เดินออกจากพื้นที่ของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนมายังตลาดที่คึกคักเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง สอบถามเส้นทางเรียบร้อยก็เช่ารถม้าธรรมดาคันหนึ่งให้ขับไปยังเมืองใน ค่าใช้จ่ายครั้งนี้ปกติมาก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ขับไปบนถนนใหญ่สามร้อยลี้ร่วมกับพาหนะอย่างสัตว์ปีก สัตว์บก หรือม้าที่มีสายพันธ์ของเจียวหลง
จากเมืองนอกเข้าไปยังเมืองในต่างหากที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆ
ขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้ว กลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่คอยบอกทางแก่สารถี
เพราะในห้องโดยสารมีเทพหยินตนหนึ่งปรากฏกาย ซึ่งก็คือเทพหยินตนเดียวกับที่ปรากฏตัวนอกร้านยาฮุยเฉิน แนะนำตัวว่าแซ่จ้าว เฉินผิงอันจึงเรียกเขาด้วยความเคารพว่าท่านจ้าว
มาหยุดอยู่นอกตรอกเล็ก เฉินผิงอันก็จ่ายค่ารถ วันนี้เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้มานั่งอยู่ใต้ต้นไหว แต่นั่งเหม่ออยู่หลังโต๊ะคิดเงินในร้าน เห็นเฉินผิงอันมาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ บอกกับเฉินผิงอันว่าร้านยาเล็ก แต่เรือนด้านหลังร้านกลับใหญ่มาก เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านก็พบว่าเรือนด้านหลังนี้มีขนาดพอๆ กับร้านยาตระกูลหยาง ด้านหลังมีลานกว้างขนาดใหญ่ที่ปูพื้นด้วยแผ่นหินสีเขียว มีห้องหลักและห้องปีกข้างสองห้อง ห้องปีกข้างล้วนว่างอยู่ เฉินผิงอันจะเลือกห้องไหนก็ได้ เขาจึงเลือกห้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ นำกล่องกระบี่และห่อสัมภาระไปวางไว้ในห้อง แค่รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เอว เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ใต้ชายคาของห้องหลัก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าไปเอากระบอกยาสูบโบราณอันหนึ่งมาจากไหน เขานั่งอยู่บนม้านั่งสูบยาพ่นควันโขมงเลียนแบบหยางเหล่าโถว
เพียงแต่ว่าในสายตาของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าสูบยาสูบ ให้ความรู้สึกลึกล้ำดุจบ่อน้ำโบราณที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
แต่เจิ้งต้าเฟิงสูบยาสูบ กลับดูน่าขัน
เฉินผิงอันนั่งอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง พูดถึงเรื่องที่ตัวเองเลือกโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับบอกว่าง่ายมาก รับรองว่าจะปรนนิบัติดูแลเขาเฉินผิงอันประดุจบรรพบุรุษของตัวเองอย่างแน่นอน
จากนั้นคนสองคนที่นิสัยเข้ากันไม่ได้ก็พากันเงียบงัน คนหนึ่งสูบยา คนหนึ่งดื่มเหล้า
นี่ทำให้หัวดำๆ มากมายที่สุมกันอยู่หลังม่านรู้สึกหมดสนุก เพียงไม่นานแต่ละคนก็พากันแยกย้าย
เจิ้งต้าเฟิงสูบยาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมท่านผู้เฒ่าถึงได้ชอบสูบยานัก ไม่เห็นว่ามันจะมีรสชาติอะไรเลย เขาคอยชำเลืองตามองเด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมอยู่เป็นพักๆ ดวงจันทร์มีมืดมีสว่าง มีกลมมีเสี้ยว กำไรและขาดทุนก็ย่อมมีจำนวนที่ถูกกำหนดไว้ เมื่อถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา ตอนนี้เจ้าเด็กนี่จึงถือว่าโชคดีไม่น้อย บอกได้แค่ว่าช่วงเวลาที่เฉินผิงอันเข้ามาในนครมังกรเฒ่าครั้งนี้ หากไม่เป็นเพราะการทยอยกันมาถึงของเรือข้ามฟากต้าหลีและคนจากสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าฝูฉีจะพูดง่ายขนาดนี้
ส่วนเฉินผิงอันนั้นกำลังคิดเรื่องเงินห้าอีแปะ
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามขึ้นว่า “ขอถามอะไรหน่อยสิ ถ้าหากตอนนั้นอาจารย์ฉีพูดว่าเจ้าเฉินผิงอันไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ไปชั่วชีวิต เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันใช้เวลาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องยอมรับชะตากรรม”
ดูเหมือนว่าเจิ้งต้าเฟิงจะรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบนี้ แต่จากนั้นเขาก็กลอกตามองบน ยิ่งรู้สึกเบื่อหนักกว่าเก่า
คนแบบนี้ก็เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของตนได้ด้วยหรือ? เรื่องแบบนี้ตนกับเฉินผิงอันไม่ควรจะเป็นคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกันหรอกหรือไง?
