ผู้เฒ่าที่เดิมทีนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้เปล่งประกายสดใสออกมาทางสีหน้าทันที เขาไม่ปกปิดความประหลาดใจของตัวเองแม้แต่น้อย ใช้สองมือรับตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นมา พอนั่งลงแล้วก็เอาตะเกียบไม้ไผ่วางไว้ด้านหน้าตัวเองอย่างระมัดระวัง หยิบผ้าไหมที่ทำขึ้นเป็นพิเศษผืนหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก เช็ดฝ่ามือและนิ้วมือทั้งห้าของสองมืออย่างละเอียด ถึงได้หยิบตะเกียบไม้ไผ่ด้ามที่สลักคำว่า ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ ขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดเงียบๆ อยู่เป็นนาน
วาง ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ ลงแล้วก็หยิบ ‘ภูเขาชิงเสิน’ ขึ้นมา ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้ง เงยหน้ามองนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย “วัตถุชิ้นนี้ทำมาจากวัสดุที่ดีเยี่ยม ไม่เพียงแต่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) แต่ยังมีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าในสิบส่วนว่าทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวของภูเขาชิงเสินจริงๆ หลังจากที่ภูเขาชิงเสินปิดไปได้หนึ่งร้อยปี วัตถุที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวซึ่งมีเฉพาะในภูเขาชิงเสินก็มักจะมีราคาสูงเหมือนเรือที่ลอยตามน้ำขึ้น บอกว่าราคาเพิ่มสูงอย่างบ้าคลั่งก็ยังไม่มากเกินไป น่าเสียดายก็แต่แทนที่จะนำมาทำเป็นแส้โบยผีขนาดเล็ก กลับเอามาทำเป็นตะเกียบ…คู่หนึ่งแทน! สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว! นี่มัน…เกินไปแล้วจริงๆ!”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้เฒ่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขาดอีกนิดก็จะตีอกชกหัวตัวเอง ผรุสวาทเจ้าของตะเกียบคนเก่าที่ย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้สิ้นเปลือง
ผู้เฒ่ายื่นมือไปลูบตัวอักษรสามตัวว่าภูเขาชิงเสินแล้วได้แต่ปลอบใจตัวเองเสียงเบาว่า “แต่หากนำมาทำเป็นแส้โบยผีไม้ไผ่เสินเซียว ท่านลูกค้าก็คงต้องตรงไปที่ชั้นสามแล้ว ไหนเลยที่ข้าจะยังมีโอกาสได้เห็นของชิ้นนี้กับตาตัวเอง ภูเขาชิงเสินในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่เชียวนะ ถ้ำสวรรค์ชนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นกลับมีเทพภูเขาแค่ท่านเดียว นั่นก็คือจู๋ฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสิน ต้องรู้ว่าบรรพบุรุษของสำนักผู้ประพันธ์เคยบรรยายเกี่ยวกับฮูหยินเทพภูเขาในตำนานท่านนี้เอาไว้ว่า ‘โฉมงามพิลาส ชอบเปลือยเท้า จอนผมสีเขียวเข้ม’ เขียนด้วยตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัว แต่กลับบรรยายบุคลิกของสุดยอดเทพธิดาที่ไร้ซึ่งใครจะเทียบเทียมผู้นี้ได้อย่างแจ่มชัด…”
ผู้เฒ่าจมจ่อมอยู่ในจินตนาการของตัวเองอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แม้ว่าสตรีที่เป็นคนนำทางมาจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ลึกๆ ในใจกลับลิงโลดสุดขีด วันนี้ตนต้องได้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่แน่นอน! แถมยังโชคดีมากด้วย เพราะไม่ใช่นังพวกแพศยาที่ชอบวางท่าชั้นสามได้ไป พวกผู้หญิงที่อยู่ด้านบน แต่ละคนเหมือนเทพธิดาเสียยิ่งกว่าเทพธิดา บุคลิกคล้ายจะเยือกเย็น แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีแต่เล่ห์อุบายอยู่เต็มท้อง ใครที่มีเงินก็ถือเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในโลก ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย แต่ละคนล้วนเป็นเหมือนนังปีศาจจิ้งจอกที่ชอบล่อลวงผู้ชาย หลังจากทำการค้าสำเร็จยังทำหน้าหนาเอาตัวเข้าแลก พวกนางมักจะพาลูกค้าไปยังเรือนพักส่วนตัวที่อยู่ด้านหลัง แหวกฟ้าคว้าฝนกันไประลอกหนึ่ง หน้าด้านหน้าทน! ไร้ยางอายยิ่งนัก!
