เมืองใหญ่เขตการปกครอง ในเรือนที่เงียบสงบไม่สะดุดตาหลังหนึ่งมีแขกสูงศักดิ์ของเมืองหลวงมาพักอยู่ที่นี่ แม้ว่าเรือนหลังนี้จะไม่หรูหราใหญ่โต แต่ก็สะอาดสะอ้าน ของตกแต่งทุกชิ้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเรียบง่ายสง่างามอย่างบ้านเรือนของปัญญาชนผู้มีความรู้ อีกทั้งยังเงียบสงบทั้งๆ ที่อยู่ในพื้นที่จอแจ เห็นได้ชัดว่าผู้สร้างทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย
มีสตรีแต่งงานแล้วที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและมั่งคั่งยืนอยู่ในลานบ้าน แม้ว่าอายุจะไม่น้อยแล้ว แต่กลับดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ความงดงามจึงยังคงอยู่ หากไม่ตั้งใจเพ่งมองริ้วรอยเล็กๆ ตรงหางตา นางก็คล้ายสตรีวัยสามสิบเท่านั้น เวลานี้นางกำลังก้มตัวโยนอาหารเลี้ยงปลาในอ่างขนาดใหญ่ ด้านในอ่างเลี้ยงปลาทองตัวเล็กสิบกว่าตัว นอกจากนี้ยังมีดอกบัวสีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำได้อีกหลายดอก สีทองและเขียวขับดันกันได้อย่างน่ามอง
นอกจากสตรีจากเมืองหลวงที่มีท่าทางสูงศักดิ์คนนี้ ในลานบ้านยังมีสาวใช้พกดาบร่างกายล่ำสันอีกคนหนึ่ง นอกจากนี้ก็ไม่มีคนอื่นอีก
ทว่าตรอกซอกซอยรอบบ้านกลับมีกลไกลับแฝงไว้ ไม่เพียงแต่มีทหารกล้ามือดีของกองทัพให้การอารักขา ยังมียอดฝีมือวิถีวรยุทธ์อีกหลายคนแฝงตัวปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้าน มือปราบมากความสามารถประสบการณ์โชกโชนของที่ว่าการมณฑลหลายนายก็คอยให้การพิทักษ์อย่างลับๆ แขกจากเมืองหลวงท่านนี้ย่อมต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างแน่นหนานี้ สาวใช้พกดาบที่ร่างกำยำดุจบุรุษกลับล้มลงนอนพังพาบอยู่บนพื้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ด้านหลังของสาวใช้มีคุณชายหน้าตาหล่อเหลาในมือถือพัดคนหนึ่งปรากฏกาย เขาโบกพัดเอาลมเย็นๆ มาให้ตัวเองจนเส้นผมตรงจอนปลิวไสวเบาๆ เขายิ้มมองไปยังสตรีแต่งงานแล้วที่ยังคงค้อมตัวให้อาหารปลา ส่วนเว้าส่วนโค้งที่อวบอิ่มของนางปรากฎให้เห็นชัดเจน คุณชายหนุ่มรู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพในเวลานี้งดงามจนไม่อยากละสายตา ไม่เสียแรงที่เดินทางมาในครั้งนี้
สตรีแต่งงานแล้วยืดตัวขึ้น หันหน้ามามองคนหนุ่มผู้นี้เงียบๆ
คนหนุ่มยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฮูหยิน ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกันที่เมืองหลวงมาแล้ว”
สีหน้าของสตรีเยือกเย็น เอ่ยเยาะหยัน “ลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงมีความกล้ามากพอจะงัดข้อกับแม่ทัพใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
คุณชายหนุ่มหุบพัดลง ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงช้าๆ สุดท้ายเผยให้เห็นใบหน้าที่สตรีแต่งงานแล้วคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด คนหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยเสียงที่สตรีแต่งงานแล้วคุ้นหู “แล้วตอนนี้ล่ะ? ฮูหยินคนดีของข้า?”
ก่อนหน้าที่สตรีแต่งงานแล้วจะแผดเสียงด้วยความตกใจ หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงก็ยกนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมา ทำเสียงชู่ว์เบาๆ “ฮูหยินโปรดวางใจ ข้าหานหยวนซ่านแค่ชอบขโมยใจ ไม่เคยขโมยร่างกายของสตรีคนใด แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งฮูหยินจะยินดีสนิทสนมใกล้ชิดกับข้า…”
หานหยวนซ่านที่เผยโฉมด้วยใบหน้าของฉู่หาวชี้ไปยังอ่างปลา หยุดพูดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เข้ากันได้ดีดุจปลากับน้ำ”
……
เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีมีปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสูงวัย ตรงเอวห้อยหยกประดับชิ้นหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมืองหลวงแคว้นไฉ่อี ห้องทรงพระอักษรในวังหลวงก็มีปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยเจ็ดสิบปีคนหนึ่งยืนสองมือไพล่หลัง ตรงเอวเขาก็พกหยกประดับเช่นกัน ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหน้าต่างไม่พูดไม่จา ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อียืนตัวสั่นงันงกอยู่ข้างกาย แม้แต่จะนั่งก็ยังไม่กล้านั่ง
แคว้นกู่อวี๋ ยังคงเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมเสื้อสีเขียวคนหนึ่ง คนผู้นี้อายุสามสิบปี ตรงเอวก็ห้อยหยกประดับลักษณะเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขานั่งอยู่ในรถม้าหยาบๆ คันหนึ่งที่เช่ามากับสารถีร่างกายบึกบึนคนหนึ่งที่บ่นโน่นตินี่มาตลอดทาง ขณะที่อยู่บนถนนทางหลวงห่างจากแคว้นกู่อวี๋อีกยี่สิบลี้ สารถีก็ตกใจจนพูดไม่ออก เขาที่สายตาไม่เลวมองเห็นว่าตรงนั้นมีทหารม้านับพันนับหมื่นยืนออ มีขุนนางใหญ่สวมชุดขุนนางกลุ่มใหญ่ และดูเหมือนว่าจะมีบุรุษที่สวมชุดคลุมสีเหลืองอีกคนหนึ่งที่ยืนกุมมืออยู่ข้างจุดพักม้า คล้ายกำลังรอคอยใคร?
บัณฑิตที่อยู่ในห้องโดยสารวางตำราในมือลง พูดกับสารถีว่า “ไปถึงจุดพักม้าแล้วค่อยจอดรถ วางใจเถอะ พวกเขามารอข้า นอกจากเงินที่จ่ายไปก่อนหน้านี้ รางวัลที่ราชสำนักกู่อวี๋มอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัวก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดของข้าแล้วกัน”
กล่าวจบ บัณฑิตวัยกลางคนก็เก็บตำราพลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “กว่าจะได้ออกมาครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มาถึงแคว้นกู่อวี๋แล้ว เจ้าก็อย่าโมโหเจ้าขุนเขาของพวกเราอีกเลย”
ส่วนที่หมู่บ้านวารีกระบี่ พิธีแต่งตั้งผู้นำยุทธภพกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในห้องโถงใหญ่ขาดใบหน้าคุ้นตาที่เคยปรากฎตัวก่อนหน้านี้ไปสองสามคน แต่ก็มีบุคคลยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน สองสายขาวดำล้วนมาครบหมด คนดังในยุทธภพเกินครึ่งล้วนมาอยู่ที่นี่
ซ่งเฟิ่งซานนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานสูงสุด มองบุคคลเหล่านี้ด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะเฉยชา
ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ล้วนไม่ขาดคนที่คิดสวามิภักดิ์เพราะถูกรสนิยมกัน ไม่ขาดคนหน้าเนื้อใจเสือที่อำพรางแผนชั่วร้ายไว้ในใจ มีทั้งคนที่คิดมาตรวจสอบสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยลงเดิมพัน แล้วก็มีคนในราชสำนักที่คิดว่ากำลังดูเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้า
