จินซู่นำตัวยาที่เอามาจากตีนเขาไปส่งที่เรือนเล็กกุยม่ายแล้วกลับมาอยู่ข้างกายน้ากุ้ยอาจารย์ของตนอย่างรวดเร็ว เห็นสตรีแต่งงานแล้วมีท่าทางผ่อนคลาย กำลังชงชาอย่างอารมณ์ดีแบบที่หาได้ยาก พอเห็นว่าลูกศิษย์กลับมา นางก็ยื่นชาร้อนถ้วยหนึ่งส่งให้จินซู่ จินซู่นั่งลงแล้ว ยังไม่ทันดื่มชาจากฝีมือการชงของอาจารย์ จิตใจของนางก็สงบตามอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วรู้ว่าจินซู่มีข้อสงสัยอยู่เต็มท้อง แต่กลับไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สำหรับคุณชายใหญ่สุกลเจียงผู้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือหายนะที่มาเยือนกะทันหัน แต่สำหรับพวกเราสองอาจารย์และศิษย์แล้วกลับเป็นความโชคดีที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า จินซู่ เจ้าไม่ต้องถามมาก ออกทะเลในครั้งนี้ หลังกลับมาจากภูเขาห้อยหัวแล้ว ข้าจะพยายามทำให้เจ้าได้พบหน้ากับคนที่ออกกระบี่ผู้นั้นสักครั้งให้จงได้”
น้ากุ้ยหัวเราะเบาๆ “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล วันหน้าเมื่อเจ้าท่องไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง ควรสำรวมให้มากจึงจะดี”
ถ้อยคำล้ำค่าประโยคสุดท้ายจากผู้มีประสบการณ์ จินซู่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไหร่ นางหันหน้าไปมองทางทิศที่ตั้งของนครมังกรเฒ่าอย่างเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังนานแล้ว
เรือนเล็กกุยม่ายตั้งตัวอยู่อย่างสงบสันโดษ ไม่ช่วงชิงกับใครและไม่จำเป็นต้องสนใจมรสุมบนยอดเขาเหล่านี้
ทุกวันหลังจากนั้นเฉินผิงอันจะต้องฝึกกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทอง ฝ่ายหลังจะทำสามเรื่อง หนึ่งคือเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา จำแลงเป็นภาพมายาผสานเข้าสู่ร่างกาย ช่วยเฉินผิงอันหล่อหลอมสามหุน ช่วยปูรากฐานบนเส้นทางสามหุนอย่างไถกวาง ซ่วงหลิงและโยวจิงให้แน่นหนามากขึ้น จากนั้นหม่าจื้อจะกดขอบเขตของตัวเองลง ใช้วิธีของผู้ฝึกกระบี่ควบคุมเหลียงอินให้ประมือกับเฉินผิงอัน สุดท้ายคืออยู่ข้างๆ คอยดูเฉินผิงอันฝึกท่ากระบี่จากตำรา ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ แล้วให้คำชี้แนะเป็นระยะ ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องท่ากระบี่ที่เฉินผิงอันร่ายออกมาให้ถูกต้อง
แต่การฝึกกระบี่ของเฉินผิงอันน่าสนใจมาก เขาไม่ได้ดึงกระบี่สักเล่มออกมาจากกล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ข้างหลัง ทุกครั้งจะแค่ทำท่าถือกระบี่ สมมติเอาว่าตัวเองถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว สำหรับเรื่องนี้หม่าจื้อเคยสอบถาม ผลคือคำตอบที่เฉินผิงอันมอบให้กลับค่อนข้างจะไร้สาระ บอกว่ากระบี่สองเล่มที่สะพายอยู่ด้านหลัง เล่มที่ถูกเขาตั้งชื่อว่า ‘ปราบมาร’ เล่มนั้นเป็นของคนอื่น เอามาใช้ไม่ได้ ส่วนกระบี่ไม้ไหวที่ชื่อว่า ‘กำจัดปีศาจ’ นั้นเคยชักออกจากฝักลงสนามรบหนึ่งครั้ง แต่หลังจบเรื่องเฉินผิงอันค้นพบว่ามันเบาเกินไป เขารู้สึกว่าการเริ่มต้นฝึกกระบี่ของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรหากระบี่ที่มีน้ำหนักมากพอเช่นพวกกระบี่เหล็ก หาไม่แล้วเอามาถือโล่งๆ อยู่ในมือ เบาบางไม่ต่างจากตอนที่ไม่ถือ คงรู้สึกแปลกพิกล