เฮ้อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะได้ขึ้นไปรับหน้าที่บนชั้นสามบ้าง ความสามารถในการปรนนิบัติคนบนเตียงของตนเคยแย่ตั้งแต่เมื่อไหร่? ต่อให้เป็นลูกค้าผู้หญิง ตนก็มีวิธีเฉพาะตัว เชื่อว่าต้องปรนนิบัติให้พวกนางสุขสมสบายตัวสบายใจได้อย่างแน่นอน
จางซานเฟิงได้แต่ขัดจังหวะความคิดของผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่า ข้าผู้เป็นนักพรตแค่อยากรู้ว่าตะเกียบคู่นี้มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่?”
ผู้เฒ่ารีบหยุดความคิดทั้งหมด ยิ้มตาหยีมองไปยังสตรีผู้นั้น “ชุ่ยอิ๋ง ส่วนของข้าผู้อาวุโสในหอชิงฝูปีนี้ยังเหลืออีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่?”
สตรียังสาวตกตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยิ้มหวานตอบว่า “ท่านหง ท่านยังมีโอกาสเก็บสมบัติเข้ากระเป๋าตัวเองอีกครั้งหนึ่งจริง เพียงแต่ว่าต้องทำกฎเกณฑ์เดิมคือให้เถ้าแก่ชั้นบนดูก่อนถึงจะสามารถมอบให้ท่านหงเก็บไว้เป็นของส่วนตัวได้”
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเบิกบาน “นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”
จากนั้นผู้เฒ่าก็พูดกับนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตะเกียบคู่นี้ หากจะพูดถึงประโยชน์ต่อการฝึกตนนั้นคงมีไม่มาก แต่หากเอาไปไว้ในราชวงศ์ด้านล่างภูเขา ย่อมต้องถูกพวกอัครเสนาบดี ขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงทั้งหลายแย่งชิงกันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะทุกครั้งที่ใช้ตะเกียบคีบอาหารก็จะได้สัมผัสปราณวิญญาณส่วนหนึ่ง เป็นเหตุให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว ขอแค่ไม่เจอกับโรคร้ายหรือภัยพิบัติใหญ่ คนธรรมดาคิดจะเพิ่มอายุขัยให้ตัวเองสักสามปีห้าปีก็ไม่ยากเลย อีกอย่างคำเรียกว่าภูเขาชิงเสิน ไม้ไผ่เสินเซียวสองอย่างนี้ก็สามารถเพิ่มราคาได้อีกสูงมาก โดยเฉพาะหากนำไปขายให้ถูกคน สมกับคำว่าทองคำพันชั่งก็ไม่อาจซื้อใจคนได้จริงๆ”
ผู้เฒ่าชำเลืองมองตะเกียบไผ่เขียวที่อยู่บนโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน “หอชิงฝูของพวกเรา…หรือจะพูดว่าตัวข้าหงหยางโปเอง ยินดีเปิดราคาที่สี่ร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ลูกค้าวางใจได้ ข้ารับรองได้ว่า ไม่ว่าจะบนหรือล่างหอชิงฝู ในเมืองท่าเรือแห่งนี้ หรือว่าในร้านค้าเล็กใหญ่อีกสิบหกร้านก็ช่าง ล้วนไม่มีที่ไหนจะให้ราคาสูงไปมากกว่านี้แล้ว ราคาตลาดโดยทั่วไปอย่างมากสุดก็อยู่ที่ระหว่างสามร้อยถึงสี่ร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ข้าชอบของสิ่งนี้มากจริงๆ อีกทั้งปีนี้ยังมีโอกาสเก็บของที่ตรวจสอบเข้ากระเป๋าตัวเองเหลืออยู่อีกหนึ่งครั้ง ข้าถึงได้เต็มใจจ่ายราคาสูงขนาดนี้ นักพรตท่านนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร? เต็มใจจะขายตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้หรือไม่?”
สายตาของผู้เฒ่าฉายแวววิงวอน มองนักพรตหนุ่มด้วยสายตาน่าสงสาร “สี่ร้อยห้าสิบเหรียญเงินหิมะน้อย ราคานี้ เพิ่มสูงขึ้นอีกไม่ได้แล้วจริงๆ หากพวกท่านกลัวว่าข้าจะวิเคราะห์ผิดพลาด ไม่เชื่อในป้ายอักษรทองของหอชิงฝูเรา กลัวว่าข้าจะหลอกพวกท่านก็ไม่เป็นไร พวกเราสามารถไปหาเจ้าของหอด้วยกัน หรือไม่พวกท่านก็สามารถไปเดินดูตามร้านเล็กใหญ่บนถนนสักรอบก่อนก็ได้…”
จางซานเฟิงหันไปมองสวีหย่วนเสีย ชายฉกรรจ์เคราดกพยักหน้ารับเบาๆ
จางซานเฟิงจึงยิ้มกว้าง ยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง “ราคาเดียว ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะ แล้วข้าจะขายทันที!”
