ในเมื่อผู้เฒ่าพูดขนาดนี้แล้ว เฉินผิงอันจึงทำตามคำบอกของอีกฝ่าย พอเช้าตรู่ เฉินผิงอันก็ไปถึงบนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกันหนาแน่น เมื่อทอดสายตามองไปไกลก็เห็นช่องโหว่ขนาดมหึมาช่องหนึ่ง เกาะกุ้ยฮวาลอดผ่านไปเป็นแนวเส้นตรง สองข้างฝั่งกลายมาเป็นเทือกเขาบนเกาะสองแห่งที่ไล่ระดับลดหลั่นจากสูงมาต่ำ บนยอดเขามีสิ่งปลูกสร้างตั้งสลับสล้าง ปลูกชิดติดแนบกับภูเขา เบื้องบนคือเมฆหมอกลอยล้อมวนอ้อยอิ่ง
ภาพทิวทัศน์งดงามแปลกตานี้ไม่ได้อยู่บนตระกูลเซียนซึ่งตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่อยู่ระหว่างผนังหน้าผาของภูเขาสองลูกที่ประจัญหน้ากันซึ่งเป็นทางผ่านของเส้นทางเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา บนยอดของหน้าผาทั้งสองแห่งต่างก็มีเทวรูปร่างทองสูงร้อยจั้งยืนปักหลักตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม อีกทั้งเทวรูปทั้งสองต่างก็เหมือนผ่านการชะล้างจากสายน้ำแห่งกาลเวลามายาวนานนับไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้นก็ยังส่องแสงสีทองอร่ามจับตา ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ได้มาเห็นก็ยังเกิดความกริ่งเกรง
เล่าลือกันว่าเทพร่างทองที่ถูกนำมาสร้างเป็นรูปปั้นทั้งสององค์นี้ องค์หนึ่งเคยเป็นแม่ทัพเทพพิทักษ์ประตูสวรรค์ทางทิศใต้ อีกองค์หนึ่งเคยเป็นองค์เทพที่ควบคุมการขนส่งทางน้ำของใต้หล้า คือองค์เทพอันดับหนึ่งในบรรดาเทพพิรุณจำนวนมากบนสวรรค์ เป็นผู้ควบคุมการก่อเมฆโปรยฝนของมังกรที่แท้จริงทุกตัวบนโลกในนาม แม่ทัพเทพแห่งประตูสวรรค์ตรึงกระบี่ตั้งตรงไว้เบื้องหน้าตัวเอง มือสองข้างวางทับซ้อนกันบนด้ามกระบี่ คือองค์เทพขนาดใหญ่ยักษ์องค์หนึ่งที่เหมือนกำลังหลุบตาลงต่ำมองมายังผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง
ส่วนองค์เทพพิรุณนั้นมีใบหน้าเลือนรางเพราะเมฆหมอกลอยบดบัง บ่งบอกเพศได้ไม่ชัดเจน มีแถบผ้าพลิ้วไหวห้าสีที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดล้อมพันล่องลอยอย่างเชื่องช้าอยู่รอบกาย มองดูแล้วมีชีวิตชีวา ขับให้องค์เทพที่ไม่รู้ว่าร่างทองสลายหายไปแล้วกี่หมื่นปีเหมือนกำลังสำแดงบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นผู้ที่คอยควบคุมการไหลเวียนของโชคชะตาแห่งน้ำตลอดทั้งแถบทิศใต้
เฉินผิงอันเลือกนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวตรงราวระเบียงแห่งหนึ่งบนยอดเขา เผชิญหน้ากับเทวรูปสององค์พลางดื่มเหล้าช้าๆ
ถ้อยคำซุบซิบที่ผู้ฝึกลมปราณข้างกายเอ่ยส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปและใบถงทวีป บางครั้งก็สอดแทรกภาษาท้องถิ่นของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันย่อมฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว ยังดีที่ห่างไปไม่ไกลมีผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านคนหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวาที่มีลักษณะเป็นเด็กสาว แต่กลับไม่ได้สวมชุดของแม่นางกุ้ยฮวาซึ่งน่าจะรับหน้าที่คอยอธิบายความมหัศจรรย์ของทิวทัศน์บนทะเลแห่งนี้ให้ผู้โดยสารฟังโดยเฉพาะ น้ำเสียงของนางใสกังวาน ตอนนี้นางกำลังใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอธิบายภาพ ‘การประจัญหน้ากันของสององค์เทพ’ เล่าถึงที่มาขององค์เทพทั้งสององค์ และยังถือโอกาสพูดถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลเซียนที่อยู่บนเกาะแห่งนั้น ดูเหมือนจะมีคนถามว่าทำไมเกาะกุ้ยฮวาถึงไม่จอดเทียบท่าบนเกาะ ผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านคนนั้นจึงยิ้มแล้วอธิบายว่าถึงแม้เรือข้ามฟากจะสามารถลอดผ่านตรงกลางไปได้ แต่สำนักตระกูลเซียนแห่งนี้กลับไม่เคยต้อนรับเรือข้ามฟากไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม หากมีคนกล้าขึ้นไปบนแผ่นดินโดยพลการ โทษสถานเบาคือขับไล่ออกจากพื้นที่ในทันที โทษสถานหนักคือถูกขังคุกบนเกาะ ในประวัติศาสตร์ยังเคยมีคดีสลดที่ผู้บุกรุกถูกสำนักเซียนแห่งนั้นสังหารโดยตรง
สุดท้ายผู้ฝึกลมปราณสาวน้อยพูดด้วยรอยยิ้มกับแขกทั้งหลายบนยอดเขาว่า ทัศนียภาพถัดไปในอีกห้าวันให้หลัง ยิ่งใหญ่ตระการตามาก ขอให้ทุกคนห้ามพลาดเด็ดขาด
ระหว่างที่เกาะกุ้ยฮวาขับเคลื่อนผ่านหน้าผาหินไปช้าๆ จู่ๆ ก็มีวัตถุลักษณะคล้ายลูกบอลผ้าปักลายลูกหนึ่งร่วงดิ่งลงมา แล้วพุ่งไปหาคนหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งชมทัศนียภาพอยู่บนยอดเขา
คนผู้นั้นยื่นมือไปรับลูกบอลปักลายผ้าลูกนั้นมาตามจิตใต้สำนึก เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าทำไมสำนักตระกูลเซียนแห่งนั้นถึงต้องทำแบบนี้
ผู้ฝึกลมปราณเด็กสาวจากตระกูลฟ่านทำหน้าตกตะลึง จากนั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดังอย่างรีบร้อน “คุณชาย ผู้อาวุโสบนเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราเคยบอกไว้ว่า นี่คือวิธีการรับลูกเขยของตระกูลเซียนที่มีบุตรสาว พวกเขาเลือกท่าน นี่คือโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง! คุณชายหากท่านยังไม่มีภรรยาจะต้องตอบรับให้ได้ ต่อให้มีแล้ว…สรุปคือมีเพียงเทพธิดาผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลเซียนเท่านั้นถึงจะสามารถโยนลูกบอลปักลายผ้าให้กับเรือข้ามฟากที่แล่นผ่านมาได้ โชควาสนาครั้งนี้จะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้เด็ดขาด คุณชายต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง…”
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ในมือถือบอลผ้าปักลายและกำลังเงยหน้ามองไปยังมุมหนึ่งบนผนังหน้าผากำลังผ่านประสบการณ์การถามตอบในทะเลสาบหัวใจ
จากนั้นดูเหมือนคนหนุ่มจะผ่านการทดสอบ แถบผ้าเส้นหนึ่งที่รัดพันลูกบอลจึงคลี่ออก ปลายฝั่งหนึ่งของแถบผ้าผูกเข้าที่ข้อมือของชายหนุ่ม ปลายอีกฝั่งหนึ่งพุ่งไปยังยอดเขาอย่างรวดเร็วแล้วพาชายหนุ่มบินล่องลอยไปยังหอสีรุ้งแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปบนยอดเขา กลางหอสีรุ้งมีหญิงสาวหน้าตางดงามสะคราญโฉมคนหนึ่ง สองแก้มของนางแดงปลั่ง ในมือกำปลายแถบผ้าไว้ด้านหนึ่ง ข้างกายมีสตรีแต่งงานแล้วที่บุคลิกไม่ธรรมดา ท่วงท่าประหนึ่งเซียนซือยืนห้อมล้อมอยู่หลายคน ใบหน้าของพวกนางอมยิ้มน้อยๆ คล้ายกำลังอวยพรให้กับคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานคู่นี้
เฉินผิงอันมองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา มองบุรุษหนุ่มคนนั้นเดินขึ้นฟ้าด้วยก้าวเดียว ทั้งไม่มีความรู้สึกอิจฉาริษยา แล้วก็ไม่ได้ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังให้กับความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ เพียงแต่สีหน้าค่อนข้างเลื่อนลอย ก่อนหน้านี้ชายคนนั้นยืนห่างจากเขาไปแค่ไม่กี่สิบก้าวพอดี เมื่อผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านถามว่าเขาแต่งภรรยาหรือยัง บุรุษผู้นั้นก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคงเป็นเพราะโชคดีมาเยือนถึงที่ จึงตัดขาดและทอดทิ้งภรรยาที่รออยู่ที่บ้านอย่างเด็ดขาดโดยไม่แยแสอีก
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางหอหลากสี รู้สึกได้ว่าสตรีเทพเซียนที่โยนลูกบอลมาอาจจะมีตบะสูงมาก ทว่าสายตาของนางน่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
กลับมาถึงเรือนเล็กกุยม่าย ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ ดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มจานเล็ก “นึกไม่ถึงว่าจะมีการโยนลูกบอลปักลายลงมาจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เจ้า น่าเสียดาย น่าเสียดายเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่าในประวัติศาสตร์ของเกาะกุ้ยฮวา เหตุการณ์ที่คนในหอสีรุ้งบนยอดเขาโยนลูกบอลปักลายผ้าลงมา หากบอกว่าร้อยปีจะพานพบสักครั้งก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว น่าเสียดายก็แต่เจ้าไม่มีวาสนาจะได้รับโชคแบบนี้…”
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว ผู้เฒ่าหยุดหัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “อันที่จริงสิบทัศนียภาพของเกาะกุ้ยฮวามีโชควาสนาเล็กใหญ่แฝงเร้นอยู่ แน่นอนว่าได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ต้องดูที่โชคชะตาของแต่ละคน ก็เหมือนกับลูกบอลปักลายจากหอสีรุ้งบนเกาะเซียนกลางทะเลแห่งนี้ ใครจะไปคิดว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์การฝึกตนธรรมดา จะกลับกลายเป็นคนโชคดีในท้ายที่สุด?”
ผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากพูดถึงเก้าทัศนียภาพอื่น คงไม่จำเป็นต้องสนใจ ต่อให้ไม่มีความคิดที่หวังว่าจะลองเสี่ยงโชคก็ไม่เป็นไร เพราะมีเพียงทัศนียภาพในลำดับถัดมาเท่านั้นที่จำเป็นต้องไปยังตีนเขาของเกาะกุ้ยฮวาด้วยตัวเองดูสักครั้ง ยิ่งอยู่ใกล้กับน้ำทะเลนอกเรือข้ามฟากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะหากใครได้ครอบครองโชควาสนาครั้งนี้จริงๆ นั่นก็คือมหาลาภที่ต่อให้เป็นขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดก็ล้วนต้องอิจฉาอย่างถึงที่สุด”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เรื่องการเสี่ยงดวงนี้ ข้าคงไม่หวังแล้ว อยู่ฝึกกระบี่ในเรือนมั่นคงกว่ามาก”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าถลึงตาขึงขัง “ไป จำเป็นต้องไป ต่อให้เป็นโอกาสที่เลือนรางเต็มที เจ้าก็ต้องไปร่วมความครึกครื้นให้ได้ บนเส้นทางการฝึกตนไม่ควรคาดหวังให้ทุกเรื่องราบรื่นเป็นไปตามใจปรารถนาก็จริง แต่ก็ควรจะมีความคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เจ้าลองไปสักครั้ง ทั้งได้ชมทิวทัศน์แล้วก็ได้เสี่ยงดวง ต่อให้ไม่ได้เจอกับโชควาสนาครั้งใหญ่ แล้วเจ้าจะเสียหายอะไร? เจ้านี่นะ! จำไว้ว่า คำว่า ‘ถ้าหาก’ เป็นคำที่ผู้ฝึกลมปราณหวาดกลัวมากที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณปรารถนามากที่สุดแม้ในยามหลับฝัน…”
