กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 238.1 ร้อนน้อยผ่านไป ลมวสันต์ยังคงอยู่

บทที่ 238.1 ร้อนน้อยผ่านไป ลมวสันต์ยังคงอยู่

สีหน้าของหัวหน้ามารร้ายที่ลักษณะคล้ายเด็กหญิงเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ “ซ่งอวี่เซา วันนี้เจ้าตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะแตกหักกับข้าผู้เป็นเซียนแล้วอย่างนั้นรึ?”

ผู้เฒ่าชุดดำหยิบปฏิทินโหราศาสตร์เล่มเก่าออกมาจากสาบเสื้อ พลิกเปิดไปหน้าหนึ่ง จิ้มนิ้ววางไปยังตำแหน่งหนึ่งของหน้า ท่องเบาๆ ว่า “เหมาะให้รักษาศีลทำความดี เหมาะให้แสวงหาโชคลาภ”

ผู้เฒ่าเก็บปฏิทินโหราศาสตร์เล่มเก่าลงไป มือคว้าด้ามกระบี่สีทองสัมฤทธิ์เล่มนั้นสอดไว้ในฝัก ชี้มายังเด็กสาวแล้วกล่าวว่า “อนุญาตให้เจ้าใช้เงินฟาดเคราะห์”

เด็กสาวรู้กฎในยุทธภพของผู้เฒ่าประหลาดที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักเหรียญหยกเหลืองชิ้นหนึ่งออกจากมาสาบเสื้อ ด้านหลักของเหรียญนี้สลักคำว่า ‘ออกเหมยเข้าร้อนจัด’ ฝั่งตรงข้ามคือ ‘อสนีกัมปนาทฟาดฟ้า’ เงินหยกประเภทนี้ก็เหมือนกับเงินเกล็ดหิมะ ต่างก็เป็นเหรียญที่เทพเซียนบนภูเขาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน เงินหยกที่อยู่ในมือของเด็กสาวชิ้นนี้มีชื่อเล่นว่า ‘เงินร้อนน้อย’ (ร้อนน้อยในที่นี้หมายถึงช่วงฤดูกาลของชาวจีน หมายถึงช่วงที่เริ่มร้อน แต่ยังร้อนน้อย จะตรงกับประมาณช่วง 6-8 กค.) เมื่อเทียบกับเงินเกล็ดหิมะแล้ว มูลค่าก็คล้ายกับการเปรียบเทียบระหว่างเหรียญทองแดงกับก้อนตำลึงเงินของชาวบ้านร้านตลาดที่มีความแตกต่างกันสูงมาก

นางโยนเงินร้อนน้อยนี้ไปให้แก่ผู้เฒ่าชุดดำเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่ทิ้งคำอาฆาตไว้ กลับยังแย้มยิ้มให้เขาดุจบุปผาผลิบาน “ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน หวังว่าวันหน้าเมื่อข้าผู้เป็นเซียนไปเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านจะไม่ขับไล่ไสส่ง”

ผู้เฒ่าชุดดำรับเงินร้อนน้อยมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยให้เด็กสาวกลายร่างเป็นควันดำเข้มข้นกลุ่มหนึ่งที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปจากวัดโบราณ

ปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่มีชื่อว่าซ่งอวี่เซาคนนี้ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งทีก็มีลมเย็นหลายขุมที่เหมือนลูกธนูพุ่งไปสัมผัสตามช่องลมปราณหลายจุดตรงหัวใจของชายฉกรรจ์เคราดกกับนักพรตหนุ่ม เดิมทีคนทั้งสองถูกมารสาวสกัดจุดเล่นงาน ปากพูดไม่ได้ ตัวขยับไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไป ตราผนึกย่อมคลายออกด้วยตัวเอง แต่หากผู้เฒ่าไม่ได้ปรากฏตัว ในเวลาสั้นๆ นี้ก็คงต้องให้เฉินผิงอันรับมือกับศัตรูเพียงลำพังไปก่อน

นี่เป็นครั้งแรกที่จางซานเฟิงได้ลิ้มรสวิชาการสกัดจุดของยอดฝีมือในยุทธภพ หลังจากได้อิสระกลับคืนมาอีกครั้ง เขาก็รีบหอบหายใจเฮือกใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าใดนัก

เดิมทีสวีหย่วนเสียก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีวรยุทธ์เลิศล้ำอยู่แล้ว คราวนี้ต้องมาเสียท่า ใบหน้าใบหูจึงแดงก่ำด้วยความอับอายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาหันไปกุมมือคารวะผู้เฒ่า “ขอบคุณอริยะกระบี่ซ่งที่ยึดถือความเป็นธรรมให้ความช่วยเหลือ!”

