จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามว่า “ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนเป็นเพราะการฝ่าทะลุขอบเขตของเฉินผิงอันชักนำมาใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงเย็นชาของเทพหยินดังออกมาจากในเงามืดมุมกำแพง “น่าจะใช่”
เจิ้งต้าเฟิงเหน็บหนังสือไว้ใต้รักแร้ หิ้วม้านั่งและเมล็ดแตงมาที่หน้าปากตรอก นั่งลงใต้ร่มไม้คอยมองสาวงามอีกครั้ง
บุรุษสูงใหญ่ท่าทางมีบารมีซึ่งสวมเสื้อผ้าธรรมดาผู้หนึ่งเดินมาอย่างเชื่องช้า ด้านหลังของเขามีหญิงสาวเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งเดินเยื้องย่างตามมาด้วย
บุรุษเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิง หญิงสาวหยุดยืนอยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั้นอีกที สำหรับเถ้าแก่ร้านยาที่นั่งอยู่บนม้านั่งใช้หนังสือแทนพัดผู้นั้น นางเต็มไปด้วยความรู้สึกสนใจใคร่รู้
บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เกียรติของซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่ามีค่าแค่ใบหน้าปลอมที่ใช้ปิดบังอำพรางชิ้นเดียวเท่านั้น เถ้าแก่เจิ้งมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามาชำเลืองมองบุรุษ “ฝูฉี เจ้าไม่ได้ใส่ชุดคลุมมังกรเฒ่ามา ดูท่าคงไม่ได้มาออกคำสั่งไล่แขก”
บุรุษยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่ด้านหลังตัวเอง “ข้าจะสวมชุดคลุมมังกรเฒ่าหรือไม่ เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่าล้วนไม่สำคัญ พานางมาด้วยต่างหากที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างแท้จริง”
ทั้งแสดงอำนาจบารมี ทั้งแสดงถึงการยอมอ่อนข้อให้
แสดงอำนาจด้วยการบอกว่า เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่า ข้าฝูฉีไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองก็สามารถขับไล่เจ้าเจิ้งต้าเฟิงไปได้แล้ว
ส่วนที่บอกว่าแสดงถึงการยอมอ่อนข้อก็คือ ฝูฉีที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่าก็ยังเต็มใจแสดงไมตรีต่อบุรุษด้วยการนำสตรีที่ขายาวมากคนหนึ่งมาปรากฎตัวต่อหน้าเถ้าแก่ใหญ่เจิ้ง
เจิ้งต้าเฟิงจ้องขางดงามของหญิงสาวอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะหันหน้ากลับไปมองกระแสคนที่เดินสวนกันไปมา “ฝูฉีเจ้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไม่สูบทะเลเมฆเข้าท้องไปด้วยเลยเล่า?”
สีหน้าของฝูฉีไม่น่ามองนัก ต้องยื่นมือไปกุมหยกประดับที่ห้อยไว้ตรงเอว สีหน้าถึงจะผ่อนคลายลง
หญิงสาวตัวสั่นงันงก นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองที่ชัดเจนขนาดนี้ของบิดา
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “เป็นคนทำการค้าเหมือนกัน เจ้าคู่ควรจะมาเปรียบเทียบกับข้าด้วยหรือ?”
ฝูฉียิ้มรับ “ในเมื่อตอนนี้เถ้าแก่เจิ้งอารมณ์ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นเรื่องบางเรื่อง ฝูฉีค่อยพูดภายหลังก็แล้วกัน”
ตอนนี้อารมณ์ของเจิ้งต้าเฟิงแค่ไม่ดีเสียที่ใด ต้องเรียกว่าย่ำแย่ถึงขีดสุดเลยต่างหาก
เงินห้าอีแปะ!
แค่เงินห้าอีแปะที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปล้วนเคยจับผ่านมือ แต่กลับเป็นเหมือนภูเขาใหญ่ห้าลูกที่กดทับอยู่ในใจของเจิ้งต้าเฟิง! ทุ่มเทสมองครุ่นคิดแทบล้มประดาตาย รับมือด้วยความระมัดระวัง กว่าจะหลอกให้เด็กหนุ่มคนนั้นรับปากด้วยตัวเองว่าจะไม่คิดบัญชีนี้ได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงหลังจากที่เด็กหนุ่มถามคำถามสามข้อนั้น รวมไปถึงพูดประโยคว่า ‘หยางเหล่าโถวไม่เคยติดค้างใคร’ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองแล้วว่า ไม่ต้องคาดหวังให้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้ทวงเงินห้าอีแปะที่ธรรมดาที่สุดจากตนอีกแล้ว เจ้าลูกหมาน้อยจากตรอกหนีผิงผู้นี้เจ้าเล่ห์จะตายไป คิดจะหลอกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย!
