วิถีกระบี่ที่เด็กหนุ่มตรงหน้ากับซ่งเฟิ่งซานหลานชายของตนศรัทธา แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้ตอนนี้จะยังบอกไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก ใครจะเดินได้เร็วกว่า ไปได้ไกลกว่า แต่ในความรู้สึกของซ่งอวี่เซาเองนั้น เด็กหนุ่มต่างถิ่นที่สะพายกระบี่ท่องยุทธภพ แต่วิชากระบี่กลับไม่ได้เรื่องผู้นี้ถูกใจเขามากกว่า ในเรื่องการสั่งสอนบุตรหลาน ตระกูลของบัณฑิตผู้มีความรู้มีความสามารถมากกว่าพรรคต่างๆ ในยุทธภพจริง สำหรับเรื่องนี้ซ่งอวี่เซายอมศิโรราบจากใจจริง สำหรับการปลูกฝังวิถีกระบี่ของตระกูลในช่วงต้น ตัวเขาเองมองมันเป็นดั่งเงาใต้โคมไฟ (มองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญ) หรือจะพูดอีกอย่างก็คือไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างมากก็แค่ดุด่าเท่านั้น ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว ผู้เฒ่าก็มีเพียงความละอายและความเสียดาย
อันที่จริงผู้เฒ่าก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดีกว่าหวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาสักเท่าไหร่
มารยาทมาจากตระกูล กฎเกณฑ์มาจากสำนัก
มารยาทกฎระเบียบ หากเป็นลูกหลานตระกูลเซียนที่แท้จริงจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเด็ก วิชาอาคมของเทพเซียน ตระกูลเซียนบนภูเขาสืบทอดต่อกันมาอย่างมีระบบ
สำหรับเรื่องนี้ซ่งอวี่เซามีประสบการณ์อย่างลึกล้ำ เขาเคยเดินทางไกลไปที่แคว้นหนันเจี้ยน เคยคบค้าสมาคมกับคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังของที่แห่งนั้น ต่อให้จะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ทุกคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ต่อให้เป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่ก็ยังทำให้คนรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้
ข้างทางระหว่างน้ำตกกับหมู่บ้านวารีกระบี่มีศาลาริมทางที่ชายคาตวัดโค้งงอขึ้นอย่างน่ารัก ห้อยกรอบป้ายคำว่า ‘ภูเขาแม่น้ำ’ กลอนคู่ที่ติดเอาไว้คือประโยคว่า ‘หินขาววับแวววาว น้ำใสไหลระริก’ เรียบง่ายแต่มีท่วงทำนองแปลกใหม่
เห็นได้ชัดว่าซ่งอวี่เซาชื่นชอบศาลาแห่งนี้มากเป็นพิเศษ เขาลากเฉินผิงอันไปนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวในศาลา คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ผู้เฒ่าวางกระบี่พาดหัวเข่า เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง คนหนึ่งมีเวทกระบี่ที่เลื่องลือไปทั้งยุทธภพว่าอยู่ในขอบเขตของอริยะ อีกคนหนึ่งตอนนี้แม้แต่จะออกกระบี่ยังไม่มีความมั่นใจ
การมองเห็นเปิดกว้าง เทือกเขายาวไกลดุจคิ้วของสาวงาม
ลมภูเขาพัดโชยเย็นสบาย ทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่ง
ซ่งอวี่เซานั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ได้คิดจะพูดคุยตามมารยาทกับเด็กหนุ่ม เพียงแค่คิดเรื่องในใจตัวเองไปเรื่อยๆ
ซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขาไม่ถือว่ามีความทะเยอทะยานต่อเรื่องราวในยุทธภพเท่าใดนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหลานสะใภ้คนนั้นที่คอยยุแยงอยู่เบื้องหลัง คอยเป่าหูอยู่ข้างหมอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เป็นเหตุให้หลานชายของตนรู้สึกว่าการเป็นผู้นำของยุทธภพเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ถือโอกาสทำไปพร้อมกันได้เลย อีกทั้งไม่ว่าจะขาวหรือดำก็เอาหมด ยังถึงขั้นคิดยื่นมือเข้าไปในราชสำนัก หาไม่แล้วด้วยนิสัยของซ่งเฟิ่งซาน ตอนนั้นไหนเลยจะสนใจองค์หญิงใหญ่ของแคว้นซูสุ่ย ไม่ฟันนางให้ตายด้วยกระบี่เดียวก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว
คำเรียกขานว่าสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยเพิ่งจะมีเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้เผยแพร่ในยุทธภพอย่างกว้างขวางเท่าใดนัก โดยทั่วไปแล้วมีเพียงปรมาจารย์ที่อยู่ในตำแหน่งอย่างหวังอี้หรานเท่านั้นที่พอจะเคยได้ยินมาบ้าง คนที่เป็นผู้นำก็คือชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่เดินทางมาพร้อมกับ ‘หมัวมัว’ มารผู้นั้น เขามีง้าวเงินที่เป็นสมบัติอาคมของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่ง สร้างพรรคมารพรรคหนึ่งขึ้นมาในแคว้นซูสุ่ย ส่วนอันดับที่สองคือหญิงสาวปีศาจในวัดโบราณ จากนั้นก็เป็นลูกหลานสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉงที่วางตัวถ่อมตน มีชาติกำเนิดจากตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่กลับฝึกวิชามาร ผูกมัดจิตใจและควบคุมขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูงของแคว้นซูสุ่ยไว้มากมาย
คนสุดท้ายของสี่พิฆาต ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้แค่ตรงหน้า ก็คือหลานสะใภ้ของซ่งอวี่เซา
มีครั้งหนึ่งที่ซ่งอวี่เซาออกเดินทางไกล นางได้รู้จักกับซ่งเฟิ่งซาน ‘โดยบังเอิญ’ คนทั้งสองจึงแต่งงานเป็นสามีภรรยากันลับหลังซ่งอวี่เซา ป่าวประกาศให้คนทั่วหล้ารับรู้ รอจนซ่งอวี่เซากลับมาถึงหมู่บ้าน ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว ที่น่าจนใจที่สุดเลยก็คือซ่งเฟิ่งซานที่รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาเป็นมาร แต่ก็ยังหลงมัวเมา ครั้งนั้นซ่งอวี่เซาออกกระบี่แล้ว หนึ่งกระบี่ฟันให้กระบี่เล่มเดิมที่หลานชายพกติดตัวขาดท่อน แล้วแทงอีกกระบี่ทะลุหน้าท้องของหญิงสาว ซ่งเฟิ่งซานสู้ตายกับปู่ของตัวเองราวกับเสียสติ ด้วยความโมโห ซ่งอวี่เซาจึงจะใช้กระบี่ตัดเส้นเอ็นข้อมือของหลานชายไม่เอาไหนคนนี้ให้ขาด จะได้สะบั้นหนทางแห่งวิถีกระบี่ของเขาลง วันหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นภัยแก่คนบนโลก คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะเอาตัวมาขวางเบื้องหน้าซ่งเฟิ่งซาน ปล่อยให้ผู้เฒ่าแทงกระบี่ทะลุหัวใจ แม้ว่านางจะไม่ได้ตายคาที่ แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะกลับขาดลงอย่างสิ้นเชิง นับแต่นั้นมากลายเป็นเพียงคนขี้โรคที่แม้แต่ลมหนาวของฤดูใบไม้ผลิก็ยังทนรับไม่ไหว
เรื่องราวเละเทะในครอบครัวที่น่าอับอายเหล่านี้ ซ่งอวี่เซารู้ดีว่าหลักการที่ต้องใช้ความรู้สึกทำให้คนซาบซึ้ง ใช้เหตุผลทำให้คนเข้าใจนั้นไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาถึงขนาดออกกระบี่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจน จนมันกลายมาเป็นบัญชีเลอะเลือนที่เกิดขึ้นโดยที่ใครก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
ซ่งอวี่เซาถอนหายใจยาวเหยียด
ศาลาภูเขาแม่น้ำเอยศาลาภูเขาแม่น้ำ ภูเขาทับซ้อน สายน้ำไหลริน ทัศนียภาพนั้นสวยงาม แต่เรื่องราวบนโลกมนุษย์กลับเป็นดั่งลมมรสุม ไม่เคยง่ายสมใจคนปรารถนา
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสซ่ง หลังจากนี้ข้าสามารถไปฝึกวิชาหมัดที่น้ำตกได้หรือไม่?”