ผู้เฒ่าชุดดำเป็นคนมีนิสัยประหลาด ได้ยินแล้วก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินดิ่งไปที่ข้างกองไฟแล้วนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า เริ่มหลับตาทำสมาธิ

สวีหย่วนเสียจึงกดเสียงลงต่ำเล่าเรื่องราวในยุทธภพให้จางซานเฟิงกับเฉินผิงอันฟังคร่าวๆ

แถบตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะสิบกว่าแคว้นที่อยู่ใกล้เคียงกับแคว้นไฉ่อี มีปรมาจารย์วิถีกระบี่อยู่สี่ท่านที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือในพื้นที่แถบหนึ่ง แคว้นไฉ่อีมีเทพกระบี่อยู่คนหนึ่งที่ถอนตัวออกจากวรยุทธ ไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษในป่าเขาได้สามสิบกว่าปีแล้ว เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทกระบี่ กระบี่ที่พกมีชื่อว่าตะวันสว่าง แต่ช่วงที่ผ่านมานี้กลับมีข่าวร้ายน่าพรั่นพรึงอย่างหนึ่งแพร่สะพัด บอกว่าผู้เฒ่าต้องตายเพราะถูกศัตรูตามมาแก้แค้น เป็นเหตุให้ยุทธภพรอบด้านเกิดคลื่นยักษ์โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง จิตใจผู้คนสั่นคลอนหวาดหวั่น

จากนั้นก็คือผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ในฐานะอดีตหัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านวารีกระบี่แคว้นซูสุ่ย ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด เมื่อเทียบกับเทพกระบี่ของแคว้นไฉ่อีแล้ว อายุของเขาน้อยกว่าถึงหนึ่งรุ่น ได้รับการขนานนามว่าอริยะกระบี่ กระบี่ที่พกมีชื่อว่าวารีเหล็ก เป็นผู้สร้างหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ย หัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันคือหลานชายคนโตของซ่งอวี่เซา พรสวรรค์ด้านวิชากระบี่ของเขาก็โดดเด่นน่าตะลึงมากดุจเดียวกัน

ส่วนแคว้นกู่อวี๋นั้นมีราชันกระบี่ที่ชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง พลังการสังหารสูงมาก ทว่าคุณธรรมกลับย่ำแย่อย่างถึงที่สุด เป็นเซียนอิสระที่ไม่มีที่อยู่แน่ชัดในยุทธภพ ไม่เคยสร้างสำนักหรือก่อตั้งพรรค ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เล่าลือกันว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋ กระบี่พกชื่อว่าไข่มุกมรกต

ส่วนแคว้นซงซีก็มีดาวรุ่งที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งซึ่งแต่งตั้งตัวเองว่าเป็นเซียนกระบี่ไผ่เขียว

ปรมาจารย์วิถีกระบี่ทั้งสี่ท่านนี้คือกลุ่มดาวที่ส่องแสงเจิดจรัส เปล่งประกายพริบพราวเหนือฟากฟ้าของยุทธภพในหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นไฉ่อีไว้ด้วย ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาก็ยังไม่กล้าดูแคลน

ผู้เฒ่าชุดดำพลันลืมตาขึ้น หัวเราะหยัน “ทำลับๆ ล่อๆ เผยตัวให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

ผู้เฒ่าที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘อริยะกระบี่’ ท่านนี้ชักกระบี่ออกจากฝักเสียงดังเช้ง ครั้นจึงฟันไปยังทิศทางแท่นบูชาเทวรูปของวัด ปราณกระบี่ส่องประกายเจิดจ้าพร่าตา แท่นบูชาเทวรูปที่เดิมทีก็ผุพังไม่เหลือสภาพดีอยู่แล้วพลันระเบิดแตกดังปัง จากนั้นก็เผยให้เห็นเป็นเด็กสาวผอมบางหน้าตางดงามคนหนึ่ง นางเอามือทั้งสองข้างกุมศีรษะเล็กๆ ไว้อย่างไม่สนใจสิ่งใด ราวกับว่าทำอย่างนี้แล้วจะไม่มีใครเห็นนาง

เมื่อเด็กสาวลักษณะประหลาดอีกคนหนึ่งปรากฏตัว กระดิ่งสดับปีศาจของจางซานเฟิงก็สั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ

วิชาการฝึกตนของภูตผีปีศาจและวัตถุหยินสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้แทบจะผิดหลักทำนองคลองธรรมทั้งหมด ขอแค่ตบะไม่ลึกล้ำมากพอ ขอบเขตไม่สูงมากพอ เมื่อเจอกับกระดิ่งสดับปีศาจก็มักจะไร้ที่ให้หลบเลี่ยง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระดิ่งสดับปีศาจกลายมาเป็นสิ่งของจำเป็นที่ผู้ฝึกลมปราณต้องพกติดตัวรองจากภาพแผนที่ไป๋เจ๋อ ก่อนหน้าที่สวีหย่วนเสียจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็เคยพกกระดิ่งเงินลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ไว้ป้องกันตัว

ความสนใจส่วนใหญ่ของสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงอยู่ที่เด็กสาวเสียมากกว่า

ส่วนเฉินผิงอันที่อยากจะฝึกกระบี่อย่างเป็นทางการแต่ยังหาวิธีเริ่มต้นเหมาะๆ ไม่เจอกลับตกตะลึงไปกับภาพกระบี่ที่ชักออกจากฝักของผู้เฒ่า ภาพนี้มองดูเหมือนเรียบง่าย เพียงแค่การตวัดมือครั้งหนึ่งเท่านั้น ทว่าปราณกระบี่กลับยิ่งใหญ่งดงามดุจสายรุ้ง ทุกที่ที่ปราณกระบี่พุ่งผ่านเหมือนถูกน้ำตกที่ร่วงดิ่งลงด้านล่างกระแทกเข้าใส่ บุกไปทางไหนก็แหลกราบไปทางนั้น

หลังจากที่มารเด็กสาวลงมือ หลิ่วชื่อเฉิงก็เงียบงันผิดปกติ เขาเอาแต่นั่งอยู่ข้างกองไฟไม่พูดไม่จา ก้มหน้า ยื่นมือสองข้างออกมาอังไฟ

“สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธ์ของศาสนาพุทธ จะปล่อยให้ปีศาจน้อยอย่างเจ้ามาทำให้แปดเปื้อนได้อย่างไร!”

สีหน้าของผู้เฒ่าชุดดำเย็นชาแข็งกระด้าง บิดข้อมือหนึ่งครั้งก็เห็นเพียงว่าปลายกระบี่ทองสัมฤทธิ์สั่นสะเทือนเบาๆ เพียงชั่วพริบตาก็มีแสงสีขาวบาดตาเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายกระบี่คล้ายเชือกพันธนาการปีศาจของเซียนซือบนภูเขาที่พุ่งออกไปเป็นขดโค้งงอ แต่ไม่นานก็สยายตัวอยู่กลางอากาศกลายเป็นตาข่ายแห่งกฎเกณฑ์ของวิถีสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งครอบลงใส่หัวของเด็กสาวขี้ขลาดที่ถูกตัดสินว่าเป็นปีศาจผู้นั้น

เฉินผิงอันเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในคลองจักษุอย่างเงียบเชียบ นี่ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เขาอย่างยิ่ง

ที่แท้คนเราสามารถควบคุมปราณกระบี่ที่เดิมทีเล็กละเอียดได้อย่างเชี่ยวชาญ สร้างการเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่นได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

ผู้เฒ่าถือกระบี่มือเดียว ทำทุกอย่างได้ง่ายดายเพียงตวัดมือ!

โดยเฉพาะมาดสุขุมนิ่งลึกนั้นที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสที่สุด

เด็กสาวถูกปราณกระบี่ที่เดิมทีรวมตัวเป็นกลุ่มเดียวกันแล้วค่อยขยายเป็นตาข่ายใหญ่แผ่ปกคลุมร่าง เสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ที่ดังขึ้นทำให้นางเจ็บปวดทรมานถึงขนาดลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ไฟร้อนแผดเผาที่รวดร้าวไปถึงหัวใจทำร้ายส่วนลึกของจิตวิญญาณปีศาจภูเขาอย่างนาง ขนาดเฉินผิงอันที่อยู่ในหอเรือนไม้ไผ่ยังเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แล้วนับประสาอะไรกับปีศาจน้อยที่ฝึกตนอย่างเฉื่อยชา ไม่แก่งแย่งชิงดีกับคนในโลกมานานหลายร้อยปีตนหนึ่ง?

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ เพียงไม่นานเด็กสาวก็รักษาร่างคนเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าเกินครึ่งเผยให้เห็นเป็นใบหน้าของจิ้งจอก หลังมือ ลำคอต่างก็มีขนสีขาวหิมะผุดขึ้นเป็นหย่อมๆ กลิ่นสาบจิ้งจอกโชยมาเบาๆ

ปีศาจจิ้งจอกสีขาวหิมะที่ตบะบางเบาตัวนั้นดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่บนพื้นพลางร้องครวญคราง “ข้าไม่เคยทำร้ายคน ข้าไม่เคยทำร้ายใครแม้แต่คนเดียว ข้าแค่แกล้งหลอกให้บัณฑิตที่มาค้างแรมในวัดร้างตกใจกลัวเท่านั้น อย่าข้าฆ่า อย่าข้าฆ่า…”

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าชุดดำจะมีปมบางอย่างในใจ มือกำกระบี่ยาว ปราณกระบี่ส่องแสงเจิดจรัส เอ่ยเสียงเฉียบขาด “ปีศาจก็คือปีศาจ มารก็คือมาร วันนี้ไม่ทำร้ายคนแล้วอย่างไร? รอจนตบะของเจ้าเพิ่มสูงขึ้นก็ย่อมต้องสังหารคนบริสุทธิ์เพื่อความสนุกของตัวเอง!”

เด็กสาวที่ร่างเกินครึ่งเปลี่ยนมาเป็นจิ้งจอกขาวนอนหมอบอยู่กับพื้น ลมหายใจรวยริน “ข้ายังเคยช่วยเหลือบัณฑิตสองคนมาจากมือของหมัวมัว ด้วยเหตุนี้ข้ายังต้องมอบของที่ตัวเองเก็บรักษาไว้อย่างดีให้กับพวกนาง พวกนางถึงได้ยอมปล่อยบัณฑิตทั้งสอง ข้าไม่มีทางทำร้ายคน ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นไปชั่วชีวิต…”

ผู้เฒ่าชุดดำหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “แค่ปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่ง ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ข้าผู้อาวุโสกล้าพูดว่าปีศาจร้อยตนที่ตายด้วยคมกระบี่ของข้า ส่วนที่ตายไปอย่างอยุติธรรม อย่างมากที่สุดก็มีแค่ตนเดียวเท่านั้น!”

จิ้งจอกอายุน้อยไร้เรี่ยวแรงจะอธิบายแล้ว ร่างของมันชักกระตุก เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วร่างอาบอยู่ท่ามกลางเลือดสด ดวงตาคลอประกายน้ำที่เดิมทีเป็นสีดำขลับแต่เปล่งประกายแวววาวผิดปกติ บัดนี้หม่นหมองไร้แสง เพียงแต่ว่าก่อนตาย เด็กสาวกลับไม่ด่าทอเคียดแค้นผู้เฒ่าที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม นางเพียงแค่เหม่อมองไปยังประตูใหญ่ของวัดโบราณคล้ายกำลังรอให้ซิ่วไฉ่ยากจนคนหนึ่งมาเยือน นางจะได้กลั่นแกล้งพวกเขาอีกครั้ง หากทำสำเร็จครั้งหนึ่งก็สามารถทำให้นางอารมณ์ดีไปได้หลายเดือน

หลิ่วชื่อเฉิงเงยหน้าขึ้นช้าๆ จุดลึกในดวงตามีแสงสีทองไหลเวียนวน มุมปากยกยิ้มเย็นชา อีกทั้งยังถอนหายใจอย่างจนใจดั่งคนที่ผ่านเรื่องทางโลกมาทุกรูปแบบ รู้สึกเพียงว่าต่อให้มีชีวิตอยู่อีกพันปี ชีวิตคนก็ยังน่าเบื่ออยู่แบบนี้

และในขณะที่หลิ่วชื่อเฉิงเตรียมจะลุกขึ้นนั้นเอง

เฉินผิงอันกลับลุกขึ้นมาก่อนแล้ว เขากระเด้งกล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังเบาๆ จู่ๆ ก็เปิดปากถามว่า “ผู้อาวุโสซ่ง หากปีศาจจิ้งจอกตัวนี้เป็นตัวที่ได้รับความอยุติธรรมตัวนั้นพอดี จะทำอย่างไร?”

ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก เอ่ยยิ้มๆ “แบบนั้นก็ดีเลย เพราะสามารถมั่นใจได้ว่าเก้าสิบเก้าตัวก่อนหน้านี้ และเก้าสิบเก้าตัวหลังจากนี้ล้วนเป็นปีศาจที่สร้างเรื่องก่อราวทำร้ายประชาชน ด้วยเหตุนี้ข้าผู้อาวุโสก็จะยิ่งออกกระบี่ได้รวดเร็วมากขึ้น”

เฉินผิงอันชี้ไปยังเด็กสาวที่กลายมาเป็นปีศาจจิ้งจอกเต็มตัวแล้ว “แล้วจะทำอย่างไรกับนาง?”

ผู้เฒ่าตบอก กล่าวอย่างจริงจังว่า “หากเปิดปฏิทินโหราศาสตร์แล้วบอกว่าเหมาะแก่การฝังศพ ข้าผู้อาวุโสก็จะฝังศพให้มัน หากบอกว่าไม่เหมาะก็ปล่อยให้ศพของมันตากแดดจนเหี่ยวแห้ง ให้มันภาวนาว่าชาติหน้าขอไปเกิดในครรภ์ที่ดี อย่าได้กลับมาเป็นปีศาจในภูเขาอีก แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดอย่าให้ข้าผู้อาวุโสได้พบเจอมันอีก”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างดึงดัน “ผู้อาวุโสเจอปีศาจกำจัดปีศาจ เจอมารปราบมาร แน่นอนว่าทำถูกแล้ว แต่ท่านสามารถทำให้ดียิ่งกว่านี้ได้อีก”

ผู้เฒ่าจ้องนิ่งไปยังเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “เจ้าเด็กน้อย เจ้าโง่หรือยังไง? แค่มาค้างแรมที่วัดร้างก็นึกว่าตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ที่ต้องช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ผู้อาวุโสซ่ง ต้องทำเช่นไรท่านถึงจะยอมปล่อยจิ้งจอกตัวนี้ไป?”

ผู้เฒ่าชุดดำซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงหนัก “เห็นแก่ที่เด็กน้อยอย่างเจ้าก็เป็นคนในยุทธภพที่ใช้กระบี่เหมือนกัน ข้าผู้อาวุโสก็จะเอากระบี่ที่เดิมทีควรใช้สังหารปีศาจจิ้งจอกมาใช้กับเจ้า หากเจ้าสามารถรับไว้ได้ เรื่องคืนนี้ในวัดร้างก็จะจบลงเพียงเท่านี้ ในอนาคตปีศาจจิ้งจอกตนนี้จะทำชั่วหรือทำดี ทำอย่างไรได้รับผลอย่างนั้น วันหน้าเจ้าก็เป็นคนรับผลกรรมนี้เอง แต่หากเจ้ารับไว้ไม่ได้ ตายอยู่ใต้กระบี่ของข้าผู้อาวุโส ก็ต้องโทษที่เจ้ามีความสามารถไม่มากพอ ตกลงไหม?”

สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ

ซ่งอวี่เซาหัวเราะร่า “ไม่เป็นไร หากพวกเจ้าสองคนจะลงมือ อย่างมากข้าผู้อาวุโสก็ออกกระบี่เพิ่มอีกสองที โดยใช้กฎเกณฑ์แบบเดียวกันก็เท่านั้น”

เสียงหัวเราะของผู้เฒ่าดังกังวาน เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่สะเทือนให้เสาคานทรุดโทรมในวัดร้างสั่นคลอน เศษฝุ่นร่วงกราว

“ตกลง!”

เฉินผิงอันพนักหน้ารับ หลังจากนั้นก็หันไปส่ายหน้าให้กับสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิง บอกเป็นนัยไม่ให้พวกเขาสอดมือเข้าแทรก

“ระวังล่ะ”

ผู้เฒ่าไม่ใช่คนมีนิสัยอืดอาด หลังจากส่งเสียงบอกเตือนแล้วก็โบกตวัดกระบี่ทันที

อยู่ห่างกันแค่หนึ่งจั้ง พายุลมกรดแสงกระบี่จึงพุ่งมาตรงหน้าเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที

ยันต์ย่อพื้นที่แผ่นหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันนานแล้ว เป็นยันต์กระดาษสีเหลืองธรรมดา เขานำมันมาคีบไว้ระหว่างสองนิ้ว ชั่วขณะที่ปราณกระบี่เข้ามาประชิดตัว ร่างของเฉินผิงอันก็หายไปจากตำแหน่งเดิม

ผู้เฒ่าชุดดำหลุดหัวเราะพรืด

ที่แท้หลังจากที่ปราณกระบี่เส้นนั้นฟันโดนความว่างเปล่าก็ยังพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นทิศทางที่จิ้งจอกขาวตัวนั้นนอนขดอยู่บนพื้นพอดี

ยันต์ย่อพื้นที่ที่มาจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ซึ่งหลี่ซีเซิ่งมอบให้นั้นมีความลี้ลับอัศจรรย์อย่างแท้จริง แต่ถือเป็นวัตถุที่ใช้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง หลังจากที่เฉินผิงอันใช้ยันต์นี้ก็มาโผล่ยังพื้นที่ว่างห่างออกไปสองจั้ง แต่หลังจากที่เขาค้นพบว่าปราณกระบี่ยังคงฟันเข้าหาปีศาจจิ้งจอก ก็ไม่ทันได้หยิบยันต์ย่อพื้นที่ออกมาอีกแผ่นหนึ่ง ได้แต่ดีดปลายเท้าทะยานตัวไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปที่ไหล่ คว้าด้ามกระบี่ไม้ไหวที่ชื่อว่า ‘ปราบมาร’ ดึงออกแล้วฟาดใส่ปราณกระบี่เส้นนั้น

แม้จะออกกระบี่ แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เฉินผิงอันก็ยังฝึกวิชาหมัดเป็นหลัก

ใช้ท่าทางที่ดุดันของกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้ แต่ออกกระบี่ไม้แทนออกหมัด เฉินผิงอันมีเพียงร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่สามารถผสานรวมวิชาหมัดกับปณิธานกระบี่มาใช้ร่วมกันได้ แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง การลงมืออย่างฉุกละหุกในครั้งนี้จึงเป็นท่าทางที่ทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัด

กระบี่ไม้ไหวที่มีปณิธานหมัดไหลเวียนวนฟันลงบนปราณกระบี่เส้นนั้นของผู้เฒ่า ขัดขวางไม่ให้มันพุ่งเข้าสังหารปีศาจจิ้งจอกอายุน้อยตัวนั้นไว้ได้

ทันใดนั้นแสงกระบี่ก็ระเบิดแตก ปราณกระบี่ปลิวว่อนสี่ทิศ

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท