กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 252.2 นครมังกรเฒ่า

บทที่ 252.2 นครมังกรเฒ่า

เด็กสาวหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี หันไปแบมือข้างหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ห้าพัน!”

เฉินผิงอันกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุจึงไม่ทันมีเวลามาตกตะลึง เขารีบพูดทันทีว่า “แม่นางขับรถระวังด้วย”

เด็กสาวหัวเราะคิกหนึ่งทีแล้วหันตัวกลับไป หันหลังให้เฉินผิงอัน เพียงแต่เด็กสาวเชิดคางขึ้นสูง พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “คุณชาย ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ แต่ต่อให้ข้าปล่อยเชือกบังคับม้าทั้งสองมือ หลับตาขับรถ รถม้าก็ยังคงวิ่งไปถึงประตูตะวันตกได้อย่างมั่นคงปลอดภัย แต่เพราะกลัวว่าพวกลูกค้าจะไม่สบายใจ ข้าถึงได้แกล้งทำเป็นตั้งใจขับรถแบบนี้”

เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “อย่าแกล้งทำสิ”

เด็กสาวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ตกลง จะตั้งใจเพื่อคุณชายเลย!”

เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของเด็กสาวแล้วก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หันหน้าไปมองภาพความเจริญรุ่งเรืองบนฝั่งหนึ่งของถนน สายลมเย็นพัดโชยมาปะทะใบหน้า ประหลาดมาก ตลอดทางที่ลงใต้มามักจะโดนลมพัดและแดดส่องอยู่ตลอดเวลา แต่ผิวของเฉินผิงอันกลับขาวขึ้นหลายส่วน ไม่ได้ดำเกรียมเหมือนถ่านอย่างตอนเป็นช่างในเตาเผาอีกแล้ว

ดูเหมือนเด็กสาวจะมีตาหลัง รู้ว่าเด็กหนุ่มต่างถิ่นกำลังหันหน้าไปมองถนน นางจึงแอบหันกลับมาแล้วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่แอบมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แวบเดียว

เด็กหนุ่มไม่ใช่คนหล่อเหลา แต่มองแล้วสบายตาจริงๆ

จู่ๆ เด็กสาวก็ส่งเสียงหัวเราะ “คุณชาย ท่านหน้าตาดีมากเลยนะ”

คงเพราะถูกอารมณ์เบิกบานของเด็กสาวแพร่มาสู่ เฉินผิงอันจึงพูดเล่นอย่างที่หาได้ยาก “งั้นก็จะให้แม่นางมองมากๆ หน่อย ส่วนแม่นางก็เก็บเงินเกล็ดหิมะจากข้าน้อยลงสักเหรียญ ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ คิดดูแล้วอาเหลียง สวีหย่วนเสีย หลิวป้าเฉียว คนพวกนี้ล้วนเป็นตัวการสำคัญทั้งสิ้น

เด็กสาวเอ่ยยิ้มๆ “แบบนั้นไม่ได้หรอก จากที่ร้านมาถึงประตูเมือง ไปกลับเกือบหกร้อยลี้ ข้าต้องวิ่งรถสิบรอบถึงจะได้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ลำบากมากเลย”

เด็กสาวที่นั่งหันหลังให้เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างแรง “คุณชาย นี่มีอะไรที่เรียกว่าลำบากกัน ข้าชอบวิ่งไปวิ่งมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ต่อให้วันหน้าข้ามีร้านเป็นของตัวเอง มีรายได้เยอะแยะมากมาย ก็จะยังขับรถม้าด้วยตัวเองอยู่ดี แถมยังได้รู้จักลูกค้ามากมาย อย่างเช่นคนแบบคุณชายไงล่ะ”

จากนั้นเด็กสาวก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มเล็กน้อย “แต่ว่าซื้อร้านร้านหนึ่งต้องใช้เงินเยอะมากเลย ข้าว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีหวังแน่ๆ”

เด็กสาวหัวเราะเสียงดัง “ไม่มีหวังแน่ๆ!”

แต่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วเด็กสาวก็ยังปิดท้ายด้วยความอารมณ์ดี

เฉินผิงอันช่วยให้กำลังใจด้วยรอยยิ้ม “ค่อยๆ เก็บเงินไป วันนี้มีเงินมากกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้มีเงินมากกว่าวันนี้ วันมะรืนมีเงินมากกว่าพรุ่งนี้!”