มีเพียงถือกระบี่หนักไว้ในมือแล้วยังสามารถปล่อยกระบี่ออกไปได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น อนาคตข้างหน้าวันใดวันหนึ่งเมื่อได้เจอกับศัตรูแข็งแกร่งที่แม้แต่กระบี่หนักก็เอาชนะไม่ได้ เขาเฉินผิงอันถึงจะสามารถเปลี่ยนมาใช้กระบี่ไม้ ออกกระบี่ด้วยความเร็วที่มากที่สุดฟาดฟันกับศัตรู
ในฐานะเทพเซียนบนสวรรค์ในสายตาของมนุษย์โลก อันที่จริงหม่าจื้อไม่ได้สนใจในวิชากระบี่ของผู้ฝึกยุทธ์สักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับสิ่งที่มือกระบี่ในยุทธภพอย่างเฉินผิงอันดึงดันไล่ไขว่คว้า ถึงขั้นที่ว่าลึกๆ ในใจยังรู้สึกดูแคลนอยู่เล็กน้อย ขุดหาอาหารในไร่นาหาเลี้ยงชีพจะขุดเจอของวิเศษได้อย่างไร? แต่หากจะให้พูดถึงความตั้งใจศึกษาเล่าเรียนที่เฉินผิงอันมีต่อมหามรรคาของปณิธานกระบี่ เกรงว่าหม่าจื้อก็คงอดพูดถึงไม่ได้ ต่อให้ต้องพูดเป็นน้ำไหลไฟดับให้เฉินผิงอันฟังสามวันสามคืนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
จินซู่แม่นางกุ้ยฮวาจะเอาอาหารทั้งสามมื้อมาส่งตรงตามเวลา สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็คือเฉินผิงอันไม่ได้คิดได้คืบจะเอาศอก ให้นางต้องทำตัวเป็นสาวใช้ที่คอยยกน้ำชงชา หรือจะต้องให้นางช่วยผลัดเสื้อผ้าเตรียมน้ำอาบจริงๆ หาไม่แล้วนางคงปวดหัวมากเป็นแน่ ต่อให้เป็นเรื่องการเทน้ำทิ้ง ก็ยังเป็นเฉินผิงอันที่ลงมือทำด้วยตัวเอง นี่ทำให้ในที่สุดจินซู่ก็มีความรู้สึกอันดีต่อแขกของสกุลฟ่านที่อายุยังน้อยผู้นี้ขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
นอกจากนี้ก็คือต้องนำเหล้าหมักกุ้ยฮวามาเติมให้เรือนเล็กกุยม่ายทุกๆ สามวันห้าวัน
ด้วยสถานะของจินซู่ ใช่ว่าจะไม่สามารถยกเหล้าหมักหลายสิบกามาทีเรือนเล็กในรวดเดียว แต่สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำงานหนักครั้งเดียวสบายตลอดไปนี้ทิ้ง นี่ก็เพราะนางหวังว่าจะใช้โอกาสที่ได้พบหน้ากันหลายครั้งมามองความตื้นลึกหนาบางของเด็กหนุ่มต่างถิ่นให้ออก ถึงอย่างไรการเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลในครั้งนี้ สำหรับแม่นางกุ้ยฮวาที่คุ้นเคยกับเส้นทางการเดินเรือมานานแล้วอย่างพวกนางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย สิบทิวทัศน์บนเกาะกุ้ยฮวา ยกตัวอย่างเช่นดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางนภาเหนือมหาสมุทร ต้นกุ้ยที่พอจะมองเห็นได้เลือนรางในแสงจันทร์ ภาพลวงตาที่สะท้อนออกมาเป็นพระราชวังโบราณที่ยิ่งใหญ่ เกาะกุ้ยฮวาที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงปลาบินเหนือมหาสมุทร ฯลฯ เมื่อได้เห็นครั้งแรกเป็นภาพที่งดงามน่าตะลึง ถึงขั้นทำให้คนยอมควักเงินจ้างให้จิตรกรวาดภาพทิวทัศน์ที่งดงามเหล่านี้ให้ แต่พอได้เห็นบ่อยๆ เข้าก็ยากที่จะดึงดูดคนให้เกิดความเพลิดเพลิน เหตุการณ์และบุคคลประหลาดที่เกิดขึ้นบนเกาะกุ้ยฮวาต่างหากที่ทำให้แม่นางกุ้ยฮวาอย่างพวกนางสนใจได้มากกว่า
