ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาปกคลุม แสงไฟในหมู่บ้านวารีกระบี่ถูกจุดสว่างไสว ไม่ว่าจะเรือนหลังเล็กหรือหลังใหญ่ก็ล้วนมีแขกเหรื่อนั่งกันแน่นขนัด เสียงจอกเหล้ากระทบกันคลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะพูดคุย เหล้าหมักของหมู่บ้านถูกดื่มหมดไปหลายไหจนนับไม่ถ้วน ภายหลังว่ากันว่าต่อให้อยู่ไกลถึงเมืองเล็กก็ยังได้กลิ่นหอมของสุราที่ลอยไปจากหมู่บ้าน
เฉินผิงอันถามผู้ดูแลฉู่เรื่องท่าเรือของตระกูลเซียนจึงรู้ว่าแคว้นซูสุ่ยมีสถานที่แบบนี้อยู่จริง อยู่ห่างจากหมู่บ้านวารีกระบี่ไปอีกหกร้อยกว่าลี้ ตั้งอยู่ตรงชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซี ได้ยินมาว่ามักจะมีผู้ฝึกลมปราณเข้าออกเป็นประจำ แต่ในรัศมีสามร้อยลี้โดยรอบได้กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเชื้อพระวงศ์แคว้นซูสุ่ยนานแล้ว หากไม่มีเอกสารผ่านทางที่เขตการปกครองออกให้ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือผู้ฝึกยุทธ์ที่บุกเข้าไปก็ล้วนต้องถูกสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น ผู้ดูแลเฒ่ารู้จักคนมากมาย มีประสบการณ์โชกโชน อีกทั้งยังเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเองว่าหมู่บ้านวารีกระบี่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจวนผู้ตรวจการของชายแดน เป็นสหายที่สนิทกันมาก ขอแค่อดีตผู้นำหมู่บ้านเขียนจดหมายหนึ่งฉบับก็สามารถนำมาใช้แทนเอกสารผ่านด่าน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเฉินผิงอันเปลืองแรงกายแรงใจ
จางซานเฟิงถามเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่งว่า ที่ท่าเรือมีร้านที่เป็นของผู้ฝึกลมปราณซึ่งใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือไม่ พ่อบ้านเฒ่าบอกว่ามี เพราะหลังจากที่กระบี่เล่มเดิมของซ่งเฟิ่งซานนายน้อยผู้นำหมู่บ้านถูกทำลายไป เขาก็เคยไปที่ท่าเรือด้วยตัวเองหนึ่งรอบ และนำกระบี่สั้นที่ห้อยติดเอวเวลานี้กลับมา ผู้ดูแลเฒ่าพูดเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาหมดไม่มีหมกเม็ด ไม่เพียงแต่เปิดเผยเรื่องวงในของแคว้นซูสุ่ย แม้แต่เรื่องลับที่เพื่อซื้ออาวุธเทพตระกูลเซียนอย่าง ‘วารีสีคราม’ เล่มนั้นกลับมา ซ่งเฟิ่งซานต้องสูญเงินเกล็ดหิมะไปถึงเก้าร้อยเหรียญซึ่งเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของเงินทองที่สะสมไว้ในหมู่บ้าน เขาก็เล่าให้คนทั้งสามฟังหมดเหมือนเทถั่วจากกระบอกไม้ไผ่
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะผู้ดูแลเฒ่าถูกคำว่าคุณธรรมในยุทธภพพุ่งขึ้นหัวจนสมองเลอะเลือน ถึงขนาดไม่รู้ข้อห้ามที่ว่าไม่ควรพูดคุยลึกซึ้งกับคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน แต่เป็นเพราะอริยะซ่งเคยมากำชับกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า การปฏิบัติตัวต่อคนทั้งสาม โดยเฉพาะกับเฉินผิงอันเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ สามารถปฏิบัติเหมือนสหายที่เขาซ่งอวี่เซาสนิทมานานจนลืมเวลาทางหมู่บ้านไม่จำเป็นต้องมีการระแวงป้องกันใดๆ