เจิ้งต้าเฟิงยังไม่ยอมถอดใจ ถามต่ออีกว่า “ยอมรับชะตากรรมแล้วยังไงต่อ?”
คำถามนี้ไม่มีอะไรให้ต้องคิดหนัก เฉินผิงอันจึงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “แน่นอนว่าต้องฝึกหมัดต่อน่ะสิ ยังจะทำยังไงได้อีก? ตอนนั้นข้าจำเป็นต้องฝึกหมัดเพื่อรักษาชีวิต อีกอย่างฝึกหมัดก็ไม่ใช่แค่เพื่อเลื่อนขอบเขตอย่างเดียว มันช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีพละกำลังเพิ่มมากขึ้น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
เจิ้งต้าเฟิงหรี่ตา ถามยิ้มๆ ว่า “แล้วถ้าเจ้าเดินไปถึงคอขวดของขอบเขตสามได้โดยไม่ทันตั้งตัว มองเห็นความหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองชายฉกรรจ์ เกือบจะหลุดคำพูดติดปากของอริยะกระบี่เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยออกมาว่า เจ้าโง่หรือไง? การฝึกหมัดคือเรื่องดี การฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ในเมื่อเจ้าไปถึงคอขวดแล้ว แน่นอนว่าต้องอยากฝ่าทะลุมันไปให้ได้น่ะสิ
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “เจ้าจะไม่คิดถึงคำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงของอาจารย์ฉีที่บอกว่าเจ้าไม่มีทางเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้อย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง รู้สึกว่าเจิ้งต้าเฟิงต้องเคยถูกประตูหนีบหัวมาก่อนแน่ๆ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดมีนิสัยประหลาดแบบนี้ได้อย่างไรกัน เฉินผิงอันยกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอึก “ความรู้ของอาจารย์ฉีย่อมต้องลึกล้ำกว้างขวางอยู่แล้ว ทว่าเจตจำนงเดิมของอาจารย์ฉีก็คงเป็นเพราะหวังดีต่อข้า หากการฝ่าทะลุขอบเขตคือเรื่องร้าย ข้าก็จะอดทนเอาไว้ แต่หากเป็นเรื่องดี แล้วตอนแรกอาจารย์ฉีคิดผิดไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่ฝ่าทะลุขอบเขตจริงๆ น่ะหรือ?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็พึมพำอยู่ในใจว่า “หากเป็นอย่างนั้น นี่ต่างหากที่จะทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง”
สีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงยิ่งเคร่งเครียด ไม่สนใจจะสูบยาสูบอีกแล้ว “อาจารย์ฉีจะคิดผิดได้อย่างไร?!”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากข้า…ยังมีโอกาสได้ยืนอยู่ต่อหน้าอาจารย์ฉี ถามอาจารย์ว่าท่านทำผิดได้หรือไม่ เจ้าคิดว่าอาจารย์ฉีจะตอบอย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงเหมือนถูกฟ้าผ่า สีหน้าของเขาเจ็บปวด โยนกระบอกยาสูบทิ้ง ยกมือสองข้างขึ้นเกาหัว
เจิ้งต้าเฟิงตาแดงก่ำ ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย จ้องเป๋งไปที่เฉินผิงอัน ตวาดเสียงดัง “เฉินผิงอัน! อาจารย์ฉีมีคำพูดฝากเจ้ามาให้ข้าหรือไม่?! พูด พูดมาตรงๆ ถ้ามี ข้าก็ยินดีจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า! สิบปี ร้อยปีก็ไม่เป็นปัญหา!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มี”
เจิ้งต้าเฟิงลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งวนอยู่ในลานบ้านอย่างคลุ้มคลั่ง ฝีเท้าสับสนไม่หยุดนิ่งเหมือนมดตัวหนึ่งที่อยู่บนกระทะร้อน เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันพึมพำ “คงไม่ได้ธาตุไฟเข้าแทรกหรอกกระมัง?”