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ายามเหม่า (05.00-07.00) ของทุกวันที่เขาตื่นนอน ฟ้ายังไม่ทันสาง ฝึกเดินนิ่งหกก้าวก่อนประมาณหนึ่งชั่วยาม ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหม่าจื้อจะปรากฎตัวในช่วงยามเฉิน (07.00-09.00) ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งอย่างเนิบช้าสบายอารมณ์ รอจนเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดธรรมดาไร้ความมหัศจรรย์นั้นเสร็จสิ้น หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเฉินผิงอันรอให้ผู้เฒ่าดื่มเหล้ากานั้นจนหมด ก็จะเป็นช่วงเวลาที่จินซู่เอาอาหารเช้ามาส่งพอดี ใช้เวลาไปอีกประมาณสองเค่อ ระหว่างนี้หม่าจื้อจะอธิบายถึงสาเหตุของน้ำหนักหนักเบาและปณิธานกระบี่ในการออกกระบี่ของวันนั้น รวมไปถึงเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าคร่าวๆ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็จะมอบกล่องอาหารคืนให้กับจินซู่ที่รออยู่ตรงหน้าประตู ส่วนใหญ่จะพูดแค่ขอบคุณเท่านั้น หากเรือนเล็กกุยม่ายต้องการสุราเพิ่ม เขาก็จะบอกกับหญิงสาวคนนั้นไปตามตรงโดยไม่รู้สึกลำบากใจ
การฝึกตนในหนึ่งวัน ภายใต้การเสนอแนะจากหม่าจื้อจึงเปลี่ยนจากง่ายไปเป็นยาก เฉินผิงอันฝึกท่ากระบี่จาก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มนั้นก่อน ใช้เวลาสองชั่วยามของช่วงเช้า ระหว่างนี้หม่าจื้อจะออกกระบี่อย่างกะทันหัน จงใจทำลายกระบวนท่ากระบี่ที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นในรวดเดียวลง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องปูพื้นกระบวนท่ากระบี่สี่อย่างซึ่งรวมกระบวนท่าหิมะทลาย ท่าสยบเสินโถวเป็นหนึ่งในนั้น และยิ่งจำเป็นต้องคอยระวังการลอบโจมตีจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วย และบางครั้งหม่าจื้อก็จะเอาการฝึกกระบี่ที่เขาต้องสอนช่วงบ่ายมาฝึกล่วงหน้าในช่วงเช้าเลย
ก่อนจะหมดช่วงเที่ยง คนทั้งสองจะต้องจัดการอาหารเที่ยงให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นก็เริ่มประลองฝีมือในช่วงบ่าย ตอนนี้หม่าจื้อได้เลื่อนขอบเขตของตัวเองจากขั้นถ้ำสถิตมาที่ขั้นเจ็ดชมมหาสมุทรแล้ว เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน ดื่มสุรากับตัวเองอย่างสำราญใจ คอยปล่อยกระบี่ออกไปเป็นระยะ ควบคุมให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหลียงอินลอบสังหารเฉินผิงอัน ปล่อยให้เฉินผิงอันเลือกใช้วิธีรับการโจมตีจากศัตรูได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นท่าหมัดโบราณที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม กระบวนท่าโจมตีและป้องกันที่เพิ่งเรียนรู้มาจาก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ หรือจะเป็นท่าหมัดหวังปาที่ปล่อยหมัดมั่วซั่วต่อยให้อาจารย์คนหนึ่งตาย หม่าจื้อล้วนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ขอแค่เจ้าเฉินผิงอันหลบเลี่ยงเหลียงอินที่บินฉวัดเฉวียนพุ่งไปทั่วลานบ้านได้ หรือจะปล่อยหมัดต่อยให้กระบี่บินเล่มนั้นถอยห่างไป ก็ได้ทั้งนั้น
และส่วนใหญ่แล้วการฝึกในช่วงบ่ายยังไม่ทันเสร็จสิ้น หนังเนื้อเฉินผิงอันก็จะปริแตก เสื้อผ้าขาดวิ่นไปก่อน
