นอกประตูนครฝูในเวลานี้มีบุคคลสำคัญจากตระกูลเซียนบนภูเขาหลายกลุ่มที่มาแสดงความยินดีกับการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ที่คนทั้งโลกเรียกว่าเป็น ‘กิ่งทองใบหยก’ ครั้งนี้ ในบรรดานั้นก็มีสำนักอย่างภูเขาเมฆาเรืองที่ไม่ถือว่าเป็นสำนักลำดับสูงสุด แต่เนื่องจากมีหินรากเมฆเป็นผลผลิตที่ได้รับความนิยมในหลายทวีป เงินทองไหลมาเทมา จึงทำให้พวกเขามีแนวโน้มว่าจะพัฒนาก้าวหน้าขึ้นในทุกๆ วัน หากมีผู้มากพรสวรรค์ที่สามารถเป็นเสาหลักแบกรับภาระสำคัญได้โผล่ขึ้นมาอีกสักคนสองคน การที่ภูเขาเมฆาเรืองจะเลื่อนไปอยู่ในลำดับตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปก็เป็นเรื่องที่นับนิ้วรอวันได้เลย
นครมังกรเฒ่ากับภูเขาเมฆาเรืองมีความสัมพันธ์ควันธูปกันมาหลายร้อยปี เพราะว่าหินรากเมฆที่ผลิตในภูเขาเมฆาเรืองก็คือหนึ่งในสินค้าสำคัญของเรือปลาวาฬกลืนสมบัติและภูเขาลอยตัวของตระกูลฝู เนื่องจากก้อนหินที่ถูกหล่อหลอมและตีจากหินรากเมฆคือของดีที่ผู้ฝึกกระบี่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้ลับคมกระบี่ เพราะราคาถูกอีกทั้งยังใช้ดี ที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเรื่องของราคา ต่อให้ประสิทธิภาพจะต่างจากแท่นสังหารมังกรซึ่งเป็นหินลับกระบี่ที่ดีที่สุดในโลกราวฟ้ากับเหว แต่เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษอับจนหนทางได้ ทุกครั้งที่พวกเผ่าปีศาจมาก่อความวุ่นวาย สงครามใหญ่เกิดขึ้นติดต่อกัน ต่อให้ต้องติดบัญชีหนี้เละเทะไว้ก่อน ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว สำหรับผู้ฝึกกระบี่ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่ากระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง
แน่นอนว่าคำว่าราคาถูก คือการนำไปเปรียบเทียบกับวัตถุมีค่าหายากที่ต้องขนส่งจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ราคาหินรากเมฆของภูเขาเมฆาเรืองเมื่อขายให้กับผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีป ขายให้กับตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า ขายให้กับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะแบ่งราคาที่พิเศษออกเป็นสามแบบ
คราวนี้ทางฝ่ายของภูเขาเมฆาเรืองมีคนมาทั้งหมดสี่คน บุรพาจารย์ของสำนักสองท่านและลูกศิษย์ที่พวกเขาภาคภูมิใจอีกสองคน
แขกที่วันนี้ฝูหนันหัวออกมารับด้วยตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็คือคนผู้หนึ่งที่เดิมทีควรต้องตายไปแล้วอย่าง เทพธิดาไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง
หลังจากที่ฝูหนันหัวปรากฏตัวอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน กลุ่มคนที่อยู่ตรงประตูเมืองก็พากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ เสียงทักทายเสียงแสดงความยินดีมีไม่ขาดสาย ฝูหนันหัวไล่รับคำไปทีละคนอย่างไม่ให้เสียมารยาท สุดท้ายฝูหนันหัวเดินมาหยุดตรงหน้ารถม้าสองคันที่จอดค่อนไปทางช่วงท้าย เห็นม้าชิงชงที่มีสายเลือดของมังกรแบบห่างๆ ลักษณะไม่ธรรมดาสี่ตัว น่าจะเป็นรถม้าที่เช่าชั่วคราวมาจากจุดพักม้าตระกูลซุน คนทั้งในและนอกนครมังกรเฒ่าต่างก็รู้ดีว่า สองวิธีการที่แพงที่สุดในการท่องเที่ยวอยู่ในนครมังกรเฒ่า หนึ่งคือซื้อเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆมาจากตระกูลฝู อีกวิธีหนึ่งก็คือเช่ารถม้าจากร้านที่อยู่ในนามของซุนเจียซู่ โดยทั่วไปแล้วมีคนเพียงสองประเภทที่จะทำเช่นนี้ หนึ่งคือคนที่ในกระเป๋ามีเงินจริงๆ สองคือคนโง่ที่มาจากบ้านนอกบ้านนา