คำพูดหนักดุจทองพันชั่ง ความสัมพันธ์ที่เป็นตายแทนกันได้ สองคำว่าสหายจึงหนักอึ้งดุจขุนเขา
นี่คือคุณธรรมในยุทธภพที่คนรุ่นเก่าอย่างซ่งอวี่เซาเลื่อมใส ผู้ดูแลเฒ่าแซ่ฉู่ติดตามอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยมาเป็นเวลาหกสิบปีแล้ว ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาพร้อมกับหมู่บ้าน แล้วจะไม่ถูกกลิ่นอายในยุทธภพนี้ของซ่งอวี่เซาแพร่มาสู่ตัวได้อย่างไร นี่ถึงทำให้เขาสุขุมรอบคอบ ระมัดระวัง ไร้ความแค้นไร้ความเสียใจอย่างทุกวันนี้
ในห้องของจางซานเฟิง คนทั้งสามกินอาหารค่ำเต็มโต๊ะที่อุดมสมบูรณ์อิ่มแล้ว เฉินผิงอันก็เตรียมจะไปฝึกหมัดที่น้ำตก แต่จู่ๆ กลับถูกจางซานเฟิงเรียกตัวเอาไว้ บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ ชายฉกรรจ์วางเท้าข้างหนึ่งลงบนม้านั่งตัวยาว ใช้ซีกไม้ไผ่บางๆ แคะฟัน ถามจางซานเฟิงว่าต้องให้เขาเลี่ยงไปที่อื่นหรือไม่ นักพรตหนุ่มวิ่งไปเปิดห่อสัมภาระพลางพูดไปด้วยว่าไม่ต้อง เพียงไม่นานจางซานเฟิงก็หยิบตะเกียบไม้ไผ่คู่หนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ ผลักไปให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “เอามาทำไม? ข้าวก็กินอิ่มแล้ว เจ้าเอาตะเกียบมาให้ข้าทำอะไร?”
ตะเกียบไม้ไผ่คู่ที่อยู่บนโต๊ะก็คือหนึ่งในของเชลยศึกที่จางซานเฟิงได้รับมาจากเมืองแยนจือ ข้างหนึ่งสลักคำว่าภูเขาชิงเสิน อีกด้านหนึ่งสลักคำว่าไม้ไผ่เสินเซียว
จางซานเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ยกให้เจ้า ถือว่าเป็นดอกเบี้ยของเสื้อเกราะกวางหมิงสำนักโม่เม็ดนั้น ชีวิตนี้ข้าผู้เป็นนักพรตกลัวว่าจะต้องติดเงินคนอื่นมากที่สุด พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วจะต้องกินนอนไม่เป็นสุข แล้วนับประสาอะไรกับที่ติดหนี้ครั้งหนึ่งมากถึงห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะ ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินทองจริงๆ ก็ตั้งห้าแสนตำลึงเงิน ตามคำบอกของผู้ดูแลฉู่ ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ทรัพย์สินที่สั่งสมมาหนึ่งร้อยปีของหมู่บ้านวารีกระบี่ก็ยังรวมกันได้ไม่เกินสองล้านตำลึงเงินกว่าๆ หากไม่คืนอะไรให้เจ้าบ้าง คืนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตต้องนอนไม่หลับแน่ๆ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าโง่หรือไง หากตะเกียบคู่นี้ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวของถ้ำสวรรค์ชิงจู๋ (ไผ่เขียว) จริง ไม่แน่ว่าอาจเอาไปขายได้หลายร้อยเงินเกล็ดหิมะ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ไม่ใช่ไม้ไผ่จากภูเขาชิงเสิน แต่บนตะเกียบเล่มนี้มีปราณวิญญาณที่หลายร้อยปีก็ไม่สลายไปไหน อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้ ในเมื่อเป็นวัตถุวิเศษหลังกำเนิดชิ้นหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องขายได้หลายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะกระมัง? ดอกเบี้ย? มีดอกเบี้ยที่ไหนสูงขนาดนี้? เจ้าจางซานเฟิงเห็นว่าข้าเป็นพ่อค้าชั่วไร้คุณธรรมที่เก็บดอกเบี้ยสูงลิ่วหรือไง?”
เฉินผิงอันยิ่งพูดยิ่งโมโห ผลักตะเกียบคืนให้นักพรตหนุ่ม “อีกอย่าง เดี๋ยวพวกเราก็ต้องไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนของแคว้นซูสุ่ยแล้ว ในเมื่อมีร้านรับแลกเปลี่ยนสมบัติอาคมอยู่ ก็รอให้มั่นใจในราคาของตะเกียบไม้ไผ่ก่อนค่อยว่ากัน หากมีค่าแค่ไม่กี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ข้าค่อยรับเอาไว้ แต่ถ้าเกินห้าสิบเหรียญ เจ้าก็ห้ามคืนมันเป็นดอกเบี้ยให้ข้าเด็ดขาด”
จางซานเฟิงส่ายหน้า น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ไม่ได้! มโนธรรมในใจข้าผู้เป็นนักพรตไม่อาจสงบลงได้ มรรคาที่ลัทธิเต๋าแสวงหา หวาดกลัวมารในใจเป็นที่สุด เจ้าเฉินผิงอันอย่าได้มาทำให้เส้นทางการฝึกตนของข้าผู้เป็นนักพรตเอนเอียง!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด่าอย่างไม่จริงจังนัก “เจ้าพูดจาส่งเดชแล้ว ไป๊ๆๆ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดกันแล้ว เอาเก็บกลับไป! ไม่อย่างนั้นแน่จริงก็มาสู้กันสักตั้ง ใครชนะต้องทำตามคนนั้นไหมล่ะ?”
จางซานเฟิงถึงได้เงียบเสียงลง
เฉินผิงอันผลักประตูเดินออกไปฝึกหมัดที่น้ำตก
จางซานเฟิงถอนหายใจ มองไปยังชายฉกรรจ์เคราดก “ข้าจะทำอย่างไรดี?”
สวีหย่วนเสียกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “มาแข่งนิสัยสุธนกุมารชอบแจกเงินกับเฉินผิงอัน เจ้ายังห่างไกลอีกหนึ่งหมื่นแปดพันลี้”
จางซานเฟิงกลัดกลุ้มเล็กน้อย รินเหล้าต้มให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ก้มหน้าจิบคำเล็กๆ คำเดียวก็หน้าแดงก่ำไปหมด
เดิมทีในศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายที่ไล่ฆ่าลูกศิษย์ใหญ่ของมารเฒ่าหมี่ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น ระหว่างเส้นแบ่งความเป็นความตาย นักพรตหนุ่มพลันบังเกิดความคิด กรอกปราณวิญญาณเข้าไปในเม็ดเสื้อเกราะ ใช้เสื้อเกราะกวางหมิงปกป้องกาย ถึงรับการโจมตีเอาชีวิตของปีศาจตนนั้นแทนนักพรตจงเมี่ยวไว้ได้ นักพรตเฒ่าที่มองของสิ่งนั้นออกแสดงความตื่นตะลึงเต็มใบหน้า ร้องอุทานอย่างเหลือเชื่อ บอกว่าสมบัติล้ำค่าของสำนักการทหารชิ้นนี้ แค่เคยได้ยินมาว่าสิบกว่าแคว้นตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีไว้ด้วยนั้น มีแค่ในคลังสมบัติเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋เท่านั้นที่มีเม็ดเสื้อเกราะมูลค่าควรเมืองเก็บไว้หนึ่งชิ้น เล่าลือกันว่าเคยมีบุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธ์ของแคว้นซงซียอมจ่ายเงินหิมะน้อยถึงหกพันเหรียญเพื่อขอซื้อจากฮ่องเต้แคว้นกู่อวี่ แต่ก็ยังโดนปฏิเสธ
หลังจากนั้นมาในใจของนักพรตหนุ่มก็คิดถึงแต่เรื่องนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเฉินผิงอันอย่างไร ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในวัดโบราณ ระยะทางเจ็ดร้อยกว่าลี้ที่เดินทางกันมา เฉินผิงอันเงียบขรึมผิดปกติ จางซานเฟิงก็ยิ่งไม่มีโอกาสได้พูดคุยเปิดอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมา
ตอนนี้เมื่อมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ และอีกไม่นานก็จะไปที่ท่าเรือของตระกูลเซียน ด้วยทนรับความทรมานในใจนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ จางซานเฟิงจึงเล่าเรื่องนี้ให้ชายฉกรรจ์เคราดกซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพมาอย่างโชกโชนฟัง สวีหย่วนเสียช่วยนักพรตหนุ่มยืนยันสองเรื่อง หนึ่งคือเฉินผิงอันต้องแน่ใจในราคาที่แท้จริงของเม็ดเสื้อเกราะนั้น ตอนนั้นที่บอกว่ามันมีราคาแค่ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะก็เพราะตั้งใจจะกึ่งขายกึ่งยกให้จางซานเฟิง ข้อสองก็คือตามคำบอกของจางซานเฟิง ตอนที่เฉินผิงอันนั่งเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวจากอุตรกุรุทวีป ได้พักอยู่ในห้องอักษรตัวเทียน แม้จะไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กหนุ่มที่แบกกระบี่มุ่งหน้าลงใต้มีชาติกำเนิดยากจนจากชั้นชนล่างสุด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าต้องมีโชควาสนาเป็นของตัวเอง อีกอย่างดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินเงินทองเท่าไหร่นัก อย่างน้อยกับเพื่อนก็เป็นแบบนี้
ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างการติดเงิน แต่เป็นการติดหนี้น้ำใจใหญ่เทียมฟ้า
สุดท้ายสวีหย่วนเสียไม่ได้บอกจางซานเฟิงว่าควรทำอย่างไร แต่พูดแค่สองประโยค ประโยคแรกคืออย่าได้เห็นว่าการทุ่มเทอย่างจริงใจของสหายเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ประโยคที่สองก็คือพี่น้องต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน ความสัมพันธ์ถึงจะยืนยาวได้ อย่าได้คิดเด็ดขาดว่าเป็นเพื่อนกันแล้วก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อย เพราะนั่นคือความคิดไร้เดียงสาของเด็กที่ยังไม่เติบโต
ดังนั้นจางซานเฟิงถึงคิดจะอาศัยข้ออ้างว่าจ่ายดอกเบี้ย หวังจะมอบตะเกียบไม้ไผ่มหัศจรรย์ที่มาจากภูเขาชิงเสินคู่นั้นให้เฉินผิงอัน
การที่เขาไม่ได้มอบถ้วยขาวที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินให้เป็นน้ำค้างหวานหยดหนึ่งอย่างช้าๆ ก็เพราะตัวจางซานเฟิงเองคือผู้ฝึกลมปราณ สำหรับจางซานเฟิงแล้ว ถ้วยขาวถือเป็นของจำเป็นบนเส้นทางการฝึกตน สามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ำค้างหวานที่รอมานานท่ามกลางความแห้งแล้ง เป็นดั่งการยื่นถ่านให้ในวันหิมะตก แต่เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่จำเป็นต้องใช้ หากมอบให้เขาก็เป็นแค่การเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร ต่อให้รับถ้วยขาวไป อย่างมากก็เอาไปขายแลกเงินหิมะน้อยมาเท่านั้น
จางซานเฟิงดื่มเหล้า ใบหน้าแดงก่ำ พูดเสียงอ้อแอ้ด้วยความเมามาย “พี่ใหญ่สวี เจ้าช่วยคิดวิธีหน่อยเถอะ ข้านักพรตน้อยคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ”
ชายฉกรรจ์เคราดกกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่ได้จริงๆ เจ้าก็สวมชุดผู้หญิงดีไหม? ข้าเห็นว่าตลอดทางมานี้เฉินผิงอันไม่มีความสนใจในตัวหญิงสาวหรือผีสาวเลยแม้แต่นิดเดียว ใครควรฆ่าก็ฆ่า ไม่เคยเลอะเลือนเลยสักครั้ง…”
ได้ยินชายฉกรรจ์เคราดกพูดจาเหลวไหล นักพรตหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือก เอาศีรษะโขกหน้าโต๊ะ เมาหลับไปทันที
สมกับคำว่าวันนี้มีเหล้าวันนี้เมา พรุ่งนี้มีทุกข์ค่อยทุกข์พรุ่งนี้อย่างแท้จริง
สวีหย่วนเสียใช้ฝ่ามือลูบหนวดเครา ในสมองมีภาพสองภาพลอยขึ้นมา ล้วนเป็นภาพในวัดร้างที่เด็กหนุ่มพูดกับหญิงสาวร่างอวบอิ่มคนหนึ่งว่า หากอากาศหนาวก็ยื่นมือไปอังไฟ
จากนั้นก็เป็นภาพที่หลังจากหญิงสาวกลายเป็นผี เด็กหนุ่มบีบคออีกฝ่ายแล้วต่อยหมัดรัวจนวิญญาณของผีสาวแหลกสลาย
แล้วสวีหย่วนเสียก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อครู่ตอนที่คุยกันบนโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันพูดถึงความขัดแย้งตรงน้ำตก บอกว่ามีหญิงสาวห้อยดาบกลับด้านคนหนึ่งถูกเขาต่อยจนปลิวไปตกในบ่อน้ำ
ชายฉกรรจ์สะดุ้งโหยง กล่าวอย่างอกสั่นขวัญผวา “เฉินผิงอัน! เจ้าคงไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ หรอกกระมัง?”
……
ในห้องโถงของเรือนหลักหมู่บ้านวารีกระบี่ เสียงแก้วชนแก้วดังไม่ขาดสาย เจ้าบ้านและแขกต่างก็กินดื่มกันอย่างสำราญ กลิ่นหอมของสุราทำให้คนเมามาย
ในห้องโถงใหญ่ปูพรมหลากสีผืนใหญ่ ซึ่งก็คือ ‘เสื้อปูพื้น’ ที่มีเฉพาะในเมืองจือหนวี่ (สาวทอผ้า) แคว้นไฉ่อี
ซ่งอวี่เซาอดีตหัวหน้าหมู่บ้านยังคงไม่ยอมปรากฎตัวมารับแขก นายน้อยผู้นำหมู่บ้านอย่างซ่งเฟิ่งซานจึงนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ข้างกายคือภรรยาผู้เพียบพร้อมที่คอยจัดการดูแลเรื่องราวทั้งในและนอกหมู่บ้าน แม้ว่าสตรีแต่งงานแล้วจะควบคุมดูแลบ้านได้อย่างเป็นระบบระเบียบ แต่รู้จักความเหมาะสมดีเยี่ยม ไม่เพียงแต่รับรองแขกได้อย่างครอบคลุมไร้ข้อบกพร่อง ทั้งยังไม่เคยบดบังรัศมีของสามีตัวเอง เป็นเหตุให้ต่อให้ซ่งเฟิ่งซานจะปิดด่านเพื่อทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่ตลอดทั้งปี ชื่อเสียงของเซียนกระบี่น้อยในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยกลับยิ่งโด่งดัง สุดท้ายดังจนถึงขั้นที่สามารถจัดงานประชุมครั้งใหญ่รวมคนในยุทธภพได้
บุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจของพรรคลำดับต้นๆ ในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยล้วนพากันมาร่วมงานคืนนี้ นอกจากพวกผู้อาวุโส ยักษ์ใหญ่สายขาวที่มาจากสำนักดั้งเดิมที่ถูกต้องของยุทธภพแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอิสระจำนวนมากจนน่าทึ่ง รวมถึงผู้เฒ่าบางส่วนที่ไม่ปรากฏตัวในยุทธภพมานานมากแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนมีอายุประมาณเจ็ดสิบปี และยังมีผู้เฒ่าสองคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างก็อาศัยโอกาสนี้มารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ร่วมดื่มร่วมฉลองอย่างสำราญใจ ให้เกียรติแก่หมู่บ้านวารีกระบี่อย่างเพียงพอ
คู่พี่น้องสกุลหานที่มาจากภูเขาเสี่ยวฉง บัณฑิตหานหย่วนซ่าน เด็กสาวหานหยวนเสวีย ตำแหน่งที่นั่งของคนทั้งสองไม่ได้อยู่หน้าสุด เพราะว่าสถานะของพวกเขาค่อนข้างพิเศษ ถือเป็นคนจากตระกูลขุนนาง หากตำแหน่งที่นั่งในคืนนี้สะดุดตาเกินไป อันที่จริงล้วนไม่ส่งผลดีต่อทั้งหมู่บ้านวารีกระบี่และสกุลหาน ย่อมต้องนำมาซึ่งคำนินทาจากจอมยุทธ์มากมายในยุทธภพ
คู่พ่อลูกหวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาและบุตรสาวหวังซานหูนั่งอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นกว่าคู่พี่น้องสกุลหาน ห่างกันเพียงแค่สองโต๊ะกั้น
สำหรับเรื่องนี้เด็กสาวหานหยวนเสวียไม่ใคร่จะพอใจนัก นางรู้สึกว่าถูกเมินจากทางหมู่บ้าน ไม่ว่าสกุลหานจะไปอยู่ที่ไหนในแคว้นซูสุ่ยก็ไม่ควรพบเจอกับสภาพเหตุการณ์เช่นนี้ถึงจะถูก ส่วนหานหยวนซ่านที่ลักษณะคล้ายปัญญาชนผู้สุภาพอ่อนโยน มือหนึ่งถือพัดโบกเบาๆ อีกมือหนึ่งยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม ไม่ถือสาเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และสถานะอีกอย่างหนึ่งของคนผู้นี้ก็ยิ่งน่าตะลึงพริงเพริดเข้าไปอีก เพราะเขาคือหนึ่งในสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ ‘บนภูเขา’
แม้ว่าแคว้นซูสุ่ยจะมีท่าเรือของตระกูลเซียน แต่ในอาณาเขตของแคว้นกลับไม่มีสำนักบนภูเขานั่งบัญชาการณ์ ดังนั้นเอาเข้าจริงแล้วสี่พิฆาตที่ชื่อเสียงไม่ค่อยน่าฟังเท่าใดนี้จึงมีความหมายถึงยอดฝีมือกลุ่มเล็กๆ ในยอดบนสุดของแคว้นซูสุ่ย หลุบตาลงต่ำมองยุทธภพ ก้มมองผู้ฝึกยุทธ์อย่างโอหัง อีกทั้งหานหยวนซ่านยังมีสถานะที่สะอาดไร้มลทินจากสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉง มีญาติมิตรอยู่มากมายดุจขนวัวในราชสำนักอันเป็นใจกลางสำคัญและในวงการขุนนาง เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เดินได้อย่างราบรื่น แน่นอนว่าในหมู่บ้านวารีกระบี่ที่มีบารมีสะเทือนไปทั้งยุทธภพก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
—–