บางครั้งหม่าจื้อจะชะลอความเร็วในการปล่อยกระบี่ ปล่อยเฉินผิงอันที่สภาพกระเซอะกระเซิงชวนเวทนาไปสักครั้ง ตัวเองหันไปดื่มเหล้าหลายอึก อาหารจานเล็กบนโต๊ะไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงโรยเกลือ หอยผัดพริก ปลาซิวทอด ยำหูหมูก็ล้วนมากพอให้ผู้เฒ่าเอามากินแกล้มสุรา แต่ทุกครั้งหลังจากที่เฉินผิงอันเพิ่งจะหายใจหายคอได้ทัน ผู้เฒ่าก็จะปล่อยกระบี่แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อีกทั้งพละกำลังยังมหาศาลดุจสายฟ้าหมื่นชั่ง และในเวลาเช่นนั้นบางทีในปากผู้เฒ่าอาจจะกำลังเคี้ยวแผ่นปลาทอดกรุบกรอบ แต่เฉินผิงอันกลับถูกหนึ่งกระบี่แทงเข้าหัวใจ พอกระบี่บินกระชากตัววาดเส้นโค้งย้อนกลับก็จะตวัดกลับมาแทงหัวใจของเฉินผิงอันทางด้านหลัง จากนั้นผู้เฒ่าก็จะหลุดหัวเราะพรืด “หากไม่เป็นเพราะกระบี่บินกลายเป็นภาพมายา เจ้าก็ตายไปสองครั้งแล้ว ไม่มีโอกาสได้ชิมปลากรอบคลุกเกลือพริกไทยจานนี้อีก เฉินผิงอัน ต่อให้จะทำเพียงเพื่อกับแกล้มและสุราชุดนี้ เจ้าก็ควรจะตั้งใจให้มากหน่อยนะ”
เพื่อให้การฝึกกระบี่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด เรือนเล็กกุยม่ายจึงไม่มีมื้ออาหารเย็น มีแต่อาหารมื้อดึก จินซู่แค่เอากล่องอาหารมาวางไว้หน้าประตูเรือนก็พอ
โดยทั่วไปเมื่อผ่านยามโหย่ว (17.00-19.00) ไปแล้ว เฉินผิงอันจะยืนให้ถูกตีอย่างเดียวเท่านั้น อาศัยให้กระบี่บินเหลียงอิน ‘ลอดระเบียงข้ามสะพาน’ ‘ห้อตะบึงผ่านทางเดินม้า’ อยู่ในจิตวิญญาณของเขา เพื่อหล่อหลอมระดับความหนาและความยืดหยุ่นของสามหุนให้มากขึ้น
ช่วงที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ได้อธิบายวิธีการออกกระบี่ของเขาอย่างละเอียดอีกแล้ว แค่กะน้ำหนักอย่างระมัดระวัง ให้เฉินผิงอันได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างละเอียดก็พอ
เฉินผิงอันชอบแล้วก็ไม่ชอบช่วงเวลานี้มากที่สุด ชอบก็เพราะรู้ว่าการขัดเกลานี้มีผลประโยชน์ต่อการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์อย่างมาก ไม่ชอบก็เพราะนี่มักจะทำให้เขานึกถึงความยากลำบากในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ยังดีที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าค่อนข้างจะออมมือให้ อีกทั้งยังใจกว้างกว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้า เมื่อเทียบกับวิธีการโหดเหี้ยมที่เทพสวรรค์ใช้สังหารมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ถือว่าเบาสบายกว่ามาก เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ทนรับได้ไหว ยังสามารถอาศัยโอกาสนี้ฝึกเดินนิ่งหกก้าวและฝึกสองกระบวนท่าป้องกันของ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ได้ด้วย ท่าขุนเขาและท่าห่มเกราะที่เมื่อเทียบกับการฝึกฝนด้วยตนเองซึ่งต้องเนิบช้าเหมือนตุ๋นด้วยไฟอ่อนแล้ว มีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคอยให้ความช่วยเหลือจึงเป็นเหมือนการเร่งไฟแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหนื่อยน้อยลงแต่ประสิทธิผลกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่นานวันเข้า