แน่นอนว่าบุรพาจารย์สองท่านของภูเขาเมฆาเรืองไม่ใช่คนโง่ หน้าตาเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ยังพอจะฝืนยืนหยัดได้ไหว แล้วก็ต้องยืนหยัดให้ไหวด้วย
เห็นว่าฝูหนันหัวออกมารับด้วยตัวเองถึงหน้าประตู บุรพาจารย์สองท่านก็รีบพาลูกศิษย์เดินลงจากรถม้า คนหนึ่งคือผู้สืบทอดสายตรงของภูเขาเมฆาเรือง ซึ่งก็คือเทพธิดาไช่จินเจี่ยนที่แม้จะหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่กลับยังงดงามดังเดิม อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มที่บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ ชุดคลุมอาคมบนร่างที่ได้รับสืบทอดมาพอจะมองเห็นภาพที่ไอเมฆลอยเวียนวนได้รางๆ
หลังจากทักทายปราศรัยกับบุรพาจารย์ทั้งสองท่านแล้ว ฝูหนันหัวก็เสนอข้อเรียกร้องเล็กๆ ว่าจะพาเทพธิดาไช่เข้าไปชมทัศนียภาพในเมืองพลางพูดคุยรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ
อาจารย์ผู้สืบทอดมรรคาของไช่จินเจี่ยนตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน ไหนเลยจะปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ ก่อนหน้านี้ไช่จินเจี่ยนกลับมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูมือเปล่า เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงเต็มละลายหายไปกับสายน้ำ ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย นั่นมันเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเชียวนะ เงินฝนธัญพืชมาอยู่ต่อหน้ามันก็เหมือนฮูหยินตราตั้งที่พบเจอฮองเฮา เทียบไม่ติดสักกะผีก
เดือดร้อนให้ผู้เฒ่าต้องถูกคนตำหนิและมองด้วยสายตาไม่ดีตลอดสองปีมานี้ ผู้เฒ่าที่เดิมทีคิดอยากจะผลักดันให้ไช่จินเจี่ยนขึ้นนั่งตำแหน่งเจ้าภูเขาเกิดความหมดอาลัยตายอยาก แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือไช่จินเจี่ยนที่ตนฝากความหวังครั้งใหญ่ไว้กลับทำตัวเหมือนคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ตลอดทั้งสองปีมานี้ นางเกียจคร้านต่อการฝึกวิชาของสำนัก ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสงสารแล้วก็ทั้งโมโห จะตีจะด่าก็ทำไม่ลง กลัวว่าไช่จินเจี่ยนจะทุบไหที่แตกให้แหลกละเอียด กลายเป็นสวะไร้ค่าอย่างซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยง
ฝูหนันหัวเดินเคียงไหล่กับไช่จินเจี่ยนลอดผ่านประตูใหญ่ของนครฝู พาเทพธิดาไช่ที่พอจะมีชื่อเสียงคนนี้เดินไปยังเรือนพักส่วนตัวที่โอ่อ่าของเขาในนครฝู
ตอนที่ไปค้นหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์หลีจู ฝูหนันหัวยังเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกมากมายของผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นประมุขในอนาคต ดังนั้นฝูหนันหัวที่เชี่ยวชาญด้านการค้าจึงเกรงใจไช่จินเจี่ยนที่ตอนนั้นมีระดับฐานะต่ำกว่าเขาหนึ่งขั้นอยู่มาก แต่ว่าตอนนี้บุรพาจารย์ที่ถ่ายทอดมรรคาและโปรดปรานเขากำลังจะฝ่าขอบเขตได้แล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องการผลักดันให้เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวสกุลเจียงอวิ๋นหลินเข้ามาเสริม ฐานะของฝูหนันหัวจึงเป็นเหมือนเรือที่ลอยตามน้ำขึ้น สูงส่งจนไม่อาจเปรียบเทียบกับในอดีตได้