เด็กสาวพลันฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยปณิธาน หันหน้ามายิ้มสดใสให้เฉินผิงอัน

ตอนนั้นสาเหตุเป็นเพราะฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อนครมังกรเฒ่าจึงย่ำแย่มาก ไม่ได้ดีไปกว่าเขาตะวันเที่ยงสักเท่าไหร่

แต่เฉินผิงอันชอบเด็กสาวคนนี้จากใจจริง แน่นอนว่าไม่ใช่ความชอบแบบชายหญิง แต่เพราะบนตัวของเด็กสาวให้ความรู้สึกเหมือนดอกทานตะวัน เฉินผิงอันเต็มใจคบค้าสมาคมกับคนแบบนี้ กับนักพรตหนุ่มและชายฉกรรจ์เคราดกที่เพิ่งบอกลาจากกันมาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

เด็กสาวยังคงคอยแนะนำบรรยากาศสองข้างถนน เฉินผิงอันจึงคอยมองตามนิ้วของนางที่ชี้ไป

กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปท่ามกลางเสียงกีบม้า

ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเฉินผิงอันก็มองเห็นกำแพงสูงด้านนอกของนครมังกรเฒ่าแล้ว มันสูงกว่ากำแพงเมืองหน้าด่านใดๆ ที่เคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้มากนัก

ก่อนที่รถม้าจะจอดลง เฉินผิงอันถามว่า “เจ้ารู้จักซุนเจียซู่ไหม?”

 เด็กสาวหันหน้ากลับมาถามอย่างประหลาดใจ “ใครนะ?”

เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยชื่อนั้นซ้ำอีกครั้ง “ซุนเจียซู่”

เด็กสาวกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ เงียบไปนานโดยที่ไม่ยอมพูดอะไร จนกระทั่งรถจอดลง เด็กสาวจึงลุกพรวดขึ้นยืน ชี้ไปยังถนนเส้นที่อยู่ด้านหลัง วาดมือเป็นวงกลมขนาดใหญ่ดูวุ่นวาย “คุณชาย เห็นแล้วหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้า

ดวงตาทั้งคู่ของเด็กสาวโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “จากประตูเมืองตรงนี้ไปจนถึงที่ท่าเรือ ถนนที่ยาวสามร้อยลี้เส้นนี้ล้วนเป็นฝีมือของเขา!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนบนรถม้าตามเด็กสาว เขารู้สึกอึ้งเล็กน้อย “เป็นฝีมือของซุนเจียซู่คนเดียวเลย?”

เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างแรง ภาคภูมิใจเป็นพิเศษ “ใช่! ล้วนเป็นฝีมือของคุณชายซุน!”

จากนั้นเด็กสาวก็กดเสียงลงต่ำ กล่าวอย่างลึกลับว่า “ข้าได้ยินเถ้าแก่เล่าว่า คุณชายซุนเป็นคนดีมากเลย แม้ว่าจะเป็นคนที่ทำธุรกิจเก่งที่สุด แต่กลับมีจิตใจดุจดั่งพระโพธิสัตว์ ต่อให้เป็นพวกผู้อาวุโสที่นิสัยแย่แค่ไหนก็ยังคอยพร่ำพูดถึงความดีของคุณชายซุนกับผู้อาวุโสในตระกูลของเขา บอกว่าในอดีตบนถนนเคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ เผาไหม้ร้านค้าของตระกูลซุนไปสองสามพันร้าน ตอนนั้นคุณชายซุนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งประมุขตระกูลไม่เพียงแต่ไม่สืบสาวเอาเรื่อง ยังออกเงินช่วยทุกคนสร้างร้านขึ้นมาใหม่ อีกทั้งข้ายังเคยได้ยินพวกหญิงสาวหลายคนพูดว่า คุณชายซุนหน้าตาหล่อเหลามาก ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ชายที่จิตใจดีที่สุดและหล่อเหลาที่สุดของนครมังกรเฒ่าเรา!”