เฉินผิงอันที่หาความสำราญจากความทุกข์ตรมก็ใคร่ครวญจนพบเจอเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือกระบวนท่าหิมะทลายที่การออกกระบี่รวดเร็วและซับซ้อน เมื่อมารวมเข้ากับความเจ็บปวดเหมือนถูกผ่าแหวกท้อง เจาะคว้านหัวใจที่กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าช่วยขัดเกลาให้ ขอแค่กัดฟันยืนหยัดได้ไหว การออกกระบี่จะเร็วมากกว่าเดิม การตระหนักรู้และความเข้าใจในกระบวนท่าโจมตีนี้ของเฉินผิงอันพัฒนาไปอย่างว่องไว ยิ่งเป็นช่วงหลัง ทุกครั้งที่เฉินผิงอัน ‘จับกระบี่’ ปล่อยกระบวนท่าหิมะทลายออกไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าขอแค่ในมือมีอาวุธเทพที่ร้ายกาจสักชิ้นอยู่จริงๆ เขาก็จะสามารถสร้างภาพปรากฎการณ์ไอเย็นแสงกระบี่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อากาศในเรือนเล็กเหน็บหนาวขึ้นมาได้หลายส่วนจริงๆ
ส่วนใหญ่การฝึกกระบี่จะจบสิ้นในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยามซวี (19.00-21.00) กับยามไฮ่ (21.00-23.00) เฉินผิงอันจะไปต้มน้ำร้อน เอายาสมุนไพรใส่ลงไปในอ่างน้ำ ก่อนที่น้ำจะเดือด เฉินผิงอันจะไปหยิบกล่องอาหารจากหน้าประตูเรือนมา หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มใช้โต๊ะหินเป็นโต๊ะอาหาร กินอาหารมื้อดึกเสร็จ บางครั้งหากเฉินผิงอันเจ็บหนักหรือเลือดไหลออกเยอะเกินไปก็จะไปแช่ตัวในอ่างน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยกินอาหารมื้อดึก ส่วนผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหม่าจื้อที่ต่อให้จะกินอิ่มไปก่อนแล้วก็ยังจะนั่งรอเฉินผิงอันอยู่ที่โต๊ะหิน ระหว่างที่ฝ่ายหลังกินอาหาร เขาจะอธิบายถึงข้อดีข้อเสียของการฝึกกระบี่ในวันนั้นให้เฉินผิงอันฟัง เหมือนการย้อนเล่นหมากล้อมกระดานเดิม ถึงอย่างไรหม่าจื้อก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง สายตาของเขาจึงมีความพิเศษเฉพาะตัว อีกทั้งเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว แม้ขอบเขตของหม่าจื้อจะห่างชั้นอยู่มาก แต่เขากลับเต็มใจอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดมากกว่า คำถามและข้อสงสัยส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันจึงมักได้รับคำตอบ
เก็บกล่องอาหารเรียบร้อย เฉินผิงอันก็จะฝึกท่าเดินนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขาต่อ ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปีร้อยปี ไม่ว่าถึงเวลานั้นขอบเขตของตนจะสูงแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่มีทางทิ้งกระบวนท่าหมัดหยาบๆ เรียบง่ายซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานสุดของการฝึกวรยุทธ์นี้ไป
ผ่านยามจื่อ (23.00-01.00) ไปครึ่งหนึ่ง เฉินผิงอันก็จะกลับห้องไปนอน
ชีวิตในแต่ละวันล้วนเป็นวงโคจรที่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ โดยไม่ทันรู้ตัว พระอาทิตย์ก็ขึ้นและตกบนเกาะกุ้ยฮวามาสามสิบกว่าครั้งแล้ว เก้าทัศนียภาพบนมหาสมุทรก็ผ่านไปแล้วถึงสามแห่ง
ผ่านไปอีกสิบวัน สำหรับทัศนียภาพที่สี่บนมหาสมุทรของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแนะนำให้เฉินผิงอันหยุดการฝึกฝนเพื่อไปชมทิวทัศน์ที่ต้นกุ้ยบรรพบุรุษก่อน
—–