ดังนั้นในสายตาของบุรพาจารย์สองท่านของภูเขาเมฆาเรือง การที่ฝูหนันหัวสนิทสนมกับไช่จินเจี่ยนย่อมไม่ใช่แค่เรื่องที่พวกเขาเป็นพันธมิตรกันสั้นๆ ตอนไปถ้ำสวรรค์หลีจูจะสามารถอธิบายได้ หรือว่าทั้งสองคนเคยรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน? ก็ไม่ถูกเหมือนกัน เห็นชัดๆ ว่าไช่จินเจี่ยนยังเป็นสาวพรหมจรรย์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ฝูหนันหัวซึ่งสักวันต้องได้สวมเสื้อคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นยินดีแหกกฎมาพบกับภูเขาเมฆาเรืองอย่างมีมารยาทเช่นนี้ ก็ทำให้บุรพาจารย์ทั้งสองท่านได้หน้ากันอย่างเต็มที่
ฝูหนันหัวกับไช่จินเจี่ยนรู้ใจกันมาก ตลอดทางพวกเขาสองคนไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ จนกระทั่งไปถึงเรือนพักส่วนตัวของฝูหนันหัว เข้าไปในห้องโถงใหญ่ ฝูหนันหัวตบลงบนหยกชิ้นใหม่เอี่ยมที่บิดามอบให้ซึ่งห้อยติดเอวไว้ มองเทพธิดาที่เคยโดนเด็กหนุ่มใช้เศษกระเบื้องปาดคอในตรอกเล็กแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราสามารถพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้แล้ว”
มองดูเหมือนว่าไช่จินเจี่ยนจะยิ้มหวานหยด แต่ความเป็นจริงแล้วในรอยยิ้มนั้นกลับไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย “คุยอะไร?”
ฝูหนันหัวจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวที่เดิมทีกายควรดับมรรคาสลายอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู “ข้าจะไม่ถามว่าทำไมเจ้าถึงรอดชีวิต ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมคนผู้นั้นถึงช่วยเจ้า หลังจากช่วยเจ้าแล้ว เขาต้องการให้เจ้าทำอะไร?”
ไช่จินเจี่ยนหุบยิ้ม “หากข้าบอกว่าเจ้าใช้ใจคนถ่อยไปวัดใจวิญญูชน เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
ฝูหนันหัวแค่นเสียงหยัน “วิญญูชน? หากเขาฉีจิ้งชุนเป็นแค่วิญญูชนคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นอริยะลัทธิขงจื๊อจะไม่ครอบครองใต้หล้าสี่แห่งหมดเลยหรือ?”
สีหน้าของไช่จินเจี่ยนเรียบเฉย “ฝูหนันหัว จริงจังกับการตีความตัวอักษรมากเกินไปก็ไม่น่าสนใจหรอกกระมัง?”
ฝูหนันหัวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาก่อน หลังจากที่เจ้านอนจมอยู่ในกองเลือด แผนของข้าเองก็ล่มไม่เหลือดี เกือบจะสิ้นท่าอยู่ในสถานที่บ้าๆ แห่งนั้น ตอนนั้นเจ้าคนแซ่ฉีช่วยข้าไว้จากน้ำมือของเจ้าเด็กบ้านนอกต่ำช้าคนนั้น…”
ฝูหนันหัวพลันสังเกตเห็นถึงรอยยิ้มมุมปากของไช่จินเจี่ยนที่มีเลศนัย เขาจึงรีบหยุดประโยคถัดไป เปลี่ยนมาเอ่ยเสียใหม่ว่า “หลังจากที่เขาฉีจิ้งชุนห้ามเฉินผิงอันแล้วก็พูดกับข้าว่า ให้ข้าไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู แต่ได้มอบโชควาสนาอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่สมบัติอาคมให้แก่ข้า ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร คงไม่พูดกับเจ้าแล้ว แต่ที่น่าแปลกมากก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบฉีจิ้งชุนไม่ได้ขอให้ข้าสาบานว่าในอนาคตจะปล่อยเฉินผิงอัน จะไม่ไปหาเรื่องเขา หรือพูดโน้มน้าวทำนองว่าความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูกอะไร”
ไช่จินเจี่ยนกวาดตามองรอบด้านด้วยสีหน้าเฉยเมย สุดท้ายหันมามองฝูหนันหัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต ทั้งยังเป็นถึงอริยะคนหนึ่ง เจ้าไม่ควรจะเรียกเขาด้วยความเคารพโดยเอ่ยแซ่และเติมคำว่าท่านหรอกหรือ?”