ยังอยู่ห่างจากประตูเมืองมาอีกหนึ่งร้อยลี้ บนถนนล้วนมีแต่รถม้าแบบนี้จอดอยู่ จากนั้นท่ามกลางกระแสผู้คนก็มีชายหนุ่มสวมชุดป่านสีขาวคนหนึ่งเดินตรงมาหยุดข้างรถม้าที่เฉินผิงอันกับเด็กสาวยืนอยู่ เรือนกายของชายหนุ่มสูงเพรียว ประหนึ่งต้นไม้หยกที่ตั้งตระหง่านรับลม แต่ไม่ได้มอบความกดดันแบบไร้รูปลักษณ์ประหนึ่งนกกระเรียนในฝูงไก่ให้กับผู้คน เพียงแค่มีบุคลิกของความสะอาดบริสุทธิ์ คล้ายคนที่เดินออกมาจากในตระกูลของปัญญาชน สุภาพอ่อนโยนและสง่างาม

ช่องว่างระหว่างรถม้าที่จอดรวมกันอยู่สองข้างฝั่งของถนนส่วนใหญ่ล้วนมีคนที่เร่งรีบเดินทาง มีคนไม่ทันระวังเดินชนไหล่ของชายผู้นั้นจึงรีบพูดขอโทษ ชายหนุ่มยิ้มส่ายหน้า บอกว่าไม่เป็นไร

เด็กสาวหันหน้าไปมองทางนครมังกรเฒ่า พึมพำเบาๆ ว่า “คุณชาย ท่านว่าใต้หล้านี้ทำไมถึงมีคนที่ดีสุดๆ แบบคุณชายซุนได้นะ?”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

ชายหนุ่มที่มายืนได้พักหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ยิ้มตาหยี เงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสอง พูดกับเด็กสาวเบาๆ ว่า “ขอบใจนะ”

เด็กสาวก้มหน้าลงมองอย่างมึนงง กล่าวด้วยความฉงนว่า “เจ้าขอบใจข้าทำไม?”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ไม่ได้อธิบายสาเหตุ จากนั้นก็หันมามองเฉินผิงอัน “เจ้าคงเป็นเฉินผิงอันสินะ ข้าคือเพื่อนของหลิวป้าเฉียว ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งได้รับจดหมายกระบี่บินจากเขา ดังนั้นข้าเลยตั้งใจมารอเจ้าที่นี่”

เฉินผิงอันกระโดดลงจากรถม้า ยืนพูดค้ำหัวคนอื่นแบบนี้ ไม่มีมารยาทเกินไปแล้ว เขาถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคงไม่ใช่…”

เฉินผิงอันอดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมา

แต่ชายหนุ่มพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ ข้าก็คือซุนเจียซู่”

เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที “คุณชายท่านนี้ ทำไมเจ้าถึงมีชื่อเหมือนคุณชายซุนเลยล่ะ น่าสงสารมากนะ”

ชายหนุ่มยิ้ม ไม่เอ่ยต่อคำ

เด็กสาวบอกลากับเฉินผิงอัน ค่อยๆ หันหัวรถม้ากลับหลัง สุดท้ายก็หมุนกายจากไป

เฉินผิงอันที่เดินไปทางประตูเมืองทิศตะวันตกของนครมังกรเฒ่าพร้อมกับซุนเจียซู่ถามขึ้นอย่างอดไม่ไหวว่า “คุณ…คุณชายซุน ถนนทั้งสาย เจ้าเป็นคนสร้างเองหรือ?”

ซุนเจียซู่ไม่ได้ถ่อมตัวอะไร เขาพยักหน้ารับแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดของบรรพบุรุษ ตลอดทั้งเมืองนอกของนครมังกรเฒ่าล้วนเป็นของตระกูลข้า ภายหลังนครมังกรเฒ่ายิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลซุนของพวกเราขาดทุนด้านการค้าครั้งใหญ่อยู่หลายครั้ง จึงไม่ได้มีเงินเหมือนตระกูลฝูอีกต่อไป แต่แน่นอนว่าตอนนี้ตระกูลซุนยังมีเงินมาก อืม ถือว่าข้าซุนเจียซู่มีเงินก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันแอบชำเลืองมองซุนเจียซู่แวบหนึ่ง บนร่างของบุรุษไม่ได้ห้อยเครื่องประดับอะไร ถึงขั้นมองไม่ออกถึงกลิ่นอายความร่ำรวยด้วย