เฉินผิงอันพูดอย่างระมัดระวัง “อาจารย์หม่า ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าตบหน้าผากตัวเอง ลุกขึ้นพูดว่า “เจ้านี่มันน่าโมโหจริงๆ! สองวันนี้เจ้าฝึกกระบี่ด้วยตัวเองไปเลย ข้าต้องออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกซะบ้าง วันๆ อยู่กับน้ำเต้าตันอย่างเจ้า ข้าอัดอั้นจะตายอยู่แล้ว”
สองวันหลังจากนั้นผู้เฒ่าก็ไม่ได้เผยโฉมหน้าจริงๆ เฉินผิงอันจึงฝึกกระบี่เพียงลำพัง
หลังจากนั้นผู้เฒ่าก็กลับมาที่เรือนเล็กกุยม่ายด้วยท่าทางอ่อนเพลียจากการเดินทาง พอพบหน้าเฉินผิงอันก็บอกว่าเฉินผิงอันฝึกฝนได้ไม่เลว จงขยันตั้งใจฝึกต่อไป ส่วนเขาหายตัวไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันคิดแค่ว่าผู้เฒ่ามีธุระให้ต้องไปทำ จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่
ภายหลังก็มาถึงทัศนียภาพแห่งที่ห้าบนทะเลของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา ร่องน้ำเจียวหลง
เพราะผู้เฒ่าเคยเอ่ยเตือนครั้งหนึ่ง เฉินผิงอันจึงหยุดพักครึ่งวัน เขาบอกกล่าวให้จินซู่รู้ก่อนล่วงหน้า เที่ยงวันของวันนั้นจินซู่จึงมารอที่หน้าประตูเรือน บอกเตือนเฉินผิงอันว่าสามารถลงจากเขาไปชมทิวทัศน์ได้แล้ว เพราะเป็นแขกกุ้ยของตระกูลฟ่าน เรือนกุ้ยกงมีเส้นทางเดินลงภูเขาที่ค่อนข้างเงียบสงัดโดยเฉพาะ บนทางมีแขกบางตา เฉินผิงอันเดินเคียงไหล่ไปกับจินซู่อยู่บนถนน แม่นางกุ้ยฮวาช่วยแนะนำความเป็นมาของร่องน้ำเจียวหลงเส้นนั้น
กลางร่องลึกเส้นนั้นที่อยู่ในทะเลเป็นที่พักพิงของเจียวหลงจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทายาทรุ่นหลังของเจียวหลงที่ระบบสายเลือดปะปนกัน และในบรรดาพวกมันก็มีเจียวน้ำที่สมชื่ออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งมักจะอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองทะยานขึ้นไปกลางอากาศ พลิกเมฆลอดสายฝนอยู่เหนือแผ่นดินของทวีปใหญ่ ไปกลับครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าต้องทะยานลมไกลกี่หมื่นลี้ รอจนกลับมาถึงรังก็เหน็ดเหนื่อยหมดแรง อีกทั้งเจียวหลงยังไม่มีพันธนาการจากกฎเกณฑ์และไม่มีทวยเทพที่เป็นผู้บังคับบัญชาอยู่เบื้องบน พวกมันจึงชอบสำแดงวิชาอภินิหาร โปรยฝนลงมาจนก่อให้เกิดอุทกภัย ดังนั้นจึงมักจะกลายเป็น ‘เจียวชั่ว’ ในสายตาของมนุษย์โลก ถูกผู้ฝึกลมปราณในท้องถิ่นไล่สังหารอย่างบ้าคลั่ง การที่พวกผู้ฝึกลมปราณทำเช่นนี้ทั้งเป็นการอุทิศตนเพื่อปวงประชาแทนสวรรค์ แล้วก็เพื่อครอบครองสมบัติก่อนกำเนิดที่มีมูลค่าควรเมืองทั่วร่างของเจียวหลง
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ให้ตกตะลึง รีบสาวเท้าเร็วๆ ไปยังตีนเขาของเกาะกุ้ยฮวา เขาเกิดมาในถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นสถานที่ที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายในโลกตายไป แน่นอนว่าต้องเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจียวและมังกรมาก่อน สัตว์วิเศษที่อยู่ในร่องเจียวหลงเหล่านั้นจะถือเป็นลูกหลานของมังกรที่แท้จริงได้หรือไม่?
เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็มาถึงตีนเขา ตรงท่าเรือมีเรือลำเล็กหลายลำจอดอยู่ เรือเหล่านั้นล้วนเป็นของผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านที่มักจะพายเข้าไปยังร่องน้ำเจียวหลง เกาะกุ้ยฮวารับประกันว่าการล่องเรือไปยังร่องลึกของมหาสมุทร ขอแค่ผู้โดยสารไม่ส่งเสียงดัง ไม่ใช้เวทอภินิหารไปรบกวนเจียวหลงที่อยู่ก้นมหาสมุทรโดยพลการ ก็จะไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ขึ้นเด็ดขาด ต่อให้มีอันตรายเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาก็จะลงมือให้ความช่วยเหลือในทันที
แขกกุ้ยขึ้นเรือไม่จำเป็นต้องควักเงิน
อันที่จริงต่อให้จำเป็นต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันก็เต็มใจจ่ายเงินนี้ เขาขึ้นเรือเล็กลำหนึ่งไปพร้อมกับจินซู่ คนพายเรือคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม้พายไม้ไผ่ยาวจั้งกว่าในมือของผู้เฒ่าสลักอักขระยันต์ไว้แถวหนึ่ง ตัวอักษรสี่ตัวในนั้นคล้ายอักษรโบราณลักษณะเหมือนไส้เดือน ค่อนข้างคล้ายคลึงกับประโยคว่า ‘ควรทำอะไรก็ทำ’ ของยันต์ที่ชื่อว่า ‘ยันต์ตัดโซ่’ ที่บันทึกไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มีระดับสูงมาก อีกอย่างช่วงท้ายของยันต์ ‘ตำราสีชาด’ นี้ก็บอกกับคนรุ่นหลังว่า หากเขียนยันต์สำเร็จ กระดาษยันต์จะมีรอยเลือดซึมออกมา คนที่เขียนยันต์ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล เพราะนี่คือการแสดงให้เห็นว่าการเขียนยันต์ครั้งนี้สำเร็จแล้ว
เฉินผิงอันจึงสอบถามจินซู่ถึงชื่อของยันต์ที่เขียนไว้บนไม้พาย นางมีสีหน้ามึนงง ราวกับไม่เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน จึงหันไปถามคนพายเรือ ผู้เฒ่าตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้คงบอกไม่ได้อย่างชัดเจน วันแรกที่ตระกูลฟ่านบุกเบิกเส้นทางการเดินเรือก็ดูเหมือนว่าบนไม้พายจะมีตัวอักษรสีแดงพวกนี้อยู่แล้ว ไม่มีคำบอกเล่าที่แน่ชัด ตอนที่อาจารย์ของข้ามอบเรือลำเล็กและไม้พายให้กับข้าก็ไม่ได้บอกเล่าความเป็นมาของมัน เกาะกุ้ยฮวาของเราแค่เรียกมันว่าไม้พายตีมังกร สามารถทำให้เจียวหลงตกใจถอยหนีลงไปใต้น้ำได้ อันที่จริงเรื่องพวกนี้คนพายเรืออย่างพวกเราล้วนไม่เชื่อ พวกเราน่ะ เชื่อสิ่งนี้มากกว่า…”
—–
สวัสดีค่ะ
ทีมงานขออนุญาตแชร์ภาพประกอบสวยๆ ฉากหนึ่งที่น้องผิงอันต่อยมังกรทอง (ในบทที่ 255)