามคนในครั้งนี้ ไม่ว่าจะทำไปด้วยความโกรธแค้นหรือมีเจตนาที่ซ่อนเร้น แต่คงเป็นเพราะคนทำได้จึงได้ดี มือดาบเคราดกและนักพรตจางซานเฟิงที่ร่วมมือกัน สุดท้ายแล้วต่างคนจึงต่างได้ผลเก็บเกี่ยว
อาวุธเทพชิ้นใหม่ที่สวีหย่วนเสียได้มาคือดาบเล่มเล็กที่ลูกศิษย์ใหญ่ของมารเฒ่าหมี่ทิ้งไว้ เจ้าของคนเดิมคือคนบนวิถีมารตัวจริงเสียงจริง แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อดาบสั้นเล่มนี้ถูกชักออกจากฝัก ประกายดาบกลับยังส่องแสงเจิดจ้าสว่างไสว ไม่มีกลิ่นอายของความชั่วร้ายปะปนเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีของที่ได้จากรองแม่ทัพของแม่ทัพหม่า พอชาวบู๊สวมเสื้อเกราะคนนั้นได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสวีหย่วนเสียสองครั้ง เขาก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน จึงแจ้ง ‘รายงานของหาย’ แล้วแอบเอาธนูแข็งแกร่งอันดับหนึ่งในกองทัพ หนึ่งในธนูพิเศษห้าคันที่สำนักโม่สร้างขึ้นซึ่งถูกเก็บไว้ในคลังที่ว่าการของหลวงมามอบให้กับสวีหย่วนเสีย
ทีแรกสวีหย่วนเสียไม่เต็มใจจะรับไว้ คำว่ากฎของกองทัพยิ่งใหญ่ดุจขุนเขานั้น หากเป็นสถานที่แห่งอื่นของแคว้นไฉ่อีอาจจะบอกได้ยาก แต่ดูจากการปกครองกองทัพของแม่ทัพหม่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากชายฉกรรจ์ที่เป็นรองแม่ทัพรู้ถึงความกังวลของเขาก็หัวเราะฮ่าๆ รู้สึกว่านิสัยของเขากับจอมยุทธ์เคราดกเหมือนกันมากจริงๆ จึงยอมเปิดเผยความลับให้อีกฝ่ายรู้ บอกว่าเดิมทีแม่ทัพหม่าก็อนุญาตแล้ว ตอนแรกตนกล้าขอแค่ลูกธนูหนึ่งดอกเท่านั้น เป็นแม่ทัพหม่าที่มาพูดคุยกับเจ้าเมืองหลิวอย่างลับๆ ภายหลังจึงมีการแก้ไขรายงานความเสียหายทางการทหารที่ต้องส่งมอบให้แก่กรมกลาโหมของราชสำนัก หัวข้อธนูที่เดิมทีเขียนว่าลูกธนูเสียหายไปสิบหกดอกก็เปลี่ยนมาเป็นยี่สิบเอ็ดดอก
จางซานเฟิงได้รับวัตถุวิเศษที่รูปลักษณ์ไม่ดีนักสองชิ้น ชิ้นแรกเสียหายอย่างรุนแรง คือจอกเหล้าหยกขาวที่เหมือนแผ่นกระเบื้องบางๆ แผ่นหนึ่ง ซึ่งสามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้ด้วยตัวเอง และทุกๆ ห้าวันจะก่อตัวกันกลายเป็นหยดน้ำค้างหยดหนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ ตอนที่จางซานเฟิงได้มันมา บนจอกเหล้ามีรูเล็กๆ ที่บิ่นแตก คาดว่าต้องส่งผลกระทบต่อความเร็วในการรวบรวมลมปราณอย่างแน่นอน
และยังมีตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินในตำนานคู่หนึ่ง เพราะว่าบนตะเกียบด้ามหนึ่งสลักคำว่า ‘ภูเขาชิงเสิน’ ส่วนอีกด้ามหนึ่งสลักคำว่า ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ อย่างน้อยแค่มองก็รู้ว่าเป็นของเก่าแก่โบราณ แต่จะมาจากภูเขาชิงเสินจริงๆ หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ แต่ตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้มีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมอย่างแท้จริง
ไม่ว่าอย่างไร พวกมันก็ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษที่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างทุกคนปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน
เฉินผิงอันไม่ได้หยิบกล่องไม้สีเขียวและเศษชิ้นส่วนร่างทองที่มีทั้งสีทองและสีเงินออกมา เรื่องนี้สำคัญเกินไป โชควาสนามักจะมาพร้อมกับหายนะเสมอ สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่เต่าภูเขาหรืออินทรีล่างูที่เคยจับได้ในบ้านเกิดซึ่งสามารถเอาออกมาอวดสหายอย่างหลิวเสี้ยนหยางเพื่อความสนุกสนานได้ เฉินผิงอันจึงแค่หยิบท่อนไม้ที่ดำเหมือนถ่านและถ้วยสีขาวที่วาดลายแผนที่ห้าขุนเขาออกมา
สวีหย่วนเสียมองความเป็นมาของถ้วยสีขาวไม่ออก แต่กลับจุ๊ปากชื่นชมท่อนไม้หนักอึ้งชิ้นนั้นไม่หยุด บอกว่านี่คือไม้อสนีบาต ไม่ใช่ว่าแค่ต้นไม้ถูกสายฟ้าทั่วไปฟาดใส่แล้วจะถือกำเนิดขึ้นได้ จำเป็นต้องเป็นสายฟ้าพิเศษประเภทห้าอสนีที่แฝงเร้นพลานุภาพแห่งสวรรค์เท่านั้น อีกอย่างต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าก็ต้องมีชีวิตรอดต่อไปได้ ไม่ใช่ตายไป เพราะต้นไม้ที่ตายไปแล้วจะไม่สามารถกักเก็บพลานุภาพสวรรค์ของเวทอสนีที่ลี้ลับเอาไว้ได้ สวีหย่วนเสียชั่งน้ำหนักไม้ดำที่มองดูเหมือนถ่านในมือแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ขอแค่มอบมันให้กับผู้ฝึกลมปราณสำนักกสิกรรม พวกเขาจะสามารถช่วยเจ้าเปลี่ยนมันให้เป็นต้นกล้าอ่อนที่มีชีวิตชีวาได้ต้นหนึ่ง?”
เฉินผิงอันเข้าใจในทันที
นี่เป็นของมีค่า!
นอกจากนี้จวนเจ้าเมืองยังมอบเงินห้าร้อยตำลึงเงินให้เป็นรางวัลตอบแทนความเหนื่อยยากแก่ ‘จอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรม’ อย่างพวกเขาตามหลักมารยาท
ชายฉกรรจ์เคราดกไม่เต็มใจรับไว้ นักพรตจางซานเฟิงก็ไม่รับ มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่รับเอาไว้ ด้วยเรื่องนี้จางซานเฟิงยังสัพยอกเฉินผิงอันว่าเขาเป็นคนบ้าเงินจริงๆ เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
เด็กชายตระกูลจ้าวคนนั้นชื่อว่าจ้าวซู่เซี่ย เด็กหญิงชื่อหลวนหลวน ตอนนี้ได้รับโชคเพราะหายนะ ทั้งคู่ต่างก็หลุดพ้นจากสัญญาทาส ติดตามผู้เฒ่าที่มีฉายาว่า ‘อวี๋เวิงเซียนเซิง’ (ผู้เฒ่าตกปลา) และเด็กหญิงหลวนหลวนก็ยิ่งได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของผู้เฒ่า
ทุกเช้าตรู่ที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านที่ตัวเองพักผ่อน เด็กชายจะมานั่งอยู่ตรงหน้าประตูเรือน เท้าคางตั้งใจมอง
เฉินผิงอันได้แค่ทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในตำราเขย่าขุนเขานี้ เขาไม่เคยมองว่าเป็นของตัวเอง แล้วก็ยิ่งไม่สะดวกที่จะถ่ายทอดให้คนอื่นส่งเดช
แต่การที่เด็กชายจ้าวซู่เซี่ยมีใจอยาก ‘ขโมยเรียน’ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร
เด็กคนนี้มีจิตใจที่ดีมาก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจงใจชะลอความเร็วในการเดินนิ่งหกก้าว ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง
วันสุดท้าย ดวงตะวันสาดส่องเหนือศีรษะ วันแรกของฤดูร้อนมาถึง หมื่นสรรพสิ่งเจริญเติบโต
ยามพลบค่ำของวัน เฉินผิงอันเอ่ยกับเด็กชายว่า “จ้าวซู่เซี่ย เจ้าสามารถตั้งใจฝึกฝนท่าหมัดเดินนิ่งนั้นให้ครบหนึ่ง…”
เฉินผิงอันรีบแก้คำใหม่ “ฝึกให้ครบหนึ่งแสนรอบได้หรือไม่?”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันกำชับว่า “ไม่เน้นที่ความเร็ว แต่เน้นที่ความมั่นคง อีกทั้งทุกครั้งต้องไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จากนั้นทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายในเวลาสามถึงห้าปี ฝึกหนึ่งแสนหมัด เดินครบหกก้าวถือเป็นกระบวนท่าเดียวเท่านั้น จำไว้ว่าหากก้าวใดเดินผิดพลาดจะต้องทำใหม่ซ้ำอีกรอบ ห้ามเหยาะแหยะเด็ดขาด”
เฉินผิงอันหากไม่พูดอะไรเลยก็จะกลายเป็นว่าจู้จี้จุกจิกแบบนี้ ข้อนี้เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่ตอนนี้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วคุ้นเคยดีอย่างถึงที่สุด
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “การฝึกวิชาหมัดคือ…เรื่องที่โง่มาก จ้าวซู่เซี่ย เจ้าจะเป็นคนฉลาดก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าฉลาดมากจริงๆ ฉลาดกว่าข้าเยอะ แต่เรื่องการฝึกวิชาหมัดยิ่งโง่ก็ยิ่งดี เข้าใจไหม?”
สายตาของเด็กชายเด็ดเดี่ยว กำมือสองข้างเป็นหมัด “เข้าใจแล้ว! ทนกับความยากลำบากในความยากลำบาก ก็จะได้เป็นคนเหนือคน!”
เด็กชายผู้ฉลาดเฉลียวที่มีชีวิตยากลำบากคนนี้เข้าใจจริงๆ
เฉินผิงอันรู้สึกขำคำพูดอีกฝ่าย จึงถามว่า “เป็นคนเหนือคนแล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรล่ะ?”
เด็กชายตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิด “ข้าจะซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้หลวนหลวนไว้สวมตอนหน้าหนาวหลายๆ ตัว นางจะได้อบอุ่น!”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วตัวเจ้าเองล่ะ?”
เด็กชายเช็ดปาก พูดสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “กินข้าวอิ่มทุกมื้อ!”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม ขมวดคิ้วน้อยๆ “แค่นี้เองหรือ?”
เด็กชายมีชาติกำเนิดยากจนเป็นคนระดับล่างสุด จึงถนัดสังเกตสีหน้าท่าทางของคนอื่นมากที่สุด เวลานี้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย กลัวว่าผู้มีพระคุณจะรู้สึกว่าตนไม่เอาไหน แต่เขาไม่มีความปรารถนาอะไรมากมายจริงๆ สุดท้ายเด็กชายที่ไม่อยากโกหกเฉินผิงอันจึงทำไหล่ลู่คอตก กล่าวอย่างละอายใจ “ไม่มีแล้วจริงๆ”
“แค่กินข้าวอิ่มจะพอได้อย่างไร?”
สีหน้าเคร่งเครียดที่เฉินผิงอันแสร้งทำเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนในทันที เขาลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ เอ่ยหยอกเย้าว่า “ต้องมีเนื้อให้กินทุกมื้อด้วย!”
เด็กชายหัวเราะร่าอย่างโง่งม
นักพรตจางซานเฟิง หลิวเกาหวา หลิ่วชื่อเฉิง คนทั้งสามนั่งยองเคียงไหล่กันอยู่บนระเบียง
หลวนหลวนถูกพี่สาวของหลิวเกาหวากอดไว้ในอ้อมอก อยู่ห่างจากชายทั้งสามคนมาเล็กน้อย
พอเห็นภาพนี้นางก็คลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้
การพบกันในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวาง แต่ก็เป็นการพบกันที่ดีและจากลาที่ดี นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว
—–