ห่างจากข้างกายซ่งเฟิ่งซานไปไม่ไกลมีภรรยาของเขานั่งอยู่ วันนี้นางแต่งกายเต็มยศ รูปโฉมและบุคลิกที่สง่างามนั้นไม่แพ้สตรีสูงศักดิ์ในวังคนใดเลย
ซ่งเฟิ่งซานมั่นใจในแผนการของตัวเอง บางคนที่อยู่เบื้องล่างก็ย่อมต้องคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะได้อย่างมั่นคงไม่ต่างกัน
แต่ทั้งสองฝ่ายล้วนคิดไม่ถึงว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งมาทำลายแผนการที่พวกเขาต่างก็ทุ่มเทกายใจขบคิดกันมานานหลายปีนี้ลง
ไม่มีคนเฝ้าประตูมารายงาน ยิ่งไม่มีลูกศิษย์ของหมู่บ้านวารีกระบี่ลงมือขัดขวาง พอเห็นบุคคลที่มาเยือนซึ่งแนะนำชื่อแซ่ตัวเองเสร็จสรรพผู้นี้ เกือบทุกคนต่างก็ประสานมือคารวะตามแบบพิธีการของลัทธิขงจื๊อตามจิตใต้สำนึกทันที
ผู้มาเยือนคนนั้นคือชายหนุ่มสวมชุดและหมวกผ้าของลัทธิขงจื๊อ ตรงเอวก็มีหยกประดับชิ้นหนึ่งห้อยอยู่ เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าและจังหวะบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมีกลุ่มคนจำนวนมากมารวมตัวกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากข้ามธรณีประตูมาแล้ว เขาก็กวาดตามองไปรอบด้าน แล้วแนะนำตัวเองอีกครั้ง “นักปราชญ์โจวจวี่แห่งสำนักศึกษากวานหู”
แทบทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างก็ลุกพรวดขึ้นยืน ประสานมือคารวะคนผู้นี้
คนหนุ่มคารวะกลับคืน หลังจากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว มองไปยังนายน้อยท่านผู้นำของหมู่บ้านวารีกระบี่
ซ่งเฟิ่งซานสีหน้ามืดทะมึน สตรีสาวที่นั่งอยู่ใกล้กับเขาใช้สายตาบอกเป็นนัยไม่ให้เขาบุ่มบ่าม
นักปราชญ์หนุ่มสำนักศึกษากวานหูกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉงอยู่หรือไม่?”
ซ่งเฟิ่งซานข่มกลั้นโทสะที่อยู่ในใจลง กระตุกมุมปาก ตอบเนิบช้า “บังเอิญจริง เมื่อวานหานหยวนซ่านยังอยู่ในหมู่บ้าน แต่วันนี้กลับไม่อยู่แล้ว เขาบอกว่าเกิดความสนใจกะทันหัน เลยออกเดินทางไปเที่ยวชมแม่น้ำภูเขาแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์แห่งสำนักศึกษาท่านนี้มาหาเขาด้วยธุระใด? หากไม่รีบร้อน ข้าสามารถช่วยนำความไปบอกแก่เขาได้”
นักปราชญ์หนุ่มคลี่ยิ้ม “หานหยวนซ่านคือจิ้นซื่อ (บัณฑิตขั้นสูง ซึ่งถือได้ว่ามีระดับเทียบเท่าปริญญาเอกในปัจจุบัน เป็นคุณวุฒิที่ปัญญาชนจำนวนมากในสมัยนั้นมักแสวงหาและใฝ่ฝัน ถ้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ จะมีโอกาสได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสูง ดังนั้นการสอบระดับจิ้นซื่อจึงยากที่สุด ) ของแคว้นซูสุ่ย ถือเป็นลูกศิษย์ในลัทธิขงจื๊อเราแล้ว แต่กลับฝึกวิชามาร มีเจตนาร้ายแอบแฝง เป็นภัยต่อแคว้นและบ้านเมือง ข้าต้องการพาตัวเขาไปรับโทษที่สำนักศึกษากวานหู ส่วนจะจัดการอย่างไร เมื่อไปถึงสำนักศึกษา ย่อมมีข้อสรุปเอง ซ่งเฟิ่งซาน ข้าไม่ใช้สถานะของนักปราชญ์แห่งสำนักศึกษา แต่จะใช้ความเป็นโจวจวี่ของข้าแนะนำเจ้าสักคำ ดึงบังเหียนม้ากลับเมื่อถึงหน้าผายังไม่สาย วัวหายล้อมคอกก็ยังไม่ถือว่าช้าเกินกาล”
ซ่งเฟิ่งซานใช้ข้อศอกค้ำที่วางแขนเก้าอี้ มือเท้าคาง เอียงศีรษะมองนักปราชญ์จากสำนักศึกษากวานหูด้วยรอยยิ้ม สายตามองประเมินอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
เล่าลือกันว่าทุกครั้งที่เหล่าอาจารย์ซึ่งสูงศักดิ์จนมิอาจประเมินค่าเหล่านี้ออกจากสำนักศึกษาไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ตรงเอวจะต้องห้อยหยกประดับที่อริยะของสำนักศึกษามอบให้ หยกนี้สามารถบันทึกสิ่งที่พบเห็นระหว่างทางและท่าทีปฏิบัติตัวต่อสังคมของผู้ที่พก เพื่อใช้มันแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่เปิดเผยตรงไปตรงมา รูปแบบของหยกประดับเป็นแบบของป้ายปลอดภัยที่เรียบง่ายที่สุดในโลก แต่นักปราชญ์และวิญญูชนที่แตกต่างกันจะสลักตัวอักษรไม่เหมือนกัน เนื้อหาไม่เหมือนกัน แต่ล้วนมีความหมายลึกล้ำ มักจะซุกซ่อนความหวังและการเสนอแนะที่อริยะของสำนักศึกษามีต่อคนผู้นั้น
ซ่งเฟิ่งซานไม่ตอบคำถามซึ่งถือว่าไร้มารยาทมาก แน่นอนว่าสตรียังสาวต้องทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยสถานการณ์ นางยืนขึ้น คารวะนักปราชญ์ของสำนักศึกษาท่านนั้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากหานหยวนซ่านอยู่ที่นี่จริง หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราย่อมต้องยึดหลักคุณธรรม กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะต้องให้ความช่วยเหลือสำนักศึกษาจับตัวคนผู้นี้อย่างเต็มที่”
โจวจวี่มองไปทางสตรีแต่งงานแล้ว เอ่ยเสียงหนักว่า “หากไม่เป็นเพราะสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกตัดขาดไปนานแล้ว เจ้าถึงมายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ได้ หาไม่แล้วจุดจบของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าหานหยวนซ่านสักเท่าไหร่ คนในวิถีมารที่ก่อความวุ่นวายในยุทธภพย่อมต้องมีผู้ผดุงคุณธรรมออกมากำจัด แต่หากกล้าคิดรุกรานแผ่นดินแว่นแคว้น สำนักศึกษาของข้าย่อมไม่มีทางละเว้นง่ายๆ !”
ซ่งเฟิ่งซานนั่งตัวตรง จ้องโจวจวี่เขม็ง “พูดจากับภรรยาข้า ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรเกรงใจกันหน่อย”
“เฟิ่งซาน!”
สตรีสาวหันหน้ามาดุใส่เบาๆ ซ่งเฟิ่งซานเห็นสีหน้าร้อนใจของนางก็ถอนหายใจอยู่ในใจ เอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลังแล้วไม่พูดอะไรอีก
เวลานี้เองโต้วหยางที่แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าลัทธิมารให้กับตัวเองก็กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งคำแล้วกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะแรงๆ หัวเราะเสียงเย็นชา
นักปราชญ์หนุ่มหันหน้าไปมองผู้ฝึกลมปราณท่านนี้ “รอข้าจัดการธุระของสำนักศึกษาเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วจะปลดหยกประดับลงจากเอว หวังว่าถึงเวลานั้นเจ้าโต้วหยางจะยังหัวเราะออก”
โต้วหยางปรายตามองอาจารย์แห่งสำนักศึกษาที่น่าจะอายุไม่ถึงสามสิบปีแล้วหัวเราะฮ่าๆ “คนอื่นกลัวชื่อสำนักศึกษากวานหูของเจ้า กลัวแทบเป็นแทบตาย ข้าโต้วหยางก็กลัวเหมือนกัน แต่ก็เพราะรู้กฎของสำนักศึกษาพวกเจ้าจึงไม่ถึงขนาดตัวสั่นงันงก ธรณีประตูของนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อเป็นอย่างไร แล้วคอขวดเป็นอย่างไร มีความห่างจากวิญญูชนเท่าไหร่ ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี ดังนั้นเจ้าโจวจวี่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากดข่มข้า พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าปลดหยกประดับตรงเอวออกแล้ว ข้าก็ยังกริ่งเกรงสำนักศึกษาของเจ้าอยู่ดี ไหนเลยจะกล้าประมือกับเจ้าอย่างเต็มที่ แต่หากเจ้าโจวจวี่แน่จริงก็ถอดชุดและหมวกของลัทธิขงจื๊อออกพร้อมกันเลยสิ ทำตัวให้เหมือนคนในยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นหากข้าโต้วหยางตีให้เจ้าขี้ราดไม่ได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่ตามเจ้า!”
คำพูดประโยคนี้ของมารโต้วหยางพูดได้อย่างเผด็จการ แถมยังสาแก่ใจ ต่อให้เป็นพวกบุคคลสำคัญสายขาวบางส่วนก็ยังรู้สึกว่าถึงแม้คนผู้นี้จะกระทำชั่วมากมาย เคยสร้างมรสุมคาวเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าในยุทธภพ แต่การที่เขากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้านักปราชญ์คนหนึ่งของสำนักศึกษากวานหู ก็ถือว่าไม่ผิดต่อคำว่ายุทธภพแล้วจริงๆ! แคว้นซูสุ่ยมียักษ์ใหญ่ในวิถีมารแบบนี้อยู่ตนหนึ่ง จะถือว่าสามารถกดหัวยุทธภพแคว้นไฉ่อีกับแคว้นกู่อวี๋ได้ระดับหนึ่งหรือเปล่า?
นักปราชญ์โจวจวี่ยิ้มบางๆ
เขาก้มหน้ามองหยกประดับชิ้นนั้นพลางพึมพำเบาๆ “อาจารย์ ท่านลองฟังสิ แบบนี้ข้ายังจะทนได้อีกหรือ? ยอมอดทนไม่ต่อยตีพวกนักปราชญ์ในสำนักศึกษาพวกนั้นก็ยังพอทำเนา แต่นี่ออกมาอยู่ข้างนอก อยู่ห่างจากสำนักศึกษานับพันนับหมื่นลี้แล้วยังต้องอดทนต่อผู้ฝึกลมปราณวิถีมารคนหนึ่งด้วยหรือ? เอาเถอะ ท่านต้องพูดว่าอดทนเข้าไว้ อดทนไปอดทนมาก็จะได้กลับไปเป็นวิญญูชนอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่า…ข้าทนไม่ไหวจริงๆ นี่นา…อะไรนะ อาจารย์ท่านจะพูดว่าอะไรนะ…เหวยๆๆ ได้ยินที่ข้าพูดไหม? โอ๊ะโอ แผ่นหยกเกิดปัญหาได้ยังไงเนี่ย อาจารย์ หลังจากนี้ท่านต้องจัดการกับพวกคนจากฝ่ายงานสร้างของสำนักศึกษาแล้วล่ะ…ถ้าอย่างนั้นแค่นี้นะ ไม่คุยแล้ว กลับไปถึงสำนักศึกษาอาจารย์ต้องช่วยเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้ข้าด้วย…”
มาถึงตอนท้าย ทุกคนเห็นเพียงว่าอาจารย์หนุ่มจากสำนักศึกษาที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยกับตัวเองยื่นมือมากำแผ่นหยกที่คล้ายจะสั่นสะเทือนได้เองไว้แน่น แล้วเขย่ามันแรงๆ สุดท้ายประกบสองนิ้วทำมุทรา หมุนวนเบาๆ ก็มีลมเย็นโอบล้อมปกคลุมแผ่นหยกชิ้นนั้น ห่อหุ้มมันไว้เหมือนรังดักแด้ นักปราชญ์หนุ่มถึงได้ยิ้มแล้วเก็บแผ่นหยกกลับไปไว้ในชายแขนเสื้อ
สตรียังสาวฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายซ่งเฟิ่งซาน พูดพลางยิ้มเจื่อนว่า “เฟิ่งซาน ข้านึกออกแล้ว คนผู้นี้คือหนึ่งในผู้สืบทอดของอริยะแห่งสำนักศึกษากวานหูท่านนั้น ในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน เขาอายุน้อยที่สุด แล้วก็อารมณ์ร้ายที่สุดเช่นกัน ส่วนความสามารถ…ต่อให้จะไม่ได้สูงที่สุด แต่ย่อมสามารถอยู่ในอันดับที่สองได้แน่นอน ตอนอายุยี่สิบปีเขาก็ได้สถานะวิญญูชน ตอนนั้นสร้างความฮือฮามาก ถูกขนานนามให้เป็น ‘ผู้เที่ยงตรง’ อีกคนหนึ่งตามหลังชุยหมิงหวง เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นวิญญูชน มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้รับการทดสอบจากอริยะของสถานศึกษาด้วยตัวเอง ดังนั้นสำนึกศึกษากวานหูจึงให้การปกป้องเขามาก ในรายงานของพวกเราบันทึกชื่อเขาไว้เป็นโจวจวี้หรัน ไม่ใช่โจวจวี่”
โต้วหยางนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม กลืนน้ำลายดังเอื้อก
แม้เขาจะไม่รู้ว่าโจวจวี่ก็คือโจวจวี้หรัน แต่จากคำว่า ‘ต่อยตีนักปราชญ์’ ‘กลับไปเป็นวิญญูชนอีกครั้ง’ ก็พอจะทำให้โต้วหยางจับเบาะแสบางอย่างได้
ดังนั้นโต้วหยางจึงลุกขึ้นยืน เตรียมจะขอโทษอีกฝ่าย
ยอมก้มหัวให้วิญญูชนคนหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลยสักนิด
เพียงแต่ว่าโจวจวี่ที่ออกจากสำนักศึกษาชั่วคราวด้วยสถานะของนักปราชญ์กลับยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ชี้สองนิ้วไปยังโต้วหยางมารผู้ยโสโอหังของแคว้นซูสุ่ย แล้วเอ่ยพลางยิ้มบางๆ “นักปราชญ์สมัยโบราณของลัทธิขงจื๊อเราเคยมีบทกวีที่น่าอัศจรรย์ใจกล่าวไว้ว่า ถามคนรุ่นหลัง ท่านไม่เห็นหรือไรว่า ก้อนหินบนทางเดินม้าใหญ่เท่าหาบ ลมพัดกระโชกแรงให้เศษหินปลิวว่อนไปทั่ว? ข้าโจวจวี่ที่เป็นคนรุ่นหลังขอตอบคำถามตรงนี้ว่า ข้าเห็นแล้ว!”
รัศมีหนึ่งจั้งรอบกายโต้วหยางที่ร่างใหญ่กำยำมีพายุลมกรดม้วนตลบ สายลมเฉียบคมของพายุหมุนบนพื้นดินหมุนคว้างรอบกายยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารท่านนี้อย่างบ้าคลั่ง
จุดจบของโต้วหยางสมกับคำว่าเหลือแต่กระดูกอย่างแท้จริง
ลมพายุหยุดลง โครงกระดูกล้มคว่ำลงพื้น
นักปราชญ์หนุ่มไม่แม้แต่จะปรายตามองโต้วหยางที่เหลือเพียงโครงกระดูกขาว เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองซ่งเฟิ่งซานแล้วถามว่า “ตอนนี้รู้แล้วหรือยังว่าที่ข้าพูดกับเมียเจ้า ถือว่าเกรงใจกันมากแล้ว?”
ซ่งเฟิ่งซานโมโหจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหลังมือ แต่ถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเอื้อมมือมากดมือเขาไว้อย่างแรง ก่อนที่นางจะพูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “พวกเราสองสามีภรรยาย่อมเข้าใจความปรารถนาดีที่อาจารย์โจวมอบให้”
โจวจวี่แย้มยิ้ม “ในเมื่อหานหยวนซ่านไม่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่รบกวนพิธีใหญ่ของผู้นำพวกเจ้าแล้ว ข้าจะไปตามหาเขา เชิญพวกเจ้าตามสบาย”
นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษาหมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม ขณะที่เขาเดินไปทางประตูใหญ่ได้เจอกับหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มที่กลับมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่พอดี พวกเขากำลังเดินเคียงไหล่กันมาทางห้องโถงแห่งนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะผ่านศึกใหญ่ที่อันตรายมา บนร่างต่างก็มีคราบเลือด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้หยุดเดิน แล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงทักทายกัน ตอนที่ต่างคนต่างเดินข้ามธรณีประตู จึงเดินสวนไหล่กันไปพอดี
นักปราชญ์หนุ่มจ้องมองเด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่อยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหลังมีท่าทางแปลกใจเล็กน้อย จึงมองกลับมายังเขา สายตาคนทั้งสองประสานกัน
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วจึงไม่ได้มองสบตาเขาอีก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นนักปราชญ์หนุ่มที่เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษากวานหูก็ยังหันกลับไปมองเด็กหนุ่มไม่เลิก
—–