ฝูหนันหัวเบ้ปาก “คนก็ตายไปแล้ว แถมยังตายเพราะถูกเซียนบนสวรรค์ของแต่ละฝ่ายร่วมมือกันกำราบ ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อเลือกที่จะนิ่งดูดาย เห็นได้ชัดว่าฉีจิ้งชุนไม่มีโอกาสพลิกฟื้นกลับมาแม้แต่น้อย อริยะแล้วอย่างไร เรียกว่าท่านแล้วอย่างไร? ฉีจิ้งชุนแล้วอย่างไร?”
ไช่จินเจี่ยนยิ้มเป็นคำตอบ ทอดถอนใจเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับบทสนทนา “พื้นที่ฝึกบำเพ็ญตนของบุรพาจารย์ทั้งหลายในภูเขาเมฆาเรืองเรายังไม่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นถึงขนาดนี้ ฝูหนันหัว ตระกูลฝูของพวกเจ้ามีเงินมากจริงๆ”
เรือนส่วนตัวของตระกูลฝูหลังนี้มีเสาหลักแปดต้น ทุกต้นล้วนมีชื่อว่า ‘เสามังกรวน’ สลักเป็นรูปมังกรล้อมวน ปากคาบอัญมณี อัญมณีทุกเม็ดล้วนเป็นวัตถุวิเศษก่อนกำเนิดที่มีมูลค่าควรเมือง เป็นเหตุให้จวนหลังนี้ได้รวบรวมปราณวิญญาณจำนวนมหาศาล ประหนึ่งถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างมาก
ดังนั้นลูกศิษย์ตระกูลเซียนลำดับสูงสุดที่แท้จริง ไม่ว่าจะดื่มชา คุยเล่น นอนพัก หรืองีบหลับก็ล้วนเป็นการฝึกตน ไม่มีการปล่อยเวลาให้เสียเปล่าสักนิดเดียว
ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากจะอิจฉาตาร้อนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ฝูหนันหัวเผยความหงุดหงิด หรี่ตากล่าวว่า “ไช่จินเจี่ยน คนอื่นให้หน้าแล้วอย่าทำหน้าไม่อาย ข้ากำลังจะได้ครอบครองเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติลำหนึ่ง หากไม่รับหินรากเมฆมาจากภูเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้า รายได้ของสำนักพวกเจ้าก็จะลดฮวบลงสองส่วน ต่อให้เจ้าจะได้รับความสำคัญจากบุรพาจารย์ท่านนั้นแค่ไหน แต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็เอาเงินแก่นทองถุงหนึ่งไปทิ้งเสียเปล่าครั้งหนึ่งแล้ว หากยังทำเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการหากำไรเป็นกอบเป็นกำของภูเขาเมฆาเรืองอีก เจ้าก็ลองชั่งน้ำหนักดูเอาเองแล้วกัน!”
ไช่จินเจี่ยนหัวเราะ “พอเถอะ ฝูหนันหัวเจ้าเลิกขู่ข้าได้แล้ว ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่ามีเงินมากแค่ไหน ข้าไม่รู้ แต่หลายพันปีมานี้ตระกูลฝูทำการค้าอย่างไร ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี อย่าว่าแต่เจ้าจะมีปลาวาฬกลืนสมบัติลำหนึ่งเลย ต่อให้เจ้าได้เป็นเจ้านครก็ไม่มีทางเล่นตุกติกกับกฎเกณฑ์ข้อนี้ที่บรรพบุรุษตั้งไว้”
ฝูหนันหัวถอนหายใจหนึ่งที “ในเมื่อเจ้าฉลาดขนาดนี้ อีกอย่างตอนนั้นพวกเราก็เคยร่วมทุกข์กันที่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาก่อน ทำไมไม่ร่วมมือกันให้ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย? เจ้าและข้าสองคนคบหากันด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อกำจัดภัยร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากหายนะครั้งนั้นให้สิ้นซาก? หลังจากนี้ไป ข้าไม่เพียงแต่จะช่วงชิงตำแหน่งเจ้านคร ยังจะช่วยผลักดันให้เจ้าขึ้นสู่ที่สูง ลองคิดตามดูสิ ขอแค่ข้าขึ้นราคาหินรากเมฆที่ปลาวาฬกลืนสมบัติรับซื้อสักเล็กน้อย ปล่อยข่าวออกไปว่าเป็นเพราะคุณความชอบของเจ้าไช่จินเจี่ยน ภูเขาเมฆาเรืองหรือจะกล้าเพิกเฉยต่อคนทำเงินทำทองอย่างเจ้า? แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้พรสวรรค์ของเจ้าดีมาก มีอาจารย์ที่ลงเดิมพันไว้ข้างเจ้า เป็นที่พึ่งให้เจ้าในสำนัก ยังมีนครมังกรเฒ่าซึ่งเป็นกำลังภายนอกที่แข็งแกร่งมาร่วมด้วย ช้าสุดหนึ่งร้อยปี ตำแหน่งของเจ้าภูเขาของเขาเมฆาเรืองย่อมต้องเป็นของในกระเป๋าเจ้าแน่นอน!”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ฝูหนันหัวลุกขึ้นยืนอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ คำพูดฮึกเหิม พลังอำนาจทะยานสูง ประหนึ่งมีมาดของว่าที่จักรพรรดิผู้ครองแคว้นในอนาคต
ไช่จินเจี่ยนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองนายน้อยที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวหาญผู้นี้ด้วยดวงตาใสกระจ่าง แต่นางกลับไม่มีอารมณ์คล้อยตามอะไรมากนัก
ไม่ใช่ว่าฝูหนันหัวกล่าวได้ไม่จริงใจพอ บรรยายภาพในอนาคตได้ไม่งดงามพอ แต่เป็นเพราะสภาพจิตใจของไช่จินเจี่ยนในเวลานี้แตกต่างกับตอนที่เป็นเทพธิดาไช่ผู้รับผิดชอบภาระสำคัญของสำนัก ในหัวมีแต่แผนการและกลอุบายราวกับเป็นคนละคน
คนเราเมื่อตายอย่างแท้จริงไปแล้วหนึ่งรอบ ก่อนเดินทีละก้าวจากประตูผีกลับมายังโลกมนุษย์ ไม่เหมือนกับการที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่สุดท้ายกลับรอดพ้นจากหายนะความตายมาได้
หลังจากที่อริยะลัทธิขงจื๊อที่สอนหนังสืออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูท่านนั้นใช้วิชาอภินิหารค้ำฟ้าช่วยชีวิตนางเอาไว้ เขาก็พานางไปคุยในโรงเรียนดั่งผู้ใหญ่คุยกับผู้น้อย คุยกันด้วยเรื่องของชีวิตมนุษย์ เวลานั้นเรือนกายของไช่จินเจี่ยนยังคงบาดเจ็บสาหัส ยังไม่หายดี อาจารย์ฉีจึงทำเพียงแค่ดึงวิญญาณของนางออกมา เมื่ออยู่ในโรงเรียน กาลเวลาเหมือนสายน้ำไหลรินเอื่อยเฉื่อย อาจารย์สอบถามนางมากมายเกี่ยวกับเรื่องภายนอก ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หยุมหยิม ราคาของข้าวสารในตลาดด้านล่างภูเขาคือเท่าไหร่ วิชาการพิมพ์หนังสือเปลี่ยนมาเป็นเรียบง่ายยิ่งกว่าเดิมเพื่อสะดวกแก่การเผยแพร่หรือไม่ เป็นต้น ตอนแรกไช่จินเจี่ยนยังกระวนกระวายอยู่บ้าง ภายหลังถึงพอจะวางใจลงได้ เมื่อฉีจิ้งชุนถาม นางจึงตอบ บางคำถามนางตอบไม่ได้ บางคำถามนางตอบได้ อาจารย์ท่านนั้นมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าตลอดเวลา บางครั้งไช่จินเจี่ยนก็จะถามข้อข้องใจในการฝึกตนที่แม้แต่อาจารย์ของนางก็ยังหาคำตอบไม่ได้ อาจารย์พูดแค่ไม่กี่คำ ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง
—–