ซ่งอวี่เซาตอบรับทันทีโดยไม่ต้องคิด “ทำไมจะไม่ได้เล่า ข้าจะป่าวประกาศออกไปว่า ตั้งแต่ศาลาภูเขาแม่น้ำไปจนถึงน้ำตกแห่งนั้นถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของหมู่บ้านวารีกระบี่ ใครละเมิดเข้ามาต้องตาย”
เฉินผิงอันเกาหัว รู้สึกเกรงใจไม่น้อย “ข้าแค่ไปฝึกวิชาหมัดตอนกลางคืนเวลาที่ไม่มีคนไปชมทัศนียภาพของน้ำตกก็พอแล้ว ตอนกลางวันไม่ต้องปิดทางหรอก ไม่อย่างนั้นจะดูไร้น้ำใจเกินไป”
ซ่งอวี่เซาส่ายหน้าหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่ใจไม่ถึงเอาซะเลย ข้าผู้อาวุโสคิดจะขีดเส้นแบ่งพื้นที่ไม่ให้ใครมาขี้ในบ้านของตัวเอง ยังจำเป็นต้องอธิบายเหตุผลกับคนนอกอีกหรือ?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่กล่าวว่า “หากทางหมู่บ้านต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไร ท่านผู้อาวุโสก็สั่งมาได้เลย”
ผู้เฒ่าตบกระบี่เหล็กบนเข่า กล่าวเสียงขุ่น “กระบี่ของข้าผู้อาวุโส ไม่เหมือนกับกระบี่สองเล่มที่เจ้าสะพายอยู่”
เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอามาดื่มเหล้า ไม่ได้พูดอะไร
ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม เก็บกระบี่แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ฝึกวิชาหมัดไปตามสบาย อยากอยู่ในหมู่บ้านนานแค่ไหนก็ได้ ใช่แล้ว ดมจากกลิ่นก็รู้ว่าเหล้าของเจ้าคงไม่อร่อยเท่าไหร่ เดี๋ยวกลับไปข้าผู้อาวุโสจะให้คนนำเหล้าฮวาเตียว (เหล้าเหลืองชนิดหนึ่ง) ที่ฝังไว้ใต้ดินนานถึงยี่สิบปีไปส่งยังที่พักของเจ้าหลายๆ ไห นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเหล้าที่ดี! ไอ้ที่เจ้าดื่มอยู่ตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าน้ำเปล่าเลย ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าจะมีคนหรือไม่มีคน มีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง เด็กน้อยอย่างเจ้าก็ชอบดื่มอึกสองอึกอยู่เป็นระยะ ข้าผู้อาวุโสล่ะอายแทนเจ้า”
ผู้เฒ่าเตะปลายเท้า ร่างล่องลอยออกไป พริบตาเดียวก็ไปปรากฏตัวอยู่บนกิ่งไม้สูงในป่าที่ห่างไปไกล ทะยานตัวขึ้นๆ ลงๆ อยู่แค่ไม่กี่ครั้งก็หายตัวไปไม่เห็นเงาอีก
เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาภูเขาแม่น้ำเพียงลำพัง
ได้เจอกับผู้อาวุโสในยุทธภพท่านนี้สองครั้ง เฉินผิงอันอดนึกไปถึงเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีไม่ได้ แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพ อีกคนคือองค์เทพฝ่ายบุ๋นที่เสวยสุขกับควันธูป อ้อ ใช่แล้ว ยังรวมถึงผู้ฝึกลมปราณคนที่รับหลวนหลวนเป็นลูกศิษย์ด้วย เขามักจะรู้สึกว่าพวกเขาสามคนมีบางอย่างคล้ายกัน แต่คล้ายกันตรงไหน เฉินผิงอันก็บอกไม่ถูกอีกเหมือนกัน แต่สรุปก็คือหลังจากที่เฉินผิงอันได้รู้จักพวกเขาแล้วถึงได้รู้สึกว่าเหล้าในน้ำเต้าของตัวเอง จะซื้อประเภทเหล้าต้มที่ถูกที่สุดอีกไม่ได้แล้วจริงๆ
ฮ่าๆ ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวเขาก็จะได้ดื่มเหล้าที่ดีที่สุดของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้วไม่ใช่หรือ?!
ประเด็นสำคัญก็คือเฉินผิงอันไม่ต้องจ่ายเงินด้วย!
ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันออกจากศาลาภูเขาแม่น้ำกลับไปยังที่พักจึงอารมณ์ดีสุดขีด
ไปถึงลานบ้าน สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเห็นเฉินผิงอันที่ใบหน้าแปะคำว่าดีใจเด่นหราก็หันมามองหน้ากันเอง อะไรกัน? ไปดูน้ำตกได้ผลดีขนาดนี้เชียวหรือ?
เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะหินอย่างสุขใจ เอ่ยกับพวกเขายิ้มๆ “ตอนกลางคืนข้าจะไปฝึกวิชาหมัดที่น้ำตก พวกเจ้าใครจะไปเป็นเพื่อนข้าบ้าง?”
ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะชั่วร้าย “หรือว่าตอนไปน้ำตก เจ้าไปแอบเห็นสาวงามอาบน้ำมา? ถ้ามีทัศนียภาพสวยงามแบบนี้ก็นับข้าไปด้วยอีกคน!”
จางซานเฟิงกะพริบตาปริบๆ “ข้าผู้เป็นนักพรตช่วยดูต้นทางให้พวกเจ้าได้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ใช่ที่ไหนกัน เมื่อครู่ข้ายังทะเลาะกับคนที่น้ำตกด้วย ต่อยตีกันไปรอบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของหมู่บ้านเหิงเตา ยังดีที่ผู้อาวุโสซ่งลงมือช่วยสกัดกั้นลูกธนูจากผู้ติดตามคนหนึ่งให้ข้า ไม่อย่างนั้นคาดว่าข้าคงต้องลงมืออย่างเต็มกำลังแล้ว ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจถูกข้าลากลงน้ำไปด้วย…”
ชายฉกรรจ์เคราดกจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน ถึงกับลากลงน้ำเลยหรือ ข้าเป็นชายชาตรีร่างกำยำปานนี้ก็ทำให้เจ้าน้ำลายไหลด้วยความปรารถนาได้หรือ? ข้าว่าจางซานเฟิงต่างหากที่พอจะดูมีความงามอยู่หลายส่วน เดี๋ยววันหน้าข้าจะช่วยซื้อชุดผู้หญิงจากเมืองเล็กมาให้เขาใส่ ถึงเวลานั้นให้เขาเดินไปเดินมาอยู่ตรงน้ำตก ไม่แน่ว่าข้าอาจช่วยทำหน้าที่เป็นผู้เฒ่าจันทราโยงด้ายแดงให้พวกเจ้าได้แต่งงานครองคู่กัน…”
เฉินผิงอันกำลังดื่มเหล้าเกือบจะพ่นเหล้าออกมา
จางซานเฟิงทำหน้าพะอืดพะอม รีบลุกขึ้นเดินออกห่างคนทั้งสอง แล้วกล่าวเสียงขุ่น “กระต่ายไม่กินหญ้าใกล้รังตัวเอง พวกเจ้ากลับดีนัก แม้แต่พี่น้องตัวเองก็ยังไม่ยอมละเว้น นี่มันเกินไปแล้วนะ”
ส่วนเฉินผิงอันก็ขยับเปลี่ยนเก้าอี้นั่งให้อยู่ห่างจากสวีหย่วนเสียอีกนิด…
ชายฉกรรจ์เคราดกลูบเครา “ทำไมเล่า ขนาดชีวิตยังสละให้พี่น้องได้ แค่เปลี่ยนมาสวมชุดผู้หญิงทำไม่ได้หรือไง? แบบนี้ก็ไม่มีน้ำใจพอน่ะสิ!”
จางซานเฟิงยกสองมือกุมหมัดวิงวอน เดินถอยหลังห่างออกไป “ข้าผู้เป็นนักพรตจะไปอ่านตำราในห้องแล้ว พวกเจ้ามีน้ำใจพอก็คุยกันไปเถอะนะ”
สวีหย่วนเสียหัวเราะชอบใจเสียงดัง
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ
และเวลานี้ผู้ดูแลแซ่ฉู่ก็มาเรียกที่นอกลานบ้านพอดี เขานำคนยกไหเหล้ารสเลิศมาด้วยตัวเองถึงสี่ไห พอวางไว้แล้วก็จากไปทันที สีหน้าที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินผิงอันยิ่งมีไมตรีจิตมากขึ้น
อันที่จริงจางซานเฟิงไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า เฉินผิงอันจึงคิดจะแบ่งกับสวีหย่วนเสียคนละครึ่ง หนึ่งคนสองไห สวีหย่วนเสียลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าเอาแค่ไหเดียวก็พอแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าเอาไปสามไห”
เฉินผิงอันแปลกใจเล็กน้อย
สวีหย่วนเสียกวาดตามองรอบด้าน เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงชี้ไปยังน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “คิดว่าข้ามองสายสนกลในอะไรไม่ออกเลยจริงๆ น่ะหรือ ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งชีวิตที่ข้าใช้มาในยุทธภพก็เสียเปล่าน่ะสิ ก็แค่ก่อนหน้านี้เกรงใจที่จะพูดเท่านั้น ก็เหมือนกับเรื่องที่จางซานเฟิงเรียกตัวเองว่าจางซานนั่นแหละ ใครบ้างที่ท่องอยู่ในยุทธภพแล้วจะไม่มีความลับเสียเลย? กาเหล้าใบนี้ของเจ้า หากไม่ใช่วัตถุฟางชุ่นของตระกูลเซียนในตำนาน ก็ต้องเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีค่ามากยิ่งกว่า ถูกไหม?”