เทพหยินตนนั้นลอยมาอยู่ข้างกายเขา เขาอำพรางปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในฟ้าดินเล็กๆ อย่างลานบ้านแห่งนี้ไว้นานแล้ว จึงไม่มีเสียงใดเล็ดรอดผ่านผ้าม่านตรงประตูบานนั้นออกไป
เจิ้งต้าเฟิงวิ่งชนไปรอบด้าน “อาจารย์ฉี ข้าเคยฟังท่านถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจมามากมาย ท่านต้องเคยพูดให้ข้าฟังอย่างลับๆ มาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้าไม่เข้าใจก็เท่านั้น คิดสิคิด ตั้งใจคิด เจิ้งต้าเฟิง เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน…”
ในลานบ้าน บนพื้นดินเริ่มมีพายุหมุนลูกเล็กๆ หลายลูกก่อตัวขึ้นเป็นดั่งคมกระบี่คมดาบที่คมกริบ ยังดีที่เทพหยินสยบไว้อย่างระมัดระวัง ถึงได้ไม่กระแทกชนให้พื้นหิน เสาระเบียง ประตูห้องพังทลาย
เฉินผิงอันดื่มเหล้าเงียบๆ พลางสังเกตภาพมหัศจรรย์ที่เจิ้งต้าเฟิงสร้างขึ้นอย่างตั้งใจ
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงน้ำตานองหน้า แต่เท้าก็ยังไม่หยุดนิ่ง เพียงแค่เงยหน้ามองเฉินผิงอัน “อาจารย์ฉีเคยสอนหลักการอะไรแก่เจ้า เฉินผิงอัน ลองพูดมาสิ ไม่ว่าอะไรก็ได้ แค่พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นหลักการยิ่งใหญ่ของอริยะนักปราชญ์อย่างสามอมตะ หรือวิชาการฝึกตนการเข้าสังคมของตระกูลฉี ขอแค่เจ้าพูดออกมา…”
เฉินผิงอันกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในอ้อมอก ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ทำไมข้าต้องพูดด้วย?”
เจิ้งต้าเฟิงโอดครวญด้วยเสียงที่แทบจะเรียกได้ว่าวิงวอน “เจ้าคือผู้ถ่ายทอดมรรคาของข้า! เฉินผิงอัน เจ้าต่างหากที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของข้าเจิ้งต้าเฟิง!”
เทพหยินเอ่ยเตือนเสียงเบา “เฉินผิงอัน ท่าไม่ค่อยดีแล้ว หากเจิ้งต้าเฟิงยังเป็นแบบนี้ต่อไป มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะกลายเป็นคนบ้าที่จิตแยกออกจากร่าง ต่อให้มีสติกลับคืนมาก็ไม่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขาตลอดชีวิตแล้วจริงๆ อีกอย่างก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะกำราบเขาได้ ร้านยาแห่งนี้ รวมไปถึงตรอกซอกซอยและถนนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เกรงว่าคงถูกเจิ้งต้าเฟิงทำลายพังพินาศ คนที่บาดเจ็บและล้มตายจะมีมากจนนับไม่ถ้วน”
อันที่จริงสภาพจิตใจของเฉินผิงอันไม่ได้นิ่งสงบอย่างสีหน้า แต่ผู้ถ่ายทอดมรรคานี่มันคืออะไรกัน? จะให้เขาที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ไปชี้แนะปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดคนหนึ่งน่ะหรือ? เฉินผิงอันมองพายุลมกรดในลานบ้านที่ยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหมือนธารน้ำสายเล็กที่มารวมตัวกันจนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ สุดท้ายกลายเป็นพายุหมุนที่สูงถึงเจ็ดแปดฉื่อ ไม่ว่าจะผ่านที่ใด พื้นแผ่นหินสีเขียวก็ล้วนปริแตก
เฉินผิงอันรีบควบคุมกระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เพื่อเรียกเอาไม้ไผ่แผ่นเล็กที่เขาแกะสลักหลักการไว้มากมาย ได้แต่ใช้วิธีรักษาม้าตายเหมือนม้าเป็นโดยการไล่อ่านตัวอักษรที่อยู่บนไม้ไผ่แต่ละแผ่นให้เจิ้งต้าเฟิงฟัง แต่เจิ้งต้าเฟิงกลับทำเพียงส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด พูดว่าไม่ถูกๆ ใต้ฝ่าเท้าของเจิ้งต้าเฟิงบังเกิดลมพาให้เท้าของเขาลอยขึ้นจากพื้น เหมือนว่าวตัวหนึ่งที่สายป่านขาดจึงล่องลอยไปมาอย่างสับสน อีกทั้งเลือดสดๆ ยังไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สภาพอเนจอนาถแทบทนมองไม่ได้
ต่อให้เฉินผิงอันจะพยายามนึกบทกวีไพเราะหรือถ้อยคำดีๆ ในบทความที่หลี่ซีเซิ่งจรดพู่กันเขียนลงไปบนผนังเรือนไม้ไผ่ แล้วพูดออกมาเสียงดัง เจิ้งต้าเฟิงก็ยังส่ายหน้า เวลานี้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลท่านนี้พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ ทำได้เพียงปล่อยหมัดโซซัดโซเซอยู่กลางอากาศ พยายามจะรักษาสติเสี้ยวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในสมองอย่างสุดความสามารถ
ระหว่างขอบเขตแปดและขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อเทียบกับขอบเขตสามสี่และขอบเขตหกเจ็ดแล้ว ปรากฎการณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมีแต่จะยิ่งใหญ่อลังการมากกว่า แต่ก็เสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าเช่นกัน
ถูกเรียกว่าด่านเคาะหัวใจ
ส่วนด่านระหว่างขอบเขตเก้ากับขอบเขตสิบก็ยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริด ถูกขนานนามว่าชนประตูสวรรค์ ความยากในการก้าวข้ามออกไปนั้น ไม่ต้องบอกก็พอจะจินตนาการได้
เจิ้งต้าเฟิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี เขาถึงได้อิจฉาศิษย์พี่หลี่เอ้อร์ที่วันๆ แทบไม่ต้องทำอะไร ถึงได้ริษยาซ่งจ่างจิ้งที่ผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายแค่ครั้งเดียวก็เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ!
จำนวนครั้งที่เขากับหลี่เอ้อร์ประมือกันเป็นการส่วนตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้มือข้างเดียวนับยังไม่พอ!
เหตุใดซ่งจ่างจิ้งที่อายุประมาณสี่สิบปีทำได้ แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงที่เลื่อนขอบเขตได้อย่างราบรื่นมาตลอดเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ถึงทำไม่ได้?!
แล้วทำไมท่านผู้เฒ่าถึงต้องพูดว่าชีวิตนี้เขาไม่มีหวังที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า? ทำไมต้องซ้ำเติมเขาที่แบกภาระทางใจหนักอึ้งอยู่แล้วให้หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเก่า?!
ทำไมอ่านบท ‘ความจริงใจ’ ก็แล้ว เคยได้รับโอกาสยิ่งใหญ่ด้วยการเห็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของตัวเองปล่อยหมัดถึงสองครั้งจนเข้าใจถึงความจริงใจอย่างทะลุปรุโปร่งก็แล้ว แต่คอขวดนั้นก็ยังไม่ขยับคลาย ให้ตายก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้?
เทพหยินกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว จ้องเจิ้งต้าเฟิงที่จิตใจใกล้แหลกสลายเขม็ง ดูเหมือนว่าเทพหยินตนนี้กำลังลังเลว่าควรจะลงมืออย่างเหี้ยมหาญเด็ดขาดดีหรือไม่
แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม หากขัดขวางอาการคลุ้มคลั่งของเจิ้งต้าเฟิงครั้งนี้ ถ้าเช่นนั้นอนาคตของเจิ้งต้าเฟิงก็คงจบสิ้นลงจริงๆ แล้ว
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หยุดนิ่ง ลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศ ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือด ใบหน้ามองเห็นไม่ชัดเจนเพราะเปื้อนเลือดสีแดงสด ความเศร้าโศกกัดกินหัวใจ “อาจารย์ ข้าทำไม่ได้ ข้าทำไม่ได้จริงๆ ข้าขอโทษ…”
มองเจิ้งต้าเฟิงที่เลือดท่วมกาย เฉินผิงอันที่อับจนหนทางนึกถึงแม่นางน้อยคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แม่นางน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่ตลอดทั้งปี แม่นางน้อยผู้มีชีวิตชีวาร่าเริง บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
จำได้ว่าหลี่ไหวเคยเล่าว่า แม่นางน้อยมักจะถามคำถามที่อาจารย์ของนางตอบไม่ได้อยู่เป็นประจำ อีกทั้งอาจารย์ฉีก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เหมือนแรงบันดาลใจบังเกิด เฉินผิงอันจึงพึมพำเบาๆ ว่า “ศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้เสมอไป”
ประโยคพึมพำที่เบายิ่งกว่าเสียงยุง
ทว่ากลับดังข้างหูเจิ้งต้าเฟิงเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ตีกระทบนครมังกรเฒ่า
เจิ้งต้าเฟิงก้มหน้าลงมองกระบอกยาสูบโบราณชิ้นนั้นอย่างเหม่อลอย
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่า ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าซึ่งไม่เคยเต็มใจพูดกับเขามากเกินความจำเป็นมองผ่านม่านควันขโมงมายังเขาด้วยสายตาเย็นชา จะต้องทำให้เจิ้งต้าเฟิงผู้หยิ่งทระนงเชื่อมั่นในตัวเองไม่เหลือความกล้าที่จะสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ
ก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง คนในโลกไม่รู้ความเป็นมาของท่านผู้เฒ่า แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงรู้ คนในโลกไม่รู้ถึงวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ของท่านผู้เฒ่า เขารู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร คนในโลกไม่รู้เรื่องราวอันรุ่งโรจน์ของผู้เฒ่า แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงกระจ่างแจ้ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาเจิ้งต้าเฟิงที่มีสถานะเป็นลูกศิษย์ เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด จะเอาคุณสมบัติที่ไหนไปจ้องตากับผู้เฒ่า?
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าแล้วพูดเบาๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้เอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมใดๆ ไม่ได้หัวเราะเสียงดังอย่างสาแก่ใจ เพียงแค่เดินทีละก้าวไปกลางอากาศเหนือลานบ้าน พูดกับตัวเองในใจว่า “อาจารย์ ท่านอยู่สูงสุดเหนือผู้ใด ไม่เป็นไร ศิษย์เจิ้งต้าเฟิงจะเดินทีละก้าวไปพบท่านเอง”
วันนี้มีคนเดินขึ้นฟ้า เดินทะลุทะเลเมฆผืนนั้นขึ้นไปเหยียบเหนือทะเลเมฆสูงส่งโดยตรง คนผู้นั้นขึ้นไปยังที่สูงเพื่อมองไปยังจุดที่อยู่สูงกว่า
ในนครมังกรเฒ่า สายลมหอบใหญ่พัดพาให้เมฆลอยหมุนคว้าง (คำว่าต้าเฟิงของชื่อเจิ้งต้าเฟิง แปลว่าลมหอบใหญ่ ลมแรง)
—–