เจิ้งต้าเฟิงโมโหอย่างหนัก โบกตำราที่เอามาทำเป็นพัดแรงๆ “มิน่าเล่าข้าถึงไม่ชอบไอ้หมอนี่มาตั้งแต่แรก อายุน้อยๆ แต่กลับมีจิตใจและกลอุบายลึกล้ำนัก เหมือนเด็กหนุ่มเสียที่ไหน?”
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หยุดบ่น แล้วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ไหนเลยจะมีชีวิตอยู่มาจนถึงป่านนี้”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ทอดถอนใจ เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน เสียงหน้าหนังสือที่ถูกเปิดดังพั่บๆๆ แต่อ่านไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวอักษรเดียว เขาพึมพำกับตัวเองว่า “หรือว่าวัตถุหยินตนนั้นพูดถูก ข้าทำตัวอวดฉลาดไปเองจริงๆ?”
เมื่อเปิดหนังสือไปอีกหนึ่งหน้าก็เป็นบท ‘ความจริงใจ’ พอดี ยังคงเป็นเรื่องเล่าตามหัวมุมถนนที่เอามาร้อยเรียงต่อกัน ผสมปนเปกันเป็นต้มจับฉ่าย ช่วงท้ายถึงแสร้งใส่หลักการยิ่งใหญ่เข้าไปสองสามประโยค ยุ่งเหยิงพัลวันไปหมด สำหรับคนที่มีความรู้ลึกล้ำแท้จริงอย่างเจิ้งต้าเฟิงแล้ว หากนำบทความมาแยกออกจากกันก็เหมือนสตรีผู้นี้มีคิ้วตางามเพริศพริ้ง สตรีผู้นั้นมีแก้มอมชมพูน่าหลงใหล สตรีอีกคนมีปากเล็กๆ สีลูกท้อ แต่ละคนต่างก็มีความงามในแบบของตัวเอง แต่หากเอามาประกอบเข้าด้วยกันส่งเดช จะไม่ใช่ความงาม แต่อาจกลับกลายมาเป็นความอัปลักษณ์ที่ทนมองไม่ได้
เจิ้งต้าเฟิงพลิกหนังสือไปอีกหน้าอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือช่วงสุดท้ายของบท ‘ความจริงใจ’ พอดี
ยังคงเป็นหลักการว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่จนไร้ขอบเขตสิ้นสุดเหมือนเดิม
“โบราณกล่าวไว้ว่าผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ มักจะมีความจริงใจจนสามารถสั่นสะเทือนให้หินแข็งแยกร้าวได้ เป็นเหตุให้ความจริงใจคือรากฐานในการหยัดยืนของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อ”
“และอริยะของลัทธิเต๋าก็เคยกล่าวไว้ว่า ไม่จริงใจก็ไม่เขย่าคลอนใจคน คนจริงซื่อสัตย์ จึงจะมีความจริงใจ นี่จึงเป็นที่มาของยศ ‘เจินเหริน’ (แปลตามตัวคือคนที่แท้จริง คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็แปลได้ว่าเต้าหยินที่บรรลุมรรคผล)”
เจิ้งต้าเฟิงพลิกเปิดไปยังบทถัดไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือบท ‘ความจงรักภักดีและกตัญญู’ แล้วก็เปิดหน้ากระดาษตั้งแต่ต้นจนจบอย่างว่องไวอีกครั้ง สุดท้ายตบหนังสือประกบปิดแล้วเอามาทำเป็นพัดพัดลมเย็นๆ เข้าหาตัวอีกครา
ดูเหมือนชายฉกรรจ์คนนี้จะเห็นคำสอนของอริยะในตำราเป็นดั่งลมที่พัดผ่านหูไปเสียหมด
สุดท้ายเขาพูดเหมือนยอมรับชะตากรรม “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าพูดว่าชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะยังดึงดันไปอีกทำไม? อุตส่าห์รอมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว มิน่าเล่าท่านผู้เฒ่าถึงได้บอกว่าข้าหัวหมอคิดว่าตัวเองฉลาดเฉลียว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ลำพังกับแค่หลี่เอ้อร์ก็ต่อยตีกันมากี่ครั้งแล้ว? ซ่งจ่างจิ้งต่อสู้กับศิษย์พี่แค่ครั้งเดียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตได้เลย อันที่จริงข้าเองก็เริ่มเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร้องขอแล้วจะได้มา ข้าก็แค่แอบหวังว่าตัวเองจะโชคดีเท่านั้น ฮ่าๆ ตอนนี้ได้เห็นสาวงามอยู่ในนครมังกรเฒ่าทุกวัน คงต้องรอตายอยู่ที่ขอบเขตแปดนี่แล้ว…”
เจิ้งต้าเฟิงหลับตาลง นาทีนี้สีหน้าของชายฉกรรจ์ที่ไม่ได้ลอบมองทรวดทรงองค์เอวของสตรีค่อนข้างจะเซื่องซึม
หญิงสาวที่มีหุ่นซึ่งเรียกได้ว่า ‘บึกบึนแข็งแกร่ง’ บนใบหน้าทาผงประทินโฉม สวมชุดสีสันสดใสงดงาม กรามของนางใหญ่มากพอที่จะสยบปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ เมื่อนางหยุดเดินแล้วเห็นท่าทางเช่นนี้ของชายฉกรรจ์ก็ให้รู้สึกสงสาร ในใจคิดว่าเขาคงอยากจะบอกความในใจกับตน แต่คงไม่กล้า ถ้าอย่างนั้นตนจะไม่สำรวมกิริยาอย่างที่สตรีพึงกระทำอีกแล้ว นางควรจะเป็นคนเปิดปากก่อน ชายในดวงใจของนางจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ใจ?
เพียงแต่ว่าขณะที่นางกำลังจะกระแอมให้ลำคอชุ่มชื้นนั้นเอง
ชายฉกรรจ์พลันลืมตาขึ้น คว้าม้านั่งได้ก็วิ่งกลับเข้าไปในตรอกทันที
นางถอนหายใจหนึ่งครั้ง ลูบคลำใบหน้า พร่ำตำหนิตัวเอง จะโทษก็ต้องโทษรูปโฉมของตนที่เย้ายวนใจคนเกินไป แถมยังงามล่มบ้านล่มเมืองถึงเพียงนี้
จู่ๆ นางก็สะดุ้งเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ร้องปัดโธ่หนึ่งที ที่แท้พอเอานิ้วไปลูบ เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าก็ติดนิ้วมาด้วย นางจึงรีบปาดกลับไปแรงๆ
……
ฝูฉีไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารพาบุตรสาวกลับไปยังนครฝู แต่สาวเท้าเดินเตร็ดเตร่อย่างผ่อนคลายกลับไป ด้านหลังมีรถม้าคันหนึ่งขับตามมาช้าๆ
หญิงสาวชื่อฝูชุนฮวา เป็นบุตรสาวคนโตของฝูฉี นางกับฝูตงไห่บุตรชายคนโตของฝูฉีล้วนเป็นหนึ่งในคนที่มีหวังว่าจะได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูล
ในเมื่อเป็นเจ้าประมุข หรือจะเรียกอีกอย่างว่าผู้สืบทอดชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ฝูฉีมองดูเหมือนวัยกลางคน แต่อันที่จริงมีอายุมากถึงสี่ร้อยปีแล้ว ตบะขอบเขตสิบ แม้ว่าจะเทียบกับชื่อเสียง ‘ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุดของแจกันสมบัติทวีป’ ‘อันดับหนึ่งของห้าขอบเขตบนลงมา’ ของหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าไม่ได้ แต่เมื่อสวมชุดคลุมมังกรเฒ่า บวกกับที่ในตระกูลได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสี่ชิ้น ฝูฉีจึงมีคุณสมบัติที่จะถูกมองว่าเป็นขอบเขตหยกดิบตัวจริงเสียงจริง
ฝูชุนฮวาเองก็อายุเกือบสามร้อยปีแล้ว นางกับฝูตงไห่พี่ชายคนโตล้วนเป็นขอบเขตโอสถทองมานานมากแล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้สังหาร คนทั้งสองทำหน้าที่คุ้มครองเรือข้ามฟากลำหนึ่งให้เดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัวมาร้อยกว่าปีแล้ว ประสบการณ์จึงโชกโชน เคยพบเจอปีศาจใหญ่ในทะเลลึก ตกอยู่ในอันตรายระหว่างความเป็นความตายไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ประเด็นสำคัญคือหากลูกหลานตระกูลฝูเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้เมื่อไหร่ก็หมายความว่าจะสามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนได้ ดังนั้นในแจกันสมบัติทวีปจึงมีคำเล่าลือหนึ่งมาตลอด นั่นคือขอบเขตที่แท้จริงของผู้ฝึกลมปราณตระกูลฝูจำเป็นต้องขยับสูงไปอีกครึ่งขอบเขตถึงจะเป็นมาตรฐานที่ถูกต้อง
ฝูชุนฮวาลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านพ่อ ทำไมถึงพาข้ามาพบคนผู้นี้ ไม่ใช่หนันหัวที่ได้มา?”
ฝูฉีตอบยิ้มๆ “ก็บอกไว้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือว่า เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของตระกูลฝู เถ้าแก่เจิ้งผู้นี้ชอบสาวงามขาเรียวยาว ในรายงานแจ้งไว้อย่างชัดเจน”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวไม่เชื่อคำอ้างข้อนี้
ต่อให้นางจะเป็นตัวเลือกที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูล แต่นางก็ดี ฝูตงไห่พี่ชายใหญ่หรือฝูหนันหัวน้องชายก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้กันดีว่า เส้นสายความสัมพันธ์ที่พวกเขาพยายามรวบรวมมาอย่างยากลำบากยังไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้ทัศนียภาพที่แท้จริงบนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปได้ อีกอย่างเมื่ออยู่ภายใต้ปีกคุ้มครองของฝูฉีผู้เป็นบิดา แม้ว่าจะเย็นสบาย แต่ก็ถือเป็นการพันธนาการอย่างหนึ่ง พวกเขามักจะไม่กล้าข้ามเส้น เพราะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นคนที่น่าสงสัยในสายตาของฝูฉี
มองดูเหมือนแต่ละคนในตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่ามีอิสระเสรี แต่พวกเศษสวะในตระกูลที่ไม่มีหวังว่าจะได้แตะต้องชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นต่างก็ถอดใจกันไปนานแล้ว แล้วก็ถูกผลักไสให้ออกจากขอบเขตแผนการของตระกูลด้วย ในความเป็นจริงแล้ว ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ตระกูลฝูไม่ได้เป็นรองกฎของเหล่าเชื้อพระวงศ์เลยแม้แต่น้อย
ร้อยปีที่ผ่านมานี้ ฝูตงไห่รับผิดชอบเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ในอุตรกุรุทวีป ส่วนนางฝูชุนฮวาทำหน้าที่รับผิดชอบวางแผนการรับมือกับทวีปใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนฝูหนันหัวนั้นเดิมทีไม่มีชื่อเสียง ไม่มีการไม่มีงานให้ทำ จนกระทั่งครั้งนั้นที่เขาถูกเลือกให้ไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูโดยอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของผู้คน หลังจากนั้นถึงได้ลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทางตระกูลต่างก็ทุ่มกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากไปให้กับน้องชายคนนี้ของนาง เห็นได้ชัดว่าฝูฉีเจ้าประมุขตระกูลไม่พอใจในการทำการค้าตลอดร้อยปีที่ผ่านมาของนางกับฝูตงไห่
ฝูชุนฮวารู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “จะให้ข้าไปเตือนซุนเจียซู่สักคำหรือไม่?”
ฝูฉีเอ่ยยิ้มๆ “ซุนเจียซู่? ต่อให้ขอบเขตของเขาจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่จะดีจะชั่วก็เป็นถึงประมุขของตระกูลซุน เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง อาศัยอะไรไปสะกิดเตือนเขา? ในบ้านบรรพบุรุษของเขายังมีบุรพาจารย์ตระกูลซุนที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ทั้งคน ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองอีกคนที่มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด พี่ชายเจ้าพยายามดึงตัวมานานหลายปี จนกระทั่งวันนี้เพิ่งจะมีท่าทางหวั่นไหว หากตระกูลฝูไปเอาเรื่องซุนเจียซู่ตอนนี้ เจ้าคิดว่าขอบเขตโอสถทองคนนั้นจะยังมีหน้าออกจากบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนมาอยู่ที่ตระกูลฝูของเราไหม?”
สีหน้าฝูชุนฮวาซีดขาว กลัวว่าบิดาจะเข้าใจผิดคิดว่านางประสงค์ร้ายต่อพี่ชาย
ฝูฉียิ้มบางๆ “ไม่ต้องตื่นเต้น ข้ารู้จักนิสัยของเจ้าดี อันที่จริงการที่ครั้งนี้ซุนเจียซู่คล้อยไปตามสถานการณ์ วางเดิมพันลงข้างเฉินผิงอันก็เพราะอยากจะหยั่งเชิงตระกูลฝูของพวกเรา เกรงว่าเขาคงกลัวแต่พวกเราจะไม่ไปหาเรื่องเขาซะมากกว่า หากตระกูลซุนสมปรารถนา พอกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษก็ทำท่าว่าถูกตระกูลฝูใช้อำนาจเข้าข่ม เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ไม่จำเป็นต้องให้ซุนเจียซู่เกลี้ยกล่อมอะไร ขอบเขตโอสถทองที่อนาคตยาวไกลคนนั้น เดิมทีตระกูลซุนก็มีบุญคุณต่อเขาอยู่แล้ว หากมีเรื่องในครั้งนี้ เขาก็ต้องเลือกที่จะอยู่ในตระกูลซุนต่ออย่างแน่นอน”
ฝูชุนฮวาเอ่ยถาม “ซุนเจียซู่ไม่กลัวว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะตายด้วยน้ำมือพวกเราหรือไร?”
ฝูฉีเงยหน้ามองม่านฟ้า “เจ้าคิดแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป เพียงแต่ว่าวันใดที่เจ้าได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าก็จะมีโอกาสได้รู้เรื่องจริงบางอย่างที่อยู่ระดับสูงเหนือศีรษะ”
ฝูชุนฮวาเงยหน้ามองทะเลเมฆผืนนั้นตามจิตใต้สำนึก
ฝูฉีคลี่ยิ้ม “ยังมีที่สูงกว่านี้อีก”
จิตใจของฝูชุนฮวาสั่นไหวนิดๆ แหงนหน้ามองไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ผู้ใดที่เป็นขอบเขตโอสถทองก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า
ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าประโยคที่เปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญนี้กล่าวได้สาแก่ใจที่สุด ทว่าพอกลายเป็นขอบเขตโอสถทองได้อย่างแท้จริง ถึงได้ค้นพบว่านี่เพิ่งจะเป็นแค่ครึ่งภูเขาของผู้ฝึกลมปราณเท่านั้น แค่นี้เท่านั้น
จู่ๆ ฝูฉีก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา “เมื่อเทียบกับตระกูลซุนและซุนเจียซู่แล้ว ตระกูลฝูของเราและข้าฝูฉีมีความกล้าหาญและสติปัญญามากกว่า ตอนนี้ข้าต้องออกจากนครมังกรเฒ่าไปรับแขกผู้มีเกียรติหลายคนที่มาจากทางทิศเหนือ เจ้าไปหาฝูหนันหัว บอกเขาว่าเฉินผิงอันอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ข้าอยากรู้ว่าเขาจะเลือกอย่างไร เรื่องนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะกลายเป็นเจ้านครมังกรเฒ่าได้หรือไม่ แน่นอนว่าจะเป็นตัวตัดสินด้วยว่าเจ้าจะมีหวังได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าหรือไม่ หวังว่าตอนที่ข้ากลับมานครมังกรเฒ่า จะสามารถเลือกในสิ่งที่ถูกต้องได้แล้ว”
ฝูฉีโบกมือ “เจ้านั่งรถกลับเมืองไปเถอะ”
ฝูชุนฮวาทำตามคำสั่ง ส่วนบิดานางนั้นทะยานร่างขึ้นสูง หายวับเข้าไปในค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆอย่างสง่างามแล้ว และน่าจะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
ฝูชุนฮวาไม่มีเวลามาสนใจว่าแขกมีเกียรติแบบไหนที่มีค่ามากพอให้เจ้านครมังกรเฒ่าออกจากเมืองไปรับด้วยตัวเอง พอเข้ามานั่งในห้องโดยสาร นางก็เริ่มคิดพิจารณาถึงปัญหาข้อนี้
อันดับต่อไปนางควรจะเลือกอย่างไรถึงจะได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาลมากที่สุด? แล้วฝูหนันหัวน้องชายนางจะเลือกอย่างไร?