ชายฉกรรจ์เคราดกยื่นนิ้วไปชี้ที่ดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง “ข้าน่ะมีตาทิพย์มาตั้งนานแล้วนา”
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “ปิดบังมานานขนาดนี้ ต้องขอโทษพวกเจ้าสองคนแล้ว”
สวีหย่วนเสียค้อนปะหลับปะเหลือก “พูดเหมือนผายลม มีอะไรให้ต้องขอโทษกัน คลุกคลีอยู่ในยุทธภพแล้วไม่รู้จักระวังตัวเองต่างหากที่ผิดต่อสหายอย่างแท้จริง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของชายฉกรรจ์เคราดกก็เปลี่ยนมาเป็นเซื่องซึม เขาเปิดจุกไหเหล้ารสเลิศของหมู่บ้านที่ถูกปิดผนึกมานาน เทเหล้ากรอกใส่กาเหล้าธรรมดาของตนใบนั้น เทจนเต็มแล้วก็แกว่งเบาๆ “นี่ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยไปตามมารยาทหรอกนะ แต่เป็นเพราะข้าเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาก่อนแล้ว”
สวีหย่วนเสียดื่มเหล้าอึกใหญ่ ถึงอย่างไรก็ยังมีเหล้าเหลืออีกเกินครึ่งไห ก่อนจะดื่มจนเมาล้มพับ รับรองว่ามากพอให้ดื่มจนอิ่ม!
เฉินผิงอันเห็นว่าชายฉกรรจ์อารมณ์ไม่แจ่มใสนักก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนสวีหย่วนเสียไปเงียบๆ เพียงแต่ว่าเขาดื่มช้า ส่วนชายฉกรรจ์นั้นดื่มเหมือนวัวกินน้ำ
สวีหย่วนเสียดื่มเหล้ากาหนึ่งหมดรวดเดียว เคราที่รกครึ้มเต็มใบหน้าเปรอะไปด้วยสุรา เขาเอามือปาดลวกๆ ถามพร้อมรอยยิ้ม “ในกาเหล้าของเจ้าบรรจุเหล้าเหมือนกัน แต่รสชาติจะต่างกันไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางโยนน้ำเต้าไปให้ชายฉกรรจ์ “ลองชิมเองเลย”
สวีหย่วนเสียชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง แหงนหน้ากรอกเข้าปากอึกใหญ่ พอโยนกลับคืนไปให้เฉินผิงอันแล้วก็กล่าวอย่างสาแก่ใจว่า “รสชาติดีกว่าเล็กน้อย!”
เฉินผิงอันหัวเราะชอบใจ “ผายลม! เหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าของข้าตอนนี้ยังเป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุดซึ่งซื้อมาจากเมืองเล็ก ยังจะเทียบกับเหล้าฮวาเตียวยี่สิบปีของหมู่บ้านได้หรือ?”
สวีหย่วนเสียเริ่มเมามาย ใบหน้าแดงก่ำ ลุกขึ้นยืนเดินโซเซไปทางห้องตัวเอง กะว่าจะนอนหลับเอาแรงสักงีบ แต่ก็ยังหันหน้ามายิ้มกว้าง พูดว่า “เหล้าของเซียนกระบี่ใหญ่ในอนาคตจะไม่อร่อยได้หรือ? ต้องอร่อยสิ!”
สวีหย่วนเสียหันหน้ากลับไป เดินเซไปเซมา ส่ายศีรษะโคลงเคลง พึมพำกับตัวเอง “วันหน้าข้าสวีหย่วนเสียก็เอาเรื่องนี้ไปโอ้อวดกับคนได้ทั้งชีวิตแล้ว!”
—–