หญิงสาวหันหน้าไปทางอื่น แอบปิดปากหัวเราะ
เยี่ยมไปเลย ด้วยนิสัยดึงดันของท่านหง เวลารับของจะดูที่บุพเพวาสนาไม่สนใจราคา หากเจอของที่ถูกใจ ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมควักเนื้อจ่าย
“ใครใช้ให้เจ้าปากดี ใครใช้ให้เจ้าบอกว่าทองพันชั่งยากจะซื้อใจคน!”
ผู้เฒ่าตบปากตัวเองหนึ่งที จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เขายังคงดีใจมากกว่าเสียดาย กล่าวอย่างใจกว้างว่า “ตกลงตามนี้! ชุ่ยอิ๋ง เจ้าเก็บตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้ไปให้ดี นำไปมอบให้เจ้าหอที่อยู่ชั้นบนตรวจสอบ หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าได้รับประโยชน์จากของส่วนรวมที่เบียดบังเป็นของส่วนตัว หลังจากได้รับการยืนยันว่าราคายุติธรรมแล้ว ข้าก็จะควักกระเป๋าของตัวเองจ่ายเงินให้ลูกค้า แน่นอนว่าส่วนแบ่งของเจ้าก็ย่อมขาดไปไม่ได้!”
สตรีผู้นั้นเก็บตะเกียบไม้ไผ่มาอย่างระมัดระวังแล้วเดินเนิบช้าจากไปอย่างสง่างาม
ชายฉกรรจ์เคราดกรู้ว่าการค้าครั้งนี้ จางซานเฟิงได้กำไรแล้ว แถมยังได้กำไรไม่น้อยด้วย
มีเพียงเฉินผิงอันที่ยังยืนอยู่ข้างโต๊ะ เขาแอบก้มหน้าลงไปจ้องตากับคนจิ๋วชุดสีเขียวเหล่านั้น รู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยพวกนี้น่าสนใจมาก ท่าทางซื่อๆ ไร้เดียงสา น่ารักอย่างยิ่ง คิดว่าวันหน้าตัวเองควรจะเก็บสะสมไว้สักส่วนหนึ่ง แล้วนำไปมอบให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางคงจะชอบ อีกอย่างเวลาอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ นางจะได้ไม่รู้สึกเบื่อด้วย ส่วนเจ้าตัวน้อยทั้งหลายก็รู้สึกว่าคนบ้านนอกผู้นี้ไม่รู้จักพวกตนได้อย่างไร ดังนั้นจึงรู้สึกสนใจไม่ต่างกัน
ทั้งสองฝ่ายมองตากันอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ต่างคนต่างอารมณ์ดี
ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะก็ยิ่งคลอเพลงเบาๆ ในลำคอ อารมณ์ดีเสียยิ่งกว่าใคร
เพียงครู่เดียวสตรียังสาวก็กลับมา ส่งมอบตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่นั้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าของหอบอกว่ายินดีกับท่านที่เรื่องน่าเสียดายลดหายไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็บอกแล้วว่า คราวหน้าที่เลี้ยงเหล้าเขา ห้ามเอาตะเกียบคู่นี้มาโอ้อวดให้เขาเห็นต่อหน้าเด็ดขาด”
ผู้เฒ่าร้องเพ้ยหนึ่งที “จะไม่อวดได้อย่างไรเล่า”
จากนั้นก็รีบเก็บตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นลงไปอย่างรวดเร็ว ดึงลิ้นชักออก หยิบเงินร้อนน้อยห้าเหรียญส่งให้นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง “แม้จะบอกว่าการค้าขายของร้านใหญ่ เงินร้อนน้อยเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ แต่ใครก็รู้ชัดเจนดีว่า หากแลกเปลี่ยนกันเป็นการส่วนตัว เงินร้อนน้อยทุกเหรียญล้วนต้องมอบเงินเกล็ดหิมะเพิ่มไปอีกสี่ห้าเหรียญ”
จางซานเฟิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หลังจากรับเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนั่นมาก็เห็นว่าเฉินผิงอันยังยักคิ้วหลิ่วตาเล่นอยู่กับคนจิ๋วเสื้อเขียวทั้งหลายอย่างโง่งม เขาจึงถองเฉินผิงอันหนึ่งที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เลิกแกล้งโง่ได้แล้ว รับไปเถอะ คืนกำไรให้เจ้าก่อน ส่วนเงินต้นขอติดไว้ก่อน หากเจ้ายังไม่อยากรับก็หักจากเงินต้นไปห้าเหรียญเงินร้อนน้อยแล้วกัน สวนที่เหลือคงต้องติดเจ้าไว้ก่อนแล้วจริงๆ วันหน้าค่อยว่ากันอีกที”
เห็นได้ชัดว่าพอรู้ราคาที่แท้จริงของเม็ดเสื้อเกราะแคว้นกู่อวี๋เม็ดนั้น จางซานเฟิงก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคิดเป็นจำนวนเงินแค่ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะเพียงเพราะคำว่าเพื่อนได้จริงๆ
เฉินผิงอันรับเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนั้นมาโดยไม่ปฏิเสธ พอเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็เอ่ยว่า “ถือว่าหมดกันแล้ว! ไม่อย่างนั้นข้าคืนเงินให้เจ้า ส่วนเจ้าก็คืนของให้ข้า?”
จางซานเฟิงพูดไม่ออก
สวีหย่วนเสียจึงตบไหล่จางซานเฟิง “เอาตามนี้แหละ ไม่อย่างนั้นจะดูเป็นว่าไม่จริงใจแล้ว”
จางซานเฟิงถึงได้อืมรับหนึ่งที
เฉินผิงอันโอบไหล่จางซานเฟิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “หากยังรู้สึกเกรงใจ ไม่สู้เจ้าขายกระบี่ไม้ท้อไปด้วยเลยสิ?”
จางซานเฟิงถองกลับ ด่ายิ้มๆ “จะไปไหนก็ไปเลย!”
เฉินผิงอันกระโดดหลบฉาก “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือนะ”
สวีหย่วนเสียส่ายหน้า สองคนนี้นี่เหมือนเด็กจริงๆ
สตรีสาวของหอชิงฝูรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ หรือว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นเศรษฐีบ้านนอกที่แท้จริง?
จางซานเฟิงเอ่ยยิ้มๆ กับผู้เฒ่าว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีของที่จะขายแล้ว”
ผู้เฒ่าผิดหวังอย่างหนัก
แต่เฉินผิงอันรีบพูดต่อทันทีว่า “ข้ามีของอยากให้ท่านตรวจสอบ”
ผู้เฒ่ารีบนั่งหลังตรง ยื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้ม “คิดดูแล้วข้าคงมีบุญตาอีกเป็นแน่”
เฉินผิงอันหยิบถ้วยขาวที่วาดภาพห้าขุนเขาตรงตามแผนที่จริงใบนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ
สายตาผู้เฒ่านิ่งสงบ ยกมือทั้งสองคู่จับถ้วย หมุนช้าๆ พอวางลงแล้วก็กล่าวว่า “ภาพที่วาดอยู่บนถ้วยน่าจะเป็นภาพที่แท้จริงของห้าขุนเขาแคว้นกู่อวี๋ หอชิงฝูยินดีจ่ายด้วยราคาหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเป็นภาพวาดห้าขุนเขาของราชวงศ์ใหญ่ ราคาจะเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าเดิมทีปราณวิญญาณของห้าขุนเขาแคว้นกู่อวี๋ก็มีจำกัดอยู่แล้ว เมื่อนำมาวาดลงบนอาวุธวิเศษอย่างถ้วยขาวใบนี้ สรรพคุณก็ยิ่งถูกลดทอนลงไปอีก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องมรสุมรครั้งหนึ่งของการทำธุรกิจบนภูเขา “นึกถึงในปีนั้น ร้านที่ทำกำไรมหาศาลได้เพราะถ้วยแบบนี้ นั่นก็เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อนพวกเขาแอบกักตุนถ้วยห้าขุนเขาของต้าหลีไว้เป็นจำนวนมาก หลายปีนั้นร้านของเขาได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ภายหลังร้านเล็กๆ ตามกระแสเอามาขายบ้าง ไหนเลยจะคิดว่าฮ่องเต้ต้าหลีเสียสติ เปลี่ยนห้าขุนเขาใหม่ทั้งหมด ฮ่าๆ ร้านค้ากี่มากน้อยต้องขาดทุนป่นปี้เพราะเรื่องนี้ ยังดีที่เจ้าหอของเราสายตาเฉียบแหลม ยืนกรานในความคิดของตน ไม่ซื้อถ้วยห้าขุนเขาต้าหลีราคาสูงแม้แต่ใบเดียว นี่ถึงทำให้หอชิงฝูรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้”
—–