ซุนเจียซู่เอ่ยยิ้มๆ “เครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆ? พวกเราตระกูลซุนไม่มีใครมี ข้าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น อันที่จริงก็อยากซื้อนะ แต่บรรพบุรุษตั้งกฎตายตัวข้อหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมา นั่นคือห้ามลูกหลานรุ่นหลังใช้เงินมือเติบกับเรื่องเล็กน้อยประเภทนี้ ข้าเองก็ไม่สามารถแก้ไขกฎบ้านของบรรพบุรุษได้ จึงได้แต่อดทนไว้ ทว่าอันที่จริงกลับรำคาญมาก”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

ซุนเจียซู่หันหน้ามาหา “ทำไม อยากถามว่าจะคืนเงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญให้เจ้าได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ เพื่อนก็ส่วนเพื่อน การค้าก็ส่วนการค้า”

เฉินผิงอันเกาหัว “ข้าอยากถามว่านครมังกรเฒ่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราต้องเดินไปจนกว่าจะถึงบ้านของเจ้าหรือ?”

ซุนเจียซู่ไม่ได้พูดอะไร เพียงหันมามองเฉินผิงอันยิ้มๆ

เฉินผิงอันถอนหายใจ ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ช่างเถอะ ไม่คืนก็ไม่คืน”

ซุนเจียซู่กล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าหลิวป้าเฉียวถึงได้บอกว่าพวกเราจะต้องเข้ากันได้ดี”

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเองก็ถูกคนด่าว่าเป็นคนโลภในทรัพย์สินบ่อยเหมือนกันหรือ?”

ซุนเจียซู่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ส่ายหน้าเบาๆ “หลิวป้าเฉียวบอกว่าพวกเราสองคนเป็นคนที่ยิ่งจนก็ยิ่งทำเป็นใจกว้าง”

เอาตรงไหนมาพูด ประโยคนี้ของหลิวป้าเฉียวพูดได้ประหลาดจริงๆ

ยังไม่พูดถึงว่าใจกว้างหรือไม่ แต่ซุนเจียซู่น่ะหรือที่จน?

จู่ๆ ซุนเจียซู่ก็เอ่ยว่า “ข้ามีความสามารถที่ไม่เหมือนใครอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถมองออกถึงเงินทองที่ผ่านมือของคนคนหนึ่งไป”

จากนั้นเขาก็หยุดเดิน หันมามองเฉินผิงอัน เปิดเผยความลับด้วยประโยคเดียวว่า “ของที่เจ้ามอบออกไป มีค่ามากยิ่งกว่านครมังกรเฒ่าทั้งหลังเสียอีก”

……

ในนครมังกรเฒ่า ตรอกที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีร้านยาแห่งเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่ ขนาดพื้นที่กว้างแค่ฝ่ามือเท่านั้น แต่ชายที่เป็นเจ้าของร้านกลับจ้างสตรีแต่งงานแล้วและดรุณีน้อยหน้าตางดงามถึงเจ็ดแปดคน พวกนางต่างก็มีขาเรียวยาวไม่ต่างกัน บุรุษว่างสุดๆ ไม่มีอะไรทำทั้งวัน แต่กลับไม่เคยต้องเป็นกังวลกับกิจการร้านยาของตัวเองเลย วันๆ เขาเอาแต่พูดจาเกี้ยวพาราสี เอ่ยถ้อยคำหวานเลี่ยนที่ตัวเองคิดว่ามีวาทศิลป์ สีหน้าของพวกผู้หญิงแสดงความเขินอาย แต่พอหันหน้าไปทางขึ้นกลับกลอกตาขึ้นสูง

วันนี้ชายฉกรรจ์ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งอยู่หน้าปากซอย แทะเมล็ดแตง มองพวกสตรีที่เดินผ่านทางมา สายตาของชายฉกรรจ์ก็เปล่งประกายวาบ คิดในใจตัวเองว่าดอกไม้ในบ้านไม่หอมเหมือนดอกไม้ป่าจริงๆ

วันนี้มีหญิงสาวอีกคนมาปรากฏตัวที่ตรอก นางเดินผ่านด้านหน้าของชายฉกรรจ์ไป แต่งกายงดงามเพริศพริ้ง ส่วนหน้าตาและรูปร่างของนาง…เอาเป็นว่าชายฉกรรจ์ทิ้งเมล็ดแตง ยกเก้าอี้ขึ้นแล้ววิ